ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8
บทที่ 4
“คุณหนูไปโดนอะไรมาเจ้าคะ” พอเจินสือเหนียงเดินเข้ามา สี่เชวี่ยก็เห็นรอยเขียวช้ำที่คางนาง “ฝีมือท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บแม้แต่น้อย” เจินสือเหนียงปัดมือนางออก ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
พอรู้ว่าเป็นฝีมือของเสิ่นจงชิ่งจริง สี่เชวี่ยก็โมโหขึ้นมา “คนดีมักถูกรังแกจริงๆ ด้วย แต่ก่อนเขาไม่เคยกล้าลงมือกับคุณหนูเลย!”
สมัยก่อนตอนอยู่จวนจ้วงหยวน เวลาคุณหนูของนางอาละวาด เสิ่นจงชิ่งมักจะหลบหน้าพวกนางนายบ่าว มีแต่คุณหนูของนางที่ไปตามตื๊อและรังแกเขาทุกวัน บัดนี้คุณหนูของนางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เขากลับเป็นฝ่ายมาหาเรื่องถึงที่
เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าสี่เชวี่ยคิดเช่นนี้ นางคิดว่าแต่ก่อนตอนที่เสิ่นจงชิ่งยังรักชอบเจ้าของร่างนี้อยู่ ย่อมเอาอกเอาใจนางสารพัด ไม่กล้าจะตีสักครั้งด้วยซ้ำ คิดแล้วถอนใจเบาๆ “ความรักหมดไปแล้ว ต่อให้เจ้าสะสวยเพียงใดก็ย่อมกลายเป็นเพียงหญ้าต้นหนึ่ง”
แต่พอนางคิดถึงเนื้อกวางในลานกลับยิ้มผ่อนคลาย “พี่จางข้างบ้านส่งเนื้อกวางตัวใหญ่มาให้ครึ่งตัว ไม่รู้เหวินเกอ อู่เกอจะดีใจขนาดไหน” นางพูดพลางถือมีดเดินออกไปข้างนอก “ข้าจะไปตัดเนื้อขาส่วนหนึ่งมาผัด คืนนี้พวกเราค่อยทำขนมเปี๊ยะทอดไส้เนื้อกวางกิน เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้กลิ่นเนื้อ ทุกคนจะได้กินให้หนำใจ”
นางหันไปกำชับชิวจวี๋ที่ทำหน้างุนงงเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ไปหลังบ้านหากะละมังใบใหญ่มาแช่เนื้อกวาง” เนื้อกวางต้องแช่ด้วยน้ำสะอาดหนึ่งถึงสองชั่วยาม รอให้น้ำเลือดถูกชะจนสะอาดแล้วค่อยหมักด้วยเกลือ เนื้อแห้งที่เอาไปตากถึงจะอร่อย
“คุณหนู…” สี่เชวี่ยคว้ามือนางไว้
เจินสือเหนียงหันไป
สี่เชวี่ยขยับปากไปมา สุดท้ายพูดว่า “บ่าวไปตัดเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
เห็นนางไม่ต่อความยาวเรื่องที่ตนถูกเสิ่นจงชิ่งรังแก เจินสือเหนียงพยักหน้า “ดีเลย เหลือไส้ผักชีล้อมอยู่เล็กน้อย ข้าจะผสมแป้งทำขนมเปี๊ยะทอดอีกสองชิ้น” หลังเอาขนมเปี๊ยะทอดให้จางจื้อไป เจินสือเหนียงกลัวอาหารเช้าจะไม่พอกิน
ในเมื่อเขาได้ยินบทสนทนาของนางกับจางจื้อ เชื่อว่าคงเห็นนางให้ขนมเปี๊ยะทอดจางจื้อไปแน่นอน หากอาหารเช้าไม่พอกินจริงๆ ไม่แน่เขาอาจหาเรื่องนางเพราะเหตุนี้และตำหนินางอีก แม้จะผ่านมาห้าปีแล้ว แต่นางยังจดจำความปากร้ายของเขาได้แม่นยำ
แม้นางจะอยากทำให้เขาหิวตายไปเสีย แต่มีชีวิตอยู่มาสองชาติ เจินสือเหนียงเข้าใจหลักการไม้ซีกไม่อาจงัดไม้ซุงได้ ผู้อื่นแข็งแกร่งกว่า หากหลบเลี่ยงได้ก็ควรหลบเลี่ยง เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าอาย นางกับเขาแตกต่างกันปานนั้น หากปะทะกับเขาตรงๆ ก็มีแต่จะทำให้ตนเองลำบากโดยแท้
ปกติอาหารเช้าของที่นี่จะเป็นผักดอง ข้าวต้มเปล่าและธัญพืชแห้ง วันนี้มีเสิ่นจงชิ่งนายบ่าวอยู่ด้วย เจินสือเหนียงจึงเพิ่มเมนูยำรากบัวฝานและผัดเนื้อกวางเข้ามา อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว ก่อนอื่นตักขึ้นมาให้ชิวจวี๋เอาไปให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่เรือนด้านหลัง จากนั้นเจินสือเหนียงเข้าไปบอกหรงเซิงให้เรียกนายของตนเองมากินข้าว
หรงเซิงออกไปเดินวนรอบใหญ่ กลับมาถามนางว่า “ท่านแม่ทัพออกไปแต่เช้า ไม่ได้บอกนายหญิงใหญ่หรือขอรับว่าจะไปไหน”
“ไม่ได้บอก” เจินสือเหนียงอารมณ์ดีทันใด คิดในใจว่า เขากลับไปได้ยิ่งดี
“ยังไม่ได้กินข้าวเช้า ท่านแม่ทัพหายไปไหนนะ” หรงเซิงบ่นกับเจินสือเหนียง ฝีมือการทำอาหารของนายหญิงยอดเยี่ยมขนาดนี้ ไม่มีทางที่ท่านแม่ทัพของเขาจะกลับไปโดยไม่กินข้าวก่อน
เวลาเดียวกันนั้น เอ้อร์ยาบ้านอวี๋เหลียงมาชวนชิวจวี๋ไปเก็บเห็ด ตอนนี้เป็นฤดูเก็บของป่า ปกติชิวจวี๋จะตื่นแต่เช้าขึ้นมาตัดฟืนรอบหนึ่ง กินข้าวเช้าเสร็จค่อยไปเก็บเห็ดและผักในป่า เห็นเอ้อร์ยามาหาจึงหันไปมองเจินสือเหนียง
“พวกเจ้ากินก่อนเถอะ เดี๋ยวข้ารอท่านแม่ทัพเอง” เจินสือเหนียงครุ่นคิด
ทุกคนทำงานกันตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะชิวจวี๋ ตัดฟืนกลับมาก็ไม่ได้อยู่ว่าง ป่านนี้คงหิวจนไส้กิ่วแล้ว อีกทั้งกินข้าวเสร็จยังมีงานรออยู่มากมาย สุดท้ายทุกคนกลับต้องมารอคนที่ว่างที่สุดกลับมากินข้าว
สังคมโบราณเฮงซวยจริงๆ! ในใจนางก่นด่าเช่นเดิมอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเข้าครัวไปจัดอาหารขึ้นโต๊ะให้ทุกคน
“ให้ชิวจวี๋พักสักวันเถอะเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยคว้าตัวผู้เป็นนายไว้ “คุณหนูรออีกประเดี๋ยว” หรงเซิงยังอยู่ที่นี่ ในเมื่อเสิ่นจงชิ่งยังไม่บอกว่าจะกลับ เขาต้องกลับมากินแน่
สี่เชวี่ยเคยอยู่ในจวนเสนาบดี ตระหนักดีถึงความเข้มงวดของระบบนายบ่าว นายยังไม่กินข้าว ต่อให้บ่าวหิวตายก็กินก่อนไม่ได้ นางเกรงว่าเสิ่นจงชิ่งกลับมาแล้วจะอารมณ์ไม่ดี คนที่เดือดร้อนย่อมเป็นเจินสือเหนียง
“ปีนี้เก็บผักป่าได้น้อยอยู่แล้ว” ชิวจวี๋มองอากาศดีข้างนอกอย่างเสียดาย ยังพูดไม่จบ เหลือบเห็นสายตาที่สี่เชวี่ยมองมา จึงเปลี่ยนคำพูด “บ่าวไปเก็บอีกรอบตอนบ่ายก็ได้”
นางตะโกนผ่านหน้าต่างบอกเอ้อร์ยาที่รออยู่หน้าประตูบ้าน “ข้ายังไม่ได้กินข้าว เจ้าไปเถอะ วันนี้ข้าไม่ไปแล้ว!” เห็นเอ้อร์ยาจากไป ชิวจวี๋หันกลับมาและรู้สึกว่าคนในบ้านมีสีหน้าแปลกประหลาด นางจึงพูดว่า “แดดส่องแล้ว บ่าวจะเอาผักไปตาก” พูดพลางวิ่งออกไปปานโบยบิน
ตอนกลางคืนน้ำค้างแรงและกลัวฝนจะตก ผักที่ตากแห้งไปครึ่งหนึ่งจึงต้องเก็บเข้ามาในบ้าน วันต่อมาแดดออกแล้วค่อยขนออกไปตากใหม่
“บ่าวจะไปแกะฝักบัวที่ฉางเหอเก็บขึ้นมา” ภายใต้การยืนกรานของสี่เชวี่ย เจินสือเหนียงจึงไม่ได้จ้างแรงงานมากมาย ฝักบัวหลี่ฉางเหอเป็นคนเก็บ ทุกคนช่วยกันแกะ แม้แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ไม่ได้อยู่ว่าง เด็กสองคนเล่นไปด้วยแกะไปด้วย วันหนึ่งก็แกะได้เท่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ผู้ใหญ่ทำได้
เห็นทั้งสองออกไปทำงานทั้งที่ยังไม่ได้กินข้าว เจินสือเหนียงถอนหายใจ เงยหน้ามองหรงเซิง “หรงเซิงนั่งพักก่อนเถอะ ข้าจะไปหั่นหัวไช้เท้า” หากสายกว่านี้ พระอาทิตย์ตกดินย่อมตากไม่ได้แล้ว
เพียงพริบตาเดียว ทุกคนก็ออกไปทำงานกันหมด หรงเซิงรู้สึกอึดอัด เขาเดินตามออกมาเก้อๆ เห็นชิวจวี๋ถือกระจาดสานที่เต็มไปด้วยเห็ดปีนขึ้นบันไดแล้วตกใจ “เจ้ารีบลงมา เป็นเด็กผู้หญิงปีนขึ้นไปสูงขนาดนี้ได้อย่างไร”
“ข้าปีนทุกวัน” ชิวจวี๋ตอบโดยไม่หันกลับมา นางหยิบเห็ดในกระจาดสานที่แห้งครึ่งหนึ่งแล้วออกมาเรียงบนกระเบื้องหลังคา จากนั้นหันหลังกระโดดลงจากบันไดอย่างคล่องแคล่ว
“พวกเจ้าตากผักแบบนี้ทุกวันเลยหรือ” หรงเซิงถามอย่างประหลาดใจ
“ฝนไม่ตกก็ตาก” ชิวจวี๋หันไปขนผักแห้งอย่างอื่นต่อ
“ข้าช่วย!” การใช้แรงงานน่าภาคภูมิใจที่สุด อยู่ในบ้านที่มีแต่ผู้หญิงสามคนแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่หรงเซิงรู้สึกว่าการกินข้าวโดยไม่ทำงานเป็นเรื่องน่าละอาย เขาแย่งไต่ขึ้นไปบนบันไดและหันไปหาชิวจวี๋ให้ส่งผักให้พลางถามต่อ “พวกเจ้าตากผักตั้งมากมายไปทำไม”
“เก็บไว้กินหน้าหนาวไงล่ะ” ชิวจวี๋มองหรงเซิงอย่างแปลกใจ “หน้าหนาวพวกท่านไม่กินของพวกนี้หรือ” นางตระหนักโดยพลัน “นั่นสินะ จวนแม่ทัพจะกินของแบบนี้ได้อย่างไร” นางพูดเสียงขื่น
เห็นหรงเซิงเทผักรวมเป็นกองเดียวก็รีบร้องเตือน “ทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องเรียงผักให้สม่ำเสมอกัน ไม่งั้นจะตากไม่แห้ง!” ไม่รีบตากตอนแดดดี หากฝนตกยังต้องเปลืองฟืนก่อไฟอบให้แห้ง หากอบไม่ดีอาจขึ้นราด้วย
ยืนอยู่ที่สูงย่อมเห็นได้กว้างไกล หรงเซิงเกลี่ยผักออกให้สม่ำเสมอกัน หันไปด้านตะวันออกของลานเห็นชั้นตากของว่างอยู่ จึงถามว่า “มีชั้นตั้งมากมาย ทำไมเจ้าต้องเอาขึ้นมาตากบนหลังคาด้วย” เปลืองแรงเปล่า งานนี้ดูเหมือนง่าย แต่บันไดที่เขาเหยียบอยู่โยกเยกไม่มั่นคง หรงเซิงเกรงว่ามันจะรับน้ำหนักเขาไม่ไหว หากเขาตกลงไปข้างล่างไม่รู้ว่าจะเจ็บมากเพียงใด ดังนั้นเพียงครู่เดียวเขาก็เหงื่อแตกเต็มตัว เหนื่อยยิ่งกว่าฝึกหมัดมวยมากนัก
“ชั้นพวกนั้นประเดี๋ยวต้องใช้ตากผักเหมือนกัน คุณหนูกำลังหั่นอยู่ แค่ช่วงเช้าก็หั่นได้เต็มชั้นนั่นแล้ว” พอคิดได้ว่ายังมีเนื้อกวางอีก ชิวจวี๋พูดต่อ “วันนี้ไม่ได้ตากแค่หัวไช้เท้าหั่น ยังต้องตากเนื้อด้วย”
พอคิดว่าจะได้กินเนื้อ ชิวจวี๋ก็ทำหน้าดีอกดีใจ
“นายหญิงใหญ่ก็ทำงานด้วยหรือ” หรงเซิงกะพริบตา คิดว่าตนเองฟังผิดไป “พวกเจ้าตากหัวไช้เท้ามากมายไปทำไม” ชั้นนั้นใหญ่เป็นพิเศษ จะตากให้เต็มต้องหั่นหัวไช้เท้ามากเท่าไร หรงเซิงแค่เห็นก็รู้สึกนับถือแล้ว
“คุณหนูร่างกายไม่แข็งแรง พวกเราไม่อยากให้นางทำงานหรอก” ชิวจวี๋รับกระจาดเปล่าที่หรงเซิงส่งคืนมาพลางถอนหายใจอย่างที่ไม่ค่อยทำ “แต่ทุกคนยุ่งกันหมดและคุณหนูใช้มีดเก่งที่สุด หากเป็นข้ากับอาสี่เชวี่ย สองวันยังไม่แน่เลยว่าจะทำให้ชั้นนั้นเต็มได้ หน้าหนาวไม่มีผักกิน พวกเราต้องเอาหัวไช้เท้าพวกนั้นมาทำผักดอง ผักตากแห้งฝีมือคุณหนูอร่อยที่สุด!”
ชิวจวี๋เคาะกระจาดให้เศษผักหลุดออกมา พอเงยหน้าเห็นหรงเซิงมองไปข้างหลังอย่างตะลึง จึงหันไปมองบ้าง “ท่าน…ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วหรือ” เสิ่นจงชิ่งยืนอยู่หลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
แม้รูปโฉมจะหล่อเหลาคมคาย แต่ชิวจวี๋กลับนึกกลัวท่านแม่ทัพผู้มีสีหน้าเยียบเย็น ทั่วร่างแผ่ความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นออกมา
“ท่านแม่ทัพไปไหนแต่เช้าขอรับ” พอได้สติ หรงเซิงก็กระโดดลงจากบันได พลางเอ่ยถามขึ้น
“ที่นี่หรือ” ระหว่างพูด คนผ่าฟืนในชุดสีเทาแบกฟืนมัดใหญ่ก้าวเข้ามา “จะให้วางฟืนไว้ตรงไหน”
เสิ่นจงชิ่งหันไปมองชิวจวี๋
“ท่าน…ท่านแม่ทัพไปซื้อฟืนมาหรือขอรับ” หรงเซิงตะลึงงัน
“บ่าวจะไปตามคุณหนู” ครั้นได้สติและเห็นหน้าประตูยังมีคนขนฟืนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง น้ำเสียงของชิวจวี๋เจือแววยินดี มีฟืนมากมายเช่นนี้ อีกหน่อยนางก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปขนฟืนบนภูเขาแล้ว! มีเวลาเหลือพอไปเก็บเห็ดเพิ่มได้อีกรอบ
พอหันหลังก็ถูกเสิ่นจงชิ่งเรียกไว้ “ไม่ต้อง!” เขาไม่อยากให้เจินสือเหนียงเผชิญหน้ากับคนผ่าฟืนหยาบกระด้างพวกนี้ “เจ้าบอกพวกเขาว่าให้วางฟืนตรงไหนก็พอ แล้วให้หรงเซิงเป็นคนจัดการ” หันไปสั่งหรงเซิงว่า “คอยดูพวกเขาเก็บฟืนให้เรียบร้อยและจ่ายเงินซะ” พูดจบเสิ่นจงชิ่งก็เดินเข้าบ้านไป
เจินสือเหนียงนั่งหั่นหัวไช้เท้าอยู่บนพื้นครัว เพียงครู่เดียวก็หั่นได้กะละมังใหญ่
“ฤดูหนาวเจ้ากินหัวไช้เท้าพวกนี้หรือ” นางก้มหน้าหั่นอย่างตั้งใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงเยียบเย็นดังขึ้นข้างหลัง นางสะดุ้งจนเกือบหั่นถูกนิ้วตนเอง ก่อนจะเงยหน้าอย่างตกตะลึง เห็นเสิ่นจงชิ่งกำลังนิ่วหน้ามองนาง
ไฉนคนผู้นี้จึงเหมือนแมว เวลาเดินไม่มีเสียงสักนิด ช้าเร็วเขาต้องทำให้นางหัวใจวายแน่ๆ!
พอคิดว่าเช้านี้ตกใจเพราะเขาไปสองรอบแล้ว เจินสือเหนียงก็ก่นด่าเขาในใจ ก่อนจะวางมีดและลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว ข้าภรรยาจะไปตั้งโต๊ะ”
ร่างกายมีเลือดไม่เพียงพอ ทำให้ความดันโลหิตต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ปกติเวลาเจินสือเหนียงนั่งนานๆ จะต้องค่อยๆ ลุกขึ้น แต่วันนี้เสิ่นจงชิ่งทำนางตกใจ นางจึงลุกขึ้นกะทันหัน ทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ
เห็นนางตัวเซ เสิ่นจงชิ่งจึงเข้าไปประคอง
เจินสือเหนียงศีรษะหนักอึ้ง คว้าหลักยึดสะเปะสะปะโดยไม่ทันคิดว่าเป็นอะไร วันนี้ทำงานตั้งแต่เช้าโดยไม่ได้กินข้าว เพียงครู่เดียวเหงื่อเย็นก็ซึมออกมาทั่วร่าง
“ร่างกายไม่ไหว งานพวกนี้ก็อย่าทำเลย” เสียงของเขานุ่มนวลอย่างหาได้ยากยิ่ง
“คุณหนู คุณหนู…” เจินสือเหนียงเพิ่งรู้สึกดีขึ้น เสียงตื่นเต้นยินดีของชิวจวี๋ก็ดังมาจากข้างนอก “ท่านแม่ทัพเหมาฟืนจากตลาดมาจนหมด!” แท่นวางฟืนตรงมุมด้านตะวันตกมีฟืนวางเต็ม แถมหลังบ้านยังมีฟืนอีกกอง พอให้พวกนางใช้ได้หนึ่งปี
ชิวจวี๋พูดพลางเงยหน้า เห็นเจินสือเหนียงซบอยู่บนอกของเสิ่นจงชิ่ง เสิ่นจงชิ่งกำลังลูบคางเขียวช้ำของนางเบาๆ ชิวจวี๋หน้าแดงทันใด “บ่าวไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ!” นางหันหลังทันที
เด็กโง่เอ๊ย! ชิวจวี๋ทำเอาเจินสือเหนียงอยากหัวเราะ ระหว่างนั้นนางพลันได้สติและพบว่าตนเองอิงซบเสิ่นจงชิ่งอยู่อย่างสนิทสนม นางจึงรีบผละออกมา “ขออภัย ข้าภรรยามิได้ตั้งใจ”
เดิมเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว นางยืนไม่มั่นคง เขาประคองนางย่อมเป็นเรื่องปกติ ไฉนต้องตกใจถึงเพียงนี้
เห็นนางหลบเลี่ยงเขาเหมือนกระต่ายตื่นกลัว ดวงตาของเขาฉายความขุ่นขึ้ง ใบหน้าขรึมลงและหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เจินสือเหนียงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พยายามปรับจังหวะหัวใจให้เป็นปกติและร้องบอกชิวจวี๋ “ยกกาน้ำบนเตาเข้าไปให้ท่านแม่ทัพ”
ชิวจวี๋ยิ้มร่าวิ่งเข้ามาขานรับ “เจ้าค่ะ!” แววตาที่มองเจินสือเหนียงทอประกายลิงโลด
เห็นสีหน้าทะเล้นของนางแล้ว เจินสือเหนียงค้อนปะหลับปะเหลือก ก่อนจะหันไปจัดเตรียมอาหาร
ชิวจวี๋เป็นเด็กเร่ร่อน ไม่เข้าใจระดับความเข้มงวดในตระกูลใหญ่เหมือนเช่นสี่เชวี่ย ที่นางกลัวเสิ่นจงชิ่งเป็นเพราะกลิ่นอายดุดันที่แผ่ออกมาจากตัวเขาล้วนๆ เช้านี้เห็นเขาซื้อฟืนกลับมามากมาย ชิวจวี๋จึงไม่รู้สึกกลัวเขาถึงเพียงนั้นอีก เขาก็เหมือนคุณหนูของนาง ภายนอกดูเย็นชาแต่แท้จริงแล้วมีน้ำใจ หลังเทน้ำร้อนให้เขาแล้ว นางจึงยืนอยู่ตรงกลางแอบมองแผ่นหลังสง่างามของเขา รู้สึกยิ่งมองยิ่งน่าดู คุณหนูของนางมีวาสนาโดยแท้ คิดแล้วจึงโพล่งออกไปว่า “คิดไม่ถึงว่าที่แท้ท่านเป็นถึงแม่ทัพที่โด่งดัง คุณหนูไม่เคยพูดถึงเลย บ่าวยังคิดว่า…”
แต่ไรมาเจินสือเหนียงกับสี่เชวี่ยไม่เคยพูดถึงพ่อของเหวินเกอ อู่เกอ สองปีมานี้ชิวจวี๋คิดมาตลอดว่าสามีของคุณหนูตายไปแล้ว พอคำพูดมาถึงปากจึงตระหนักว่าพูดอย่างนี้ไม่เป็นมงคล จึงรีบกลืนคำพูดกลับลงไป
เสิ่นจงชิ่งรู้สึกแต่แรกแล้วว่าข้างหลังมีคนจ้องอยู่ เขาเกลียดที่สุดคือสาวใช้ไม่ทำตามระเบียบ กำลังจะตะเพิดนางออกไป ได้ยินเช่นนี้จึงถามว่า “นายหญิงไม่เคยบอกหรือว่านางมีสามีแล้ว เจ้าคิดว่าอะไร”
คิดว่านางเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนหรือ
ไม่รู้เหตุใด คิดเช่นนี้แล้วภาพที่เจินสือเหนียงพูดคุยหัวเราะกับชายหนุ่มเมื่อเช้าจึงผุดขึ้นตรงหน้า โทสะที่เพิ่งคลายลงพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
จะเป็นไปได้อย่างไร ลูกโตขนาดนี้ บอกว่าไม่มีสามีใครจะเชื่อ ชิวจวี๋กำลังจะแย้ง คิดได้ว่าเจินสือเหนียงกำชับเป็นพิเศษไม่ให้พูดถึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ นางแลบลิ้นอย่างตกใจ ร้องในใจว่าอันตรายยิ่งนัก เกือบจะพลั้งปากไปแล้ว ถ้าพูดออกไปคุณหนูต้องถลกหนังนางออกมาแน่
“ว่าอย่างไร” เห็นนางไม่ตอบ เสิ่นจงชิ่งจึงหยุดวักน้ำและหันกลับมา
“บ่าวรู้แค่ว่าคุณหนูมีสามี แต่ไม่รู้ว่าเป็นท่าน ยังคิดว่า…คิดว่า…” เสียงของชิวจวี๋เบาลงเรื่อยๆ นางแอบเหลือบมองสีหน้าของเสิ่นจงชิ่ง “สามีของคุณหนู…ตายไปแล้ว”
ครั้นรู้สึกว่าอุณหภูมิรอบด้านต่ำลง กลิ่นอายคุกคามที่ทำให้นางหวาดกลัวปะทะใบหน้า ชิวจวี๋จึงถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว กำลังจะวิ่งหนีกลับได้ยินเสิ่นจงชิ่งถามขึ้นว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร นายหญิงเป็นโรคเลือดพร่องตั้งแต่เมื่อไร และเป็นได้อย่างไร” เขาแปลกใจมาก ทั้งที่นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เหตุใดยังจะรับสาวใช้อีก
ที่บ้านมีคนกินข้าวน้อยลงหนึ่งคนย่อมใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น หลักการข้อนี้นางไม่เข้าใจหรือไร
“บ่าวเป็นเด็กเร่ร่อน สองปีก่อนหิวจนเป็นลมและได้คุณหนูช่วยชีวิตไว้ ด้วยทนการอ้อนวอนของบ่าวไม่ไหว คุณหนูจึงให้บ่าวอยู่ที่นี่” ระหว่างพูดได้ยินสี่เชวี่ยร้องเรียกอยู่ข้างนอก ชิวจวี๋ขานรับและหันหลังวิ่งออกไป
เสิ่นจงชิ่งค่อยๆ ยืดตัวขึ้น มองผ่านประตูไปยังเงาร่างเล็กบางที่ยุ่งง่วนอยู่ในห้องครัว นัยน์ตาฉายแววสงสัย
รับเลี้ยงเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเพียงเพราะความสงสาร ทำให้ชีวิตที่ลำบากอยู่แล้วลำบากยิ่งขึ้น ที่แท้นางก็มีด้านที่ดีแบบนี้เหมือนกัน ไฉนที่ผ่านมาเขาไม่เคยตระหนักเลย
“ท่านแม่ทัพซื้อฟืนมามากมาย ข้าภรรยาใช้ปีหนึ่งก็ไม่หมด” เจินสือเหนียงตักโจ๊กเปล่าให้เสิ่นจงชิ่งและยื่นตะเกียบให้ ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามและยิ้มขอบคุณ
นางรู้สึกว่าตนเองไม่เอาไหนเลย ทั้งที่ผู้ชายคนนี้เพิ่งจะรังแกนาง สุดท้ายเห็นเขาซื้อฟืนกลับมา นางกลับเป็นฝ่ายเพิ่มไข่ผัดใบเซียงชุนให้เขาอีกจาน
ใช้ไม่หมดก็ดีกว่าให้พวกผู้ชายสกปรกมาช่วยนางขนฟืน!
พอคิดว่าเมื่อเช้าชายผู้นั้นบอกว่าจะมาช่วยนางขนฟืนสองสามวัน เสิ่นจงชิ่งก็หน้าบึ้งไม่พูดไม่จา หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบขนมเปี๊ยะทอดขึ้นกินคำใหญ่
ด้วยชินกับความเย็นชาเงียบงันของเขา เจินสือเหนียงจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงก้มหน้าดื่มโจ๊ก
บรรยากาศในห้องเงียบกริบอย่างแปลกประหลาด
เสิ่นจงชิ่งเหลือบมองนาง เห็นรอยเขียวช้ำบนคางนางแล้วอดตำหนิตนเองไม่ได้ เมื่อเช้าเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่รู้สึกด้วยว่าตนเองออกแรง ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เอาไหนถึงเพียงนี้ บอบบางจนแตะต้องไม่ได้
เขาก้มหน้ากินข้าวอีกหลายคำและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เจินสือเหนียงยังคงดื่มโจ๊กคำเล็กๆ อย่างสุภาพอ่อนโยน แลดูเหมือนภาพวาดโบราณอันเงียบสงบ แต่รอยเขียวช้ำอันเด่นชัดนั้นทำลายความงามของภาพวาด เขารู้สึกร้อนตัว ปากขยับไปมา อยากถามนางว่าเจ็บหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปาก เห็นนางเงยหน้าขึ้นมาจึงยื่นชามเปล่าให้ “ขออีกชาม”
เจินสือเหนียงกุลีกุจอตักโจ๊กเปล่าให้เขา
เสิ่นจงชิ่งกวาดอาหารบนโต๊ะเหมือนพายุพัดผ่าน เจินสือเหนียงมองเนื้อกวางผัดที่เหลืออยู่เพียงจานเดียว คิดในใจว่า มิน่า แม้จะไม่มีเนื้อและน้ำมันเขาก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย ที่แท้เขาไม่กินเนื้อนี่เอง
ตั้งแต่ยกอาหารจานนี้ขึ้นมาบนโต๊ะ เขาไม่แตะต้องเนื้อกวางผัดสักคำ
หลังกินข้าวเสร็จ เสิ่นจงชิ่งสั่งให้หรงเซิงเตรียมรถม้า เห็นเขาไม่คิดจะอยู่ต่อ เจินสือเหนียงปล่อยลมหายใจยาวๆ และไปส่งเขาด้วยตนเองถึงข้างนอก
เสิ่นจงชิ่งมองร่างแบบบางของนางแล้วเอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ อยากให้เงินนางไว้ซื้อของบำรุง แต่คิดดูแล้ว หากให้เงิน นางได้รับผลประโยชน์จากเขา พอโรคหายแล้วไม่ยอมตกลงหย่าขาดจะยุ่งยาก คิดได้ดังนั้นเขาจึงหดมือกลับ
เจินสือเหนียงมองส่งรถม้าของเสิ่นจงชิ่งจากไป จากนั้นนางก็หันหลัง สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ยิ้มร่ามองนาง ไม่ต้องถามเจินสือเหนียงก็รู้ว่าพวกนางคิดอะไรอยู่
นางปิดประตูและตรงเข้าบ้าน “พวกเจ้าไม่ต้องดีใจ เขามาครั้งนี้เดิมทีตั้งใจจะจัดการข้า” ระหว่างพูดเจินสือเหนียงขมวดคิ้ว นางนึกถึงคำพูดของเสิ่นจงชิ่ง นางกับเขาได้รับสมรสพระราชทาน เขาหย่านางไม่ได้
เช่นนั้นหากเขาอยากแต่งภรรยาเอกคนใหม่จะจัดการกับนางอย่างไร
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” ชิวจวี๋ร้องขึ้นเป็นคนแรก “ท่านแม่ทัพดีกับคุณหนูขนาดนี้!” ก่อนหน้านี้นางทะเล่อทะล่าเข้าไปในบ้าน เห็นเต็มตาว่าตอนเขากอดคุณหนู ดวงตาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ร่างกายปราศจากกลิ่นอายคุกคาม
“คุณหนู…” สี่เชวี่ยร้องเรียกอย่างไม่สบายใจขณะยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
เจินสือเหนียงเดินเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลัง
นานทีเดียวทั้งสองจึงได้สติและก้าวตามเข้าไปในบ้าน “เมื่อเช้าท่านแม่ทัพพูดอะไรกับท่านเจ้าคะ” พอเข้าบ้านสี่เชวี่ยก็ถามอย่างร้อนใจทันที
ถึงอย่างไรก็อายุมากกว่าหลายปี ทั้งยังรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งเกลียดแค้นเจินสือเหนียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สี่เชวี่ยจึงไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนชิวจวี๋และถูกซื้อใจเพียงเพราะฟืนไม่กี่มัดจนคิดว่าเขาเป็นคนที่ดูเย็นชาแต่ภายนอก
“เขาไม่ได้พูดอะไร” เจินสือเหนียงมองสี่เชวี่ย “เจ้าลองคิดดูเถอะ คราวก่อนพอเข้ามาในบ้านก็ตกใจหนีไปเพราะข้า หากไม่มีธุระอะไร เขายังจะกลับมาอีกหรือ” นางส่ายหน้า “เป็นเพราะข้าขวางทางเขาอยู่น่ะสิ” น้ำเสียงนางเจือแววทอดถอนใจจางๆ
“เขาคิดจะแต่งงานใหม่?!” สี่เชวี่ยคิดถึงข่าวลือที่ได้ยินข้างนอกทันที แม้แต่องค์หญิงหกในวังยังพึงใจเสิ่นจงชิ่ง ขุนนางและชนชั้นสูงมากมายอยากยกบุตรสาวให้เป็นภรรยาเขา สี่เชวี่ยเสียงสั่นเล็กน้อย “คุณหนูพูดถูก เจ็ดปีก่อนเขายังไม่คู่ควรจะแต่งกับท่านด้วยซ้ำ บัดนี้ฐานะเขาไม่เหมือนก่อนแล้ว ย่อมไม่ห่วงอะไรอีก ก็ต้อง…” ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมีเหตุผล สี่เชวี่ยหน้าซีดเล็กน้อย นางหยุดชะงัก ไม่กล้าพูดต่อ
เจินสือเหนียงไม่ตอบอะไร นานทีเดียวจึงเงยหน้าถามสี่เชวี่ย “เขาบอกว่าการแต่งงานระหว่างข้ากับเขาเป็นสมรสพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ เขาเป็นฝ่ายหย่าข้าไม่ได้ เป็นความจริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยพยักหน้า “การแต่งงานระหว่างคุณหนูกับเขาเกิดขึ้นเพราะนายท่านทูลขออดีตฮ่องเต้ให้พระราชทานสมรส พิธีแต่งงานยังได้เจิ้นกั๋วกง*ซึ่งเป็นที่โปรดปราดอย่างสูงในยามนั้นให้เกียรติเป็นผู้จัดการ เรื่องนี้โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง” ดวงตาสี่เชวี่ยฉายความหม่นหมอง แม้แต่เรื่องพวกนี้คุณหนูของนางก็จำไม่ได้
เจินสือเหนียงใบหน้าหมองลง พึมพำกับตนเองว่า “หย่าข้าไม่ได้ เขาจะจัดการข้าอย่างไร” ฉับพลันในใจบังเกิดความหวาดหวั่นไม่สิ้นสุด เขาจะฆ่าข้า! เขาเป็นแม่ทัพที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ
“ตกลงหย่าขาด!” เวลาเดียวกัน สี่เชวี่ยอุทานอย่างตกใจ “หรือว่าเขามาเจรจาเรื่องตกลงหย่าขาดกับคุณหนู” นางสงสัย “ทำไมท่านแม่ทัพจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ล่ะ”
“ตกลงหย่าขาด?” เจินสือเหนียงทวนคำซ้ำและเงยหน้าทันใด “สมัยนี้…เจ้าบอกว่าพวกเราตกลงหย่าขาดกันได้หรือ” น้ำเสียงเจือแววยินดีอย่างที่น้อยครั้งจะพบเห็น
วิชาประวัติศาสตร์ของนางไม่ได้เรื่อง ในความทรงจำของนาง ภรรยาในสมัยโบราณไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง โชคชะตาล้วนขึ้นอยู่กับสามี หากสามีเบื่อและทอดทิ้ง ได้รับหนังสือหย่าแล้วต้องออกจากบ้านตัวเปล่า นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินคำว่า ‘ตกลงหย่าขาด’ คงจะเหมือนการหย่าร้างในชาติก่อนกระมัง นางคิดอย่างลิงโลดใจ ไม่ว่าอย่างไร ไม่ต้องตายย่อมดีที่สุด!
“เจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียงอย่างตกตะลึง “แม้แต่เรื่องนี้คุณหนูก็ไม่ทราบหรือ”
“เช่นนั้นข้าเรียกร้องค่าชดเชยจากเขาได้หรือไม่” เจินสือเหนียงขอคำชี้แนะอย่างร้อนตัว
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้า “ต่อให้ตกลงหย่าขาดด้วยความยินยอมของสองฝ่าย คุณหนูก็แค่รักษาหน้าเอาไว้ได้ยามกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิมเท่านั้น นอกจากสินเจ้าสาวแล้ว ท่านไม่อาจเอาอะไรไปได้เลย”
เพียงแต่ครอบครัวคุณหนูตายหมดแล้ว คุณหนูของนางยังจะเอาหน้าตาไปทำไมอีก
ครั้นคิดว่าหากตกลงหย่าขาด พวกนางแม่ลูกก็จะไม่มีแม้กระทั่งบ้านให้อยู่อาศัย สี่เชวี่ยก็พลันหน้าซีดเหมือนกระดาษ พยายามเม้มปากไม่ให้ความเศร้าโศกฉายบนใบหน้า
“หากข้าไม่ยอมลงชื่อในหนังสือตกลงหย่าล่ะ” เจินสือเหนียงคิดถึงการฟ้องหย่าในชาติก่อน หากยืนกรานไม่ยอมลงชื่อ บางครั้งอาจเรียกร้องทรัพย์สินได้มากยิ่งขึ้น
พูดไปแบบนี้ก็จริง แต่กระทั่งตัวนางเองก็ไม่เชื่อว่าวิธีนี้จะได้ผล ทว่าสี่เชวี่ยกลับตาเป็นประกาย “ท่านแม่ทัพคิดจะแต่งกับคนที่มีฐานะสูงส่ง จะต้องร้อนใจมากเป็นแน่ คุณหนูอาศัยโอกาสนี้ขอบ้านบรรพบุรุษกับเขาได้!” อย่างน้อยก็ยังได้ที่พักพิง
“อืม ข้าก็คิดแบบนี้” เจินสือเหนียงพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ในใจกลับรู้สึกขมขื่น นี่ไม่ใช่ชาติก่อนที่รณรงค์เรื่องความเท่าเทียมของบุคคล เขาเป็นแม่ทัพผู้สูงส่ง ข้าเป็นเพียงบุตรสาวของขุนนางต้องโทษที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ไหนเลยจะมีสิทธิ์ยื่นเงื่อนไขกับเขา เกรงว่าเขาจะฆ่าข้าโดยไม่กะพริบตาสักครั้งด้วยซ้ำ
เจินสือเหนียงยิ้มขื่นในใจ เห็นสี่เชวี่ยหน้าซีดเผือดก็ดึงมือนางเข้ามาใกล้ “เจ้าเห็นแล้วนี่ หลายปีมานี้ไม่มีเขา พวกเราก็อยู่ได้ อีกหน่อยไม่มีเขา พวกเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างดีเช่นกัน” นางยิ้มบางๆ “ความจริงข้ารอที่จะได้ไปจากเขานานแล้ว” หากโยนความหวาดกลัวที่จะต้องใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนออกไป นี่นับเป็นความจริงจากใจของเจินสือเหนียง
นางไม่กลัวชีวิตพเนจร สามารถเร่ร่อนไปตามท้องถนนได้ แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยังเด็กเกินไป
ถูกสามีหย่าและไล่ออกจากบ้านจะเทียบกับการถูกทอดทิ้งให้อยู่ในบ้านบรรพบุรุษได้อย่างไร!
สี่เชวี่ยเห็นเจินสือเหนียงยังยิ้มอย่างสบายใจนางรู้สึกเสียใจยิ่ง เพียงแต่นางเองก็รู้ว่าเรื่องนี้พวกนางไม่มีทางเลือก สี่เชวี่ยกัดฟันแน่น ฝืนยิ้มออกมา “จริงอย่างที่คุณหนูว่า อย่างน้อยอีกหน่อยพวกเราก็ไม่ต้องแอบขายยาแบบลับๆ” นางกะพริบตาแรงๆ บังคับให้น้ำอุ่นๆ ที่ผุดขึ้นในดวงตาหายกลับเข้าไป “พรุ่งนี้บ่าวจะให้ฉางเหอออกไปหาดูว่าแถวนี้มีบ้านเช่าราคาถูกหรือไม่”
“ไม่ต้องดีมากนัก คนอยู่ได้ก็พอ” เจินสือเหนียงพยักหน้า “ทางที่ดีสามารถ…”
กำลังพูด นอกบ้านพลันเกิดเสียงโหวกเหวก ตามด้วยเสียงเคาะประตูปึงปัง
ทั้งสามหน้าถอดสี เงียบเสียงลงทันใด
“มีคนอยู่บ้านหรือเปล่า” หลังเสียงเคาะประตู เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างนอก “ผู้น้อยรับคำสั่งจากคุณชายหรงเซิงเอาของมาส่งขอรับ”
เอาของมาส่ง? สามคนในบ้านมองหน้ากันไปมา
ชิวจวี๋กระโดดผลุงขึ้นทันที “บ่าวไปดูเองเจ้าค่ะ!”
“เจ้าระวังหน่อย ดูให้แน่ชัดแล้วค่อยเปิดประตู” เจินสือเหนียงจับขอบเตียงเตาพลางลุกขึ้นยืน
เอ้อร์จู้คนงานร้านอาหารแห้งเข็นข้าวสารสามสี่กระสอบ รวมถึงน้ำมันถังใหญ่รออยู่หน้าประตู เนื่องจากไปซื้อของบ่อย ชิวจวี๋จึงรู้จักเขาและรีบเปิดประตูให้ “พี่เอ้อร์จู้มาทำอะไร”
“คุณชายหรงท่านหนึ่งซื้อข้าวสารกับน้ำมันและให้ผู้น้อยส่งมาที่นี่” เอ้อร์จู้ระบายยิ้มเต็มหน้า “บอกว่าหากพูดถึงหรงเซิง ท่านย่อมรู้จัก”
“เป็นท่านแม่ทัพ” ชิวจวี๋หันไปมองเจินสือเหนียงที่เดินตามออกมา
“เข็นเข้ามาเถอะ” นางออกคำสั่ง
เพิ่งจะส่งเอ้อร์จู้กลับไปได้ไม่นานก็มีคนงานร้านขายเนื้อเอาเนื้อหมูยี่สิบชั่งมาส่ง จากนั้นคนงานร้านแพรพรรณส่งฟูกและเครื่องนอนใหม่เอี่ยมมาอีกหลายชุด ที่ทำให้เจินสือเหนียงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีคือภรรยาหลี่ฉีจากร้านยารุ่ยเสียงนำเออเจียวสองชั่งมาส่งให้ด้วยตนเอง “คุณชายหรงเป็นคนสั่งและให้นำมาส่งให้เจ้า”
เห็นแววสงสัยในดวงตาของภรรยาหลี่ฉีแล้ว เจินสือเหนียงอธิบายกลบเกลื่อนไปว่า “ปีก่อนข้าบังเอิญช่วยชีวิตอนุสุดที่รักของท่านแม่ทัพไว้ เขาคงอยากตอบแทนกระมัง” นางพูดต่อ “ท่านแม่ทัพได้ยินว่าข้าแซ่เจี่ยน ยังถามว่าใช่หมอเจี่ยนที่ผลิตเออเจียวหรือเปล่า เขาจะช่วยติดต่อสำนักแพทย์หลวงเพื่อส่งเออเจียวไปขาย”
ภรรยาหลี่ฉีหน้าเครียดขึ้นทันที “อาโยวรับปากหรือไม่”
เจินสือเหนียงหัวเราะ “หากรับปากเขายังจะให้เจ้าส่งเออเจียวมาที่นี่อีกหรือ” นางทำหน้าจริงจัง “ข้าร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าหากสำนักแพทย์หลวงต้องการของแล้วจะผลิตไม่ทัน จึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวและโกหกไปว่าเออเจียวนั่นไม่ใช่ฝีมือข้า” นางมองภรรยาหลี่ฉีเงียบๆ
ภรรยาหลี่ฉีปาดเหงื่อ “อาโยววางใจได้ ข้าไม่มีทางเปิดเผยฐานะของเจ้าแน่”
น่าขัน ขืนให้นางส่งสินค้าไปที่สำนักแพทย์หลวง กิจการร้านยารุ่ยเสียงต้องซบเซาแน่ เพราะชื่อเสียงโด่งดังของเออเจียวสกุลเจี่ยน ร้านยาของนางถึงได้รุ่งเรืองเช่นทุกวันนี้
ต้นไม้เงินต้นไม้ทองต้นนี้ นางต้องกอดไว้ให้แน่น คิดได้เช่นนี้ ภรรยาหลี่ฉีจึงยิ่งปั้นหน้าเอาอกเอาใจ
เจินสือเหนียงเห็นแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หลังส่งภรรยาหลี่ฉีกลับไป นายบ่าวสามคนมองข้าวของเต็มบ้านและมองหน้ากัน
สี่เชวี่ยทำหน้าฉงน “จะตกลงหย่าอยู่แล้ว เหตุใดท่านแม่ทัพต้องส่งของพวกนี้มาให้ด้วย” ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเปล่าๆ
“ไม่รู้สิ” เจินสือเหนียงเยาะหยันตนเอง “คงอยากติดสินบนข้าเพื่อให้ข้ายอมตกลงหย่ากับเขาง่ายๆ กระมัง” แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ในใจกลับทอดถอนใจ เขาทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ข้าออกไปปรากฏตัวข้างนอกอีก ช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวและเผด็จการขั้นสูงสุด!
เมื่อเช้านางเพิ่งบอกว่าหากนางไม่คบค้าสมาคมกับผู้อื่น ฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือเหล่านั้นย่อมมิอาจร่วงลงมาจากท้องฟ้าได้เอง เขาก็รีบส่งเสบียงอาหารมาให้ จุดประสงค์ของเขาช่างชัดเจนอย่างยิ่ง
“คุณหนูไม่เคยพูดอะไรจริงจังสักที” สี่เชวี่ยส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ
“เขาส่งมาให้พวกเราก็กิน!” เจินสือเหนียงเอ่ยอย่างสุขุมมั่นคง ดีชั่วอย่างไรนางก็เป็นภรรยาในนามของเขา เขามาพักที่นี่หนึ่งคืน นางปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น
สี่เชวี่ยถอนหายใจอีกครั้ง หากเจินสือเหนียงไม่เตือนนางก่อน เห็นของพวกนี้นางย่อมดีใจ แต่นางในตอนนี้ย่อมไม่คิดเข้าข้างตนเองว่าเสิ่นจงชิ่งเปลี่ยนใจ อยากจะทำดีกับคุณหนูของนาง ความคิดของคนเข้าใจยากมากขึ้นทุกที นางส่ายหน้าแรงๆ ในใจคล้ายมีเมฆหมอกปกคลุม
ฉู่ซินอี๋เอนกายอยู่บนตั่งคนงามด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ข้างตั่งเป็นโถหยกขาวมันแพะใบเล็กที่เปล่งประกายแวววาว ภายในบรรจุแป้งไข่มุกที่ฝนจากไข่มุกตะวันออกอย่างดี ชุนหงกำลังใช้ด้ามหยกสีเขียวรูปร่างคล้ายลูกกลิ้งคุกเข่าอยู่ข้างตั่งคนงามพลางนวดพวงแก้มทั้งสองของนาง เอ่ยเสียงค่อยว่า “คุณชายสามเพิ่งส่งข่าวมาว่าเมื่อวานท่านแม่ทัพไปเมืองอู๋ถง”
คุณชายสามเป็นญาติผู้น้องลำดับที่สามของฉู่ซินอี๋ มีนามว่าหยางเทา เดิมทีเป็นคนไม่มีการงานเป็นหลักแหล่ง ภายหลังฉู่ซินอี๋ได้ดิบได้ดีจึงเข้ามาพึ่งบารมี รับหน้าที่สืบเรื่องต่างๆ นอกจวนแม่ทัพโดยเฉพาะ
“ไปเมืองอู๋ถง?” ฉู่ซินอี๋เบิกตาโดยพลัน จากนั้นดวงตาเปล่งประกายระยับ
ในที่สุดเขาก็ไปจัดการเจินสือเหนียงแล้ว! เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกทอดทิ้งมาห้าปี เจินสือเหนียงจะยอมปล่อยมือโดยง่ายหรือไม่
คิดถึงตรงนี้นางก็ผลักชุนหงหนึ่งที “เจ้าไปดูซิว่าท่านแม่ทัพกลับมาหรือยัง แล้วไปที่เรือนหลังใด”
“เจ้าค่ะ” ชุนหงรับคำ พอลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงใสกังวานของสาวใช้ข้างนอก “คารวะท่านแม่ทัพ!”
เขากลับมาแล้ว! ฉู่ซินอี๋สะดุ้ง “เร็วเข้า รีบเก็บของพวกนี้”
นางสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว พอชุนหงเก็บของบนตั่งคนงามเรียบร้อย ฉู่ซินอี๋ก็นั่งอยู่ริมเตียงทำงานเย็บปัก
ด้วยถือกำเนิดจากตระกูลชาวบ้าน แต่ไรมาเสิ่นจงชิ่งจึงไม่ชอบความหรูหราฟุ้งเฟ้อ กับรายละเอียดเหล่านี้ฉู่ซินอี๋ไม่กล้าละเลย อย่างน้อยก่อนที่นางจะได้เป็นภรรยาเอกของเขา นางจะทำให้เขาไม่สบายใจไม่ได้เด็ดขาด หาไม่ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของนาง อี๋เหนียงสี่ผู้นั้นไม่มีทางได้อยู่มาจนถึงวันนี้หรอก
“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วหรือ” เห็นเสิ่นจงชิ่งผลักประตูเข้ามา ฉู่ซินอี๋วางงานเย็บปักในมือและเข้าไปต้อนรับ สายตาหยุดอยู่บนห่อกระดาษในมือเขา ถามว่า “นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ”
“เออเจียวสกุลเจี่ยน” เสิ่นจงชิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ “แบ่งส่วนหนึ่งออกมาแล้วให้คนนำไปส่งที่จวนราชมนตรี” ระหว่างทางกลับได้ยินว่าหมอจงมิอาจรักษาโรคให้มารดาของเซียวอวี้ได้ เสิ่นจงชิ่งเป็นห่วงเขามาก จึงคิดแบ่งเออเจียวนี้ให้มารดาเขา
“ผู้น้อยอนุภรรยาจะส่งคนไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ฉู่ซินอี๋รับคำ “ผู้น้อยอนุภรรยาได้ยินว่าหมอเจี่ยนผู้นี้รักษาโรคที่หมอทั่วไปรักษาไม่หายโดยเฉพาะ น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น แต่กลับรักษาโรคได้หายขาด เป็นบุคคลสูงส่งที่เร้นกายอยู่อย่างสันโดษโดยแท้ ไยท่านแม่ทัพจึงไม่ลองแนะนำให้ราชมนตรีเซียวดู” หากเซียวอวี้สามารถเชิญท่านหมอเจี่ยนผู้นั้นมาที่เมืองหลวงได้ นางจะได้ถือโอกาสไปรักษาด้วย
ได้ยินว่าหมอเจี่ยนเป็นยอดฝีมือด้านการรักษาโรคไม่มีบุตร
เสิ่นจงชิ่งบังเกิดความคิด โบราณว่าเป็นโรคย่อมต้องเสาะหาหมอรักษาไปทั่ว วิธีนี้น่าทดลองดู แต่แล้วก็ฉุกคิดถึงคำพูดของเซียวอวี้ ครึ่งปีมานี้มีคนแนะนำ ‘หมอเทวดา’ ให้ข้าไม่ต่ำกว่าสิบคน สุดท้ายกลับไม่ได้เรื่องสักคน ทำเอาอารมณ์ของท่านแม่ฉุนเฉียวขึ้นทุกทีและไม่ยอมให้ข้าหาหมอเถื่อนมารักษานางอีก เขาถอนหายใจ เรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ไว้วันใดข้าไปพบท่านหมอเจี่ยนผู้นี้ด้วยตนเองแล้วค่อยดูสถานการณ์อีกที
เห็นเสิ่นจงชิ่งไม่ตอบอะไร ฉู่ซินอี๋กลอกตาไปมา กำลังจะพูด ชุนหลันก็ชงชาเถี่ยกวนอินกาหนึ่งเดินเข้ามา
ฉู่ซินอี๋รับมาและรินชาให้เขาด้วยตนเอง แต่ไม่ได้นั่งลง เปิดห่อกระดาษและหยิบเออเจียวออกมาหนึ่งชิ้นส่องดูกับแสงแดดพักใหญ่ “นี่แหละสีอำพันที่ได้มาตรฐาน” นางใช้นิ้วเคาะดู “ประกายแบบนี้ ความแข็งระดับนี้ เนื้อแบบนี้จัดว่าดีกว่าของสำนักแพทย์หลวงเป็นสิบเท่า เออเจียวเมืองอู๋ถงช่างดีสมคำเล่าลือจริงๆ” นางมองเสิ่นจงชิ่งด้วยความยินดี “ผู้น้อยอนุภรรยาขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”
เสิ่นจงชิ่งยิ้มและรับน้ำชามาดื่ม
“ท่านแม่ทัพไปเมืองอู๋ถง ได้ไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ที่บ้านบรรพบุรุษหรือไม่” นางวางเออเจียวให้ชุนหงเอาไปเก็บและนั่งลงตรงข้ามเสิ่นจงชิ่ง “นายหญิงใหญ่…สบายดีหรือไม่” นางใช้หางตาเหลือบมองสีหน้าเขา
“อืม” เสิ่นจงชิ่งเพียงแต่ตอบรับโดยไม่พูดอะไรและก้มหน้าจิบน้ำชาต่อ
ฉู่ซินอี๋หัวใจเต้นตึกตัก รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเขาพูดต่อ นางฝืนข่มความยินดีในใจและเผยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “วันนี้พี่ใหญ่ยังบ่นถึงอยู่เลย ถูกท่านทอดทิ้งมาห้าปี ไม่รู้นายหญิงใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว คิดว่าคงสำรวมขึ้นบ้างแล้วกระมัง” นางถอนใจเบาๆ ราวกับเจินสือเหนียงเป็นคนใกล้ชิดที่นางคิดถึงและเสาะหามาสิบกว่าปี
คิดถึงความสงบเยือกเย็นและสีหน้าสุภาพอ่อนโยนของเจินสือเหนียงแล้วแววตาของเสิ่นจงชิ่งก็นุ่มนวลขึ้นหลายส่วน นางนิ่งถึงเพียงนั้น นิ่งราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน เขาแค่นั่งข้างๆ นางโดยไม่ต้องพูดอะไรก็รู้สึกสงบ ความสงบนั้นแผ่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนหลังจากต้องเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบมานานปี
“ท่านแม่ทัพ!” เห็นแววอ่อนโยนในตาเขาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ฉู่ซินอี๋ก็สั่นสะท้านอย่างไร้สาเหตุ เสียงที่เปล่งออกมาสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางตกใจเมื่อได้ยินเสียงตนเอง รีบหุบปากทันใด
ครั้นได้สติและพบว่าตนเองอาลัยความสงบอันเป็นธรรมชาติที่แผ่ออกมาจากตัวนาง เสิ่นจงชิ่งตระหนก ปลอบใจตนเองว่า ความสำเร็จของแม่ทัพตั้งอยู่บนกองกระดูก อาจเพราะหลายปีมานี้เข่นฆ่าสังหารมากเกินไป ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอาวุธและคาวเลือดจนชิน จิตใจจึงยากจะสงบ เขาเหลือบตาขึ้นมองฉู่ซินอี๋ “อี๋เอ๋อร์เป็นอะไรไป”
“นายหญิงใหญ่สบายดีหรือไม่” ฉู่ซินอี๋ปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลดังเดิม
“เป็นโรคเลือดพร่อง ชีวิตลำบากมาก” เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ คิดอะไรได้จึงถามว่า “ห้าปีมานี้นางเคยมาขอเบี้ยเลี้ยงที่จวนบ้างหรือไม่” ตอนนั้นที่ไล่นางออกไป เขาจำไม่ได้ว่างดเบี้ยเลี้ยงนาง
ดวงตาฉู่ซินอี๋ฉายแววลนลานก่อนจะส่ายหน้า “ตั้งแต่นายหญิงใหญ่ย้ายไปอยู่บ้านบรรพบุรุษก็ไม่เคยกลับมาอีก” นางอธิบาย “ผู้น้อยอนุภรรยาคิดว่านางมีสินเจ้าสาวอยู่หลายพันตำลึง ไม่ขาดแคลนเงินทอง ประกอบกับบ้านบรรพบุรุษอยู่ไกลจากที่นี่มาก ท่านแม่ทัพเองก็กำชับผู้น้อยอนุภรรยาว่าไม่ให้ไปพบนาง ผู้น้อยอนุภรรยาจึงลืมเรื่องนี้ไป”
นางมองเสิ่นจงชิ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เป็นเพราะผู้น้อยอนุภรรยาสะเพร่าเอง นายหญิงใหญ่ตำหนิผู้น้อยอนุภรรยาว่างดเบี้ยเลี้ยงนางหรือไม่” ฉู่ซินอี๋ลุกขึ้น “ผู้น้อยอนุภรรยาจะให้คนไปคิดเบี้ยเลี้ยงหลายปีมานี้ของนางและส่งไปให้ครบจำนวนเจ้าค่ะ”
“ช่างเถอะ” เสิ่นจงชิ่งโบกมือ “นางไม่ได้พูดอะไร ข้าเพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดชีวิตนางจึงเป็นเช่นนั้น” ทั้งที่ยังเป็นภรรยาของเขา ชีวิตยากลำบากเช่นนั้นกลับไม่เอ่ยปากขอเงินกับเขา นี่ไม่เหมือนนิสัยนางเลย “เรื่องนี้จะโทษอี๋เอ๋อร์ไม่ได้ หลายปีมานี้ข้าเองก็คิดว่านางมีสินเจ้าสาวอยู่ในมือหลายพันตำลึง น่าจะไม่ขาดแคลน”
จวนจ้วงหยวนในอดีตไม่มีทรัพย์สินมากมายเช่นวันนี้ พอนางขนสินเจ้าสาวไป จวนจ้วงหยวนก็แทบถูกขุดทรัพย์สินออกไปหมด เขาเองก็ต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์
แต่นั่นเป็นสินเจ้าสาวของนาง ยากจนแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางแตะต้องเด็ดขาด
ฟังออกว่าวาจาของเสิ่นจงชิ่งกล่าวมาจากใจจริง หัวใจที่เต้นรัวของฉู่ซินอี๋จึงสงบลง “นายหญิงใหญ่สุขสบายดีหรือไม่” ใบหน้านางเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ในใจกลับแอบยินดี นางหิวตายยิ่งดี!
“ที่บ้านไม่มีแม้กระทั่งผ้านวมดีๆ สักผืน” เสิ่นจงชิ่งถอนใจอีกครั้ง
…แสดงว่าเขาเกิดความสงสาร ไปครั้งนี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องตกลงหย่าเลย?! ฉู่ซินอี๋แอบกัดฟัน
ว่ากันว่าบุรุษต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดย่อมมีด้านที่อ่อนโยน อย่าเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งภายนอกดูแข็งแกร่ง ความจริงแล้วในใจกลับอ่อนโยนยิ่ง นางจับจุดข้อนี้ได้ถึงสามารถเรียกลมเรียกฝนในจวนแม่ทัพ แผนบีบน้ำตาทำท่าน่าสงสารของเจินสือเหนียงหลอกเสิ่นจงชิ่งได้ แต่จะตบตานางฉู่ซินอี๋ได้อย่างไร!
คิดถึงตรงนี้ฉู่ซินอี๋นึกเสียใจที่ตนเองวู่วาม บีบให้เสิ่นจงชิ่งไปพบเจินสือเหนียงเพื่อเจรจาเรื่องการตกลงหย่า หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ ข้าออกหน้าเองก็คงดี
แม้ในใจนึกเสียใจ แต่นางกลับแสร้งทอดถอนใจออกมา “หรือว่านายท่านจะรับนางกลับมา เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว คิดว่านางคงสำนึกผิดนานแล้วล่ะ” หลังกล่าวจบเห็นเสิ่นจงชิ่งไม่พูดอะไร หัวใจนางพลันกระตุก เขาคงไม่คิดจะรับนางกลับมาจริงๆ หรอกกระมัง ท่ามกลางความว้าวุ่น นางจึงพูดหยั่งเชิงโดยไม่ทันคิด “ในบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ผู้น้อยอนุภรรยาแต่งเข้ามาช้าที่สุด การจัดการธุระในจวนถึงอย่างไรก็ไม่สมควร หากนายหญิงใหญ่กลับมาย่อมสามารถรับหน้าที่นี้ไปได้”
กำลังจะตกลงหย่า เขาจะรับเจินสือเหนียงกลับมาจัดการธุระในจวนแม่ทัพได้อย่างไร! แม้เขาจะไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่ข้อนี้ฉู่ซินอี๋รู้ดีกว่าใคร นางไม่ได้รู้สึกเห็นใจ คำพูดนี้ของนางแฝงจุดประสงค์อื่น
เสิ่นจงชิ่งทำศึกอยู่ข้างนอกนานปี ความคิดจิตใจจึงไม่เคยอยู่กับผู้หญิง น้อยครั้งที่เขาจะยุ่งเรื่องภายในบ้าน ยิ่งไม่มีความอดทนที่จะใส่ใจเรื่องการแก่งแย่งชิงดีของบรรดาผู้หญิงในบ้าน แต่เขาหาใช่คนโง่ หาไม่จะได้เป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรตั้งแต่อายุน้อยๆ ได้อย่างไร
เขาเงยหน้าจากถ้วยน้ำชามองฉู่ซินอี๋นิ่งๆ
“ท่านแม่ทัพ…” เป็นครั้งแรกที่เสิ่นจงชิ่งมองนางด้วยสายตาแบบนี้ ฉู่ซินอี๋รู้สึกขนลุก นางเรียกเขาเสียงหวาน
พอได้สติ เสิ่นจงชิ่งยกกาน้ำชารินน้ำชาให้ตนเองและจิบหลายคำ “คำพูดนี้อีกหน่อยอี๋เอ๋อร์อย่าพูดอีกเลย ข้าไม่มีทางให้นางดูแลจัดการธุระในจวนแน่” พอสีหน้าของฉู่ซินอี๋ผ่อนคลายลง เสิ่นจงชิ่งก็เปลี่ยนเรื่อง “หลายปีมานี้ข้าทำศึกอยู่ข้างนอก อี๋เอ๋อร์เองก็ลำบากแล้ว ตอนแรกที่ยกให้เจ้าเป็นคนจัดการธุระในจวน ข้าไม่ได้คิดในมุมของเจ้าเลย หากรู้สึกเหนื่อยจริงๆ…” น้ำเสียงเขาลังเลเล็กน้อย “ให้เฟิงเอ๋อร์เข้ามาช่วยแล้วกัน ในบรรดาพวกเจ้าห้าคนนางมีศักดิ์สูงสุด ทั้งยังเป็นแม่แท้ๆ ของเสียนเจี่ย มีนางคอยช่วยย่อมไม่มีใครว่าร้ายเจ้าอีก เจ้าเองก็จะได้มีเวลาอยู่กับข้ามากขึ้น”
เสียนเจี่ยเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเสิ่นจงชิ่ง กำเนิดจากอี๋เหนียงใหญ่หยางเฟิง นามว่าเสิ่นจงเสียน
อะไรนะ ให้อี๋เหนียงใหญ่คอยช่วย?
ฉู่ซินอี๋คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ นิ้วมือที่กำแน่นจิกเข้าไปในเนื้อ แต่นี่กลับเป็นข้อเสนอของนางเอง
“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้อง ผู้น้อยอนุภรรยาอยากให้พี่ใหญ่มาช่วยนานแล้ว แต่ท่านแม่ทัพอาจลืมไปว่าปีก่อนตอนผู้น้อยอนุภรรยาป่วย พี่ใหญ่เข้ามาดูแลจัดการธุระในจวนอยู่ครึ่งปีก็อ้างว่าต้องซื้อของและยักยอกเงินไปห้าร้อยกว่าตำลึง…”
สองปีก่อนเนื่องจากถูกอนุคนอื่นๆ รังเกียจกีดกัน ฉู่ซินอี๋จึงตัดสินใจอ้างว่าป่วยและทิ้งหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนเอง เดิมทีคิดจะขู่ทุกคน คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะถือโอกาสนี้ให้อี๋เหนียงใหญ่หยางเฟิงรับหน้าที่จัดการธุระภายในบ้าน เดิมทีหยางเฟิงเป็นคนฉลาด จนใจที่ฉู่ซินอี๋จัดการธุระในจวนมานานปี คนในจวนทั้งหมดล้วนเป็นคนของนาง คอยขัดขวางทุกทางไม่พอ ฉู่ซินอี๋ยังให้คนไปยุยงหยางเฟิงให้ทุจริต
ปกติได้ยินข่าวลือว่าฉู่ซินอี๋แอบกินเงินส่วนกลาง ทั้งยังโยกย้ายเงินส่วนกลางแอบนำไปปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยสูงข้างนอก ฟังความคิดนี้แล้ว อี๋เหนียงใหญ่เกิดความสนใจ แรกเริ่มทุจริตแค่ไม่กี่สิบตำลึง ทั้งหมดล้วนเอาไปใช้กับฮูหยินผู้เฒ่า นานวันเข้าเห็นไม่มีผู้ใดตรวจสอบจึงกล้ามากขึ้น สุดท้ายจึงตกลงไปในหลุมพรางของฉู่ซินอี๋
เรื่องนี้เสิ่นจงชิ่งเองก็รู้ ตอนนั้นเห็นว่านางเอาเงินที่ทุจริตได้ไปใช้กับท่านแม่ทั้งหมด ทั้งนางยังเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของลูกสาวคนเดียวของเขา จึงไม่ถือสาหาความ เพียงแต่ยึดอำนาจการจัดการดูแลกลับคืนมาและมอบหมายให้ฉู่ซินอี๋เป็นผู้ดูแลต่อ
วันนี้ฉู่ซินอี๋เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกครั้ง นั่นย่อมเท่ากับปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างนุ่มนวล
มองสีหน้าอ่อนโยนอยู่เป็นนิตย์ของนางแล้ว เสิ่นจงชิ่งกลับรู้สึกเบื่อขึ้นมา
เห็นฉู่ซินอี๋โผเข้ามาอย่างออดอ้อน เขาจึงถือโอกาสกอดนางไว้และหยอกเย้านาง ชี้จมูกนางพลางว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ให้คนอื่นช่วยเอง อีกหน่อยอย่ามาบ่นกับข้าล่ะ”
เห็นเขาไม่ระแวงแม้แต่น้อย ข้อเสนอเมื่อครู่เป็นการพูดลอยๆ เท่านั้น ฉู่ซินอี๋จึงคลายความกังวล ปากแกล้งพูดอย่างแง่งอนว่า “ดูท่านแม่ทัพพูดเข้าสิ ผู้น้อยอนุภรรยาก็แค่บ่นคำเดียว ท่านก็มาไม้นี้ อีกหน่อยผู้น้อยอนุภรรยาคงได้แต่เป็นใบ้แล้วล่ะ” เห็นเสิ่นจงชิ่งเหลือบมองนาง นางจึงถอนใจ “ช่างเถอะๆ ชั่วชีวิตนี้ของผู้น้อยอนุภรรยาถูกท่านวางแผนบงการหมดแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านไปตลอด…”
ระหว่างนั้นชุนหงเคาะประตูเดินเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาแล้ว เชิญท่านแม่ทัพไปพบเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เสิ่นจงชิ่งกลับมาก็มุ่งหน้าไปที่เรือนหลัก ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าไปจวนอันชิ่งโหว เขาถึงได้มาเรือนไผ่หยก
พอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาแล้ว เขาปล่อยฉู่ซินอี๋และลุกขึ้น “อี๋เอ๋อร์พักผ่อนก่อนเถิด” พูดพลางจัดแจงเสื้อผ้าและก้าวออกไป
“ผู้น้อยอนุภรรยาจะรอท่านแม่ทัพกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันนะเจ้าคะ” นางไปส่งเขาด้วยตนเองถึงประตูพลางเชื้อเชิญทางอ้อม ตามตารางเวร คืนนี้เสิ่นจงชิ่งเป็นอิสระ
“อืม…” ชายหนุ่มครุ่นคิด “อี๋เอ๋อร์กินเถอะ คืนนี้ข้าจะกินข้าวกับท่านแม่”
ฉู่ซินอี๋มองเงาร่างเขาจากไปแล้ว ใบหน้าของนางค่อยๆ บึ้งตึงขึ้น
“เมื่อครู่หยางอี๋เหนียงส่งคนมาถามว่าเสื้อผ้าฤดูหนาวปีนี้จะตัดเมื่อไรเจ้าค่ะ” ระหว่างประคองฉู่ซินอี๋เข้าเรือน ชุนหงถือโอกาสรายงาน
“อีกตั้งนานกว่าจะเข้าหน้าหนาว นางร้อนใจอะไรกัน” พอได้ยินคำว่าหยางอี๋เหนียง ฉู่ซินอี๋ก็บังเกิดโทสะ “จะขาดส่วนของนางไปหรือไรกัน เจ้าไปบอกนางว่าหากกลัวจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ให้นางไปทวงเอากับท่านแม่ทัพ!”
“ดูอี๋เหนียงพูดเข้าสิ ใครกลัวท่านจะไม่ให้เสื้อผ้าฤดูหนาวกับนางกันเล่า” ชุนหงหัวเราะ “นางแอบส่งตู้เจวียนมาถามบ่าวต่างหาก ดูเหมือนพี่ชายนางจะเปิดโรงเย็บผ้า แปดส่วนคงคิดจะเรียกลูกค้าให้พี่ชายตนเอง”
“เจ้าไปบอกนางว่าหากเสื้อผ้าฤดูหนาวทุกตัวให้ค่านายหน้าข้าหนึ่งตำลึง ข้าจะให้พี่ชายนางเป็นคนตัดเย็บ!” คิดถึงเรื่องที่เสิ่นจงชิ่งจะให้หยางเฟิงช่วยนางจัดการธุระภายในจวน ฉู่ซินอี๋แค่นยิ้ม “ไม่ตระหนักเสียบ้างว่าตนเองเป็นใคร ไม่ว่าเรื่องใดก็คิดจะสอดมือเข้ายุ่ง!”
เสื้อผ้าฤดูหนาวของสาวใช้ทั้งชุดราคายังไม่ถึงหนึ่งตำลึง หากต้องจ่ายค่านายหน้าให้นาง โรงเย็บผ้ายังจะได้กำไรอะไรเล่า ด้วยรู้ว่าฉู่ซินอี๋พูดเช่นนี้เพราะความโมโห ชุนหงจึงก้มหน้าไม่พูดจา
หลังคิดดูอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ฉู่ซินอี๋พลันเงยหน้าขึ้น “เจ้าไปหาคุณชายสาม บอกให้เขาเดินทางไปเมืองอู๋ถงด้วยตนเองและตรวจสอบว่าสองวันนี้ท่านแม่ทัพทำอะไรบ้าง”
ระหว่างพูดฉู่ซินอี๋หรี่ตาน้อยๆ เห็นทีนางคงต้องไปเมืองอู๋ถงด้วยตนเองสักครั้งแล้วล่ะ
“ท่านแม่ทัพ” หรงเซิงรออยู่นอกเรือนไผ่หยก เห็นเสิ่นจงชิ่งออกมาก็รีบเดินเข้าไปหา
เสิ่นจงชิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นว่าเป็นเขา “เหตุใดจึงมารออยู่ที่นี่”
หรงเซิงยิ้ม “บ่าวกำลังจะเข้าไปหาท่าน เห็นพี่ปี้เยวี่ยมาเชิญ คิดว่าประเดี๋ยวท่านคงออกมา จึงไม่ได้เข้าไปขอรับ”
“มีเรื่องอะไร” เสิ่นจงชิ่งเดินไปข้างหน้าพลางถาม
หรงเซิงเหลียวซ้ายแลขวาและกดเสียงให้เบาลง “บ่าวสืบทราบมาว่าสี่ปีก่อนสี่เชวี่ยเคยมาขอเบี้ยเลี้ยงแทนนายหญิงใหญ่จริงๆ ขอรับ นางคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนตลอดช่วงเช้า ปากพูดว่าจะพบท่าน ขอร้องให้ท่านช่วยชีวิตนายหญิงใหญ่ด้วย”
“อะไรนะ!” เสิ่นจงชิ่งหยุดเดินทันที
“ช่วงนั้นท่านแม่ทัพออกไปทำศึกข้างนอกพอดี อี๋เหนียงห้าเป็นคนจัดการธุระในจวน นางทุบตีสี่เชวี่ยอย่างรุนแรงและไล่กลับไป ทั้งยังประกาศว่าหากกล้ามาขอเงินอีกจะตีให้ขาหัก” ด้วยรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งรักใคร่ฉู่ซินอี๋ หรงเซิงจึงลอบสังเกตสีหน้าผู้เป็นนายไปด้วยระหว่างพูด “เรื่องนี้หลายคนในจวนต่างก็รู้ แต่เนื่องจากท่านแม่ทัพไม่ชอบนายหญิงใหญ่ จึงไม่มีใครกล้าบอกเรื่องนี้กับท่าน”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เสิ่นจงชิ่งยังคงไม่เชื่อ อี๋เอ๋อร์จะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เขาซักต่อ “เจ้าแน่ใจหรือว่าอี๋เหนียงห้าเป็นคนสั่ง ไม่ใช่ผู้อื่นแอบอ้างชื่อนาง”
ฉู่ซินอี๋ในวันนี้อาจจะปรารถนาลาภยศสรรเสริญ แต่นางเมื่อสี่ปีก่อนไม่มีทางเป็นเช่นนี้
“บ่าวจะกล้าโกหกท่านแม่ทัพได้อย่างไร” หรงเซิงแย้ง “ตอนนั้นชุนหงเป็นคนนำบ่าวออกมาทุบตี หัวของสี่เชวี่ยถูกตีจนบวมเหมือนหัวหมู เสี่ยวลิ่วจื่อมองดูอยู่ด้านข้างยังนึกสงสาร ภายหลังเห็นไม่มีคนถึงได้แอบจ้างรถม้าส่งนางกลับไป” เขาแอบเหลือบมองสีหน้าผู้เป็นนายอีกครั้ง “หรือว่าจะให้บ่าวตามเสี่ยวลิ่วจื่อมา คืนนี้ท่านแม่ทัพลองถามเขาดูเอง” เสี่ยวลิ่วจื่อเป็นบ่าวที่เฝ้าประตูด้านในตอนนั้น
ส่วนลึกของนัยน์ตาเสิ่นจงชิ่งฉายแววผิดหวัง เขาเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร
“นายหญิงใหญ่น่าจะล้มป่วยตอนนั้น สี่เชวี่ยถึงได้มาขอร้องท่าน” หรงเซิงวิ่งเหยาะๆ ตามไป
เสิ่นจงชิ่งก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าด้วยสีหน้าถมึงทึง
“เรื่องอะไรทำให้มารดาดีใจถึงเพียงนี้” พอถึงเรือนบำรุงใจของฮูหยินผู้เฒ่า เสิ่นจงชิ่งได้ยินเสียงสาวใช้หัวเราะคิกดังมาแต่ไกล เขารีบก้าวเข้าไปในเรือน
เสิ่นฮูหยินกำลังพิจารณาภาพเหมือนหลายม้วนอยู่กับสาวใช้ เห็นเขาเข้ามาก็ยิ้มทัก “ชิ่งเอ๋อร์รีบมานั่งเร็วเข้า” นางหันไปสั่งสาวใช้รุ่นใหญ่จื่อเยวี่ยว่า “ยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ”
จื่อเยวี่ยขานรับและก้าวฉับๆ ออกไป
“ได้ยินว่ามารดาไปจวนอันชิ่งโหวมาหรือขอรับ” อันชิ่งโหวเซวียอี้เป็นพระบิดาของฮองเฮา อาศัยว่าบุตรสาวตนเป็นฮองเฮาและมีฮ่องเต้ตามใจ หลายปีมานี้จึงจับกลุ่มเป็นฝั่งเป็นฝ่าย กุมอำนาจในราชสำนักจนฮ่องเต้หวาดระแวง พอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าไปจวนเขา เสิ่นจงชิ่งรู้สึกไม่พอใจยิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมารดา เขาจึงไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงแต่นั่งลงข้างมารดา “นี่อะไรหรือ” เขายื่นมือไปหยิบภาพม้วนหนึ่งคลี่ออกแล้วอดตกใจไม่ได้
ในภาพเป็นหญิงสาวรูปร่างแบบบาง ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน
“มารดา นี่…นี่คือ…” เสียงของเสิ่นจงชิ่งเจือแววประหลาดใจ
“สวยหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มร่าพลางหยิบภาพวาดอีกม้วนมาคลี่ตรงหน้าเขา “ชิ่งเอ๋อร์ลองดูภาพนี้สิ”
“มารดา…” เสิ่นจงชิ่งไม่ได้รับภาพมา แต่ร้องเรียกเสียงค่อย
“นางคือคุณหนูสิบของอันชิ่งโหว อายุสิบสาม ชิ่งเอ๋อร์อย่าเห็นว่านางอายุน้อย นางสุขุมรู้กาลเทศะยิ่ง” เสิ่นฮูหยินชี้เด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงามเฉิดฉัน “วันนี้เสี่ยนเกอ เหลนของอันชิ่งโหวทำพิธีอาบน้ำหลังอายุครบสามวัน ที่จวนเชิญคณะละครมา เด็กคนนี้นั่งดูละครกับพวกเราคนแก่ เด็กคนอื่นเข้าๆ ออกๆ ทั้งหัวเราะและดื้อซน นั่งไม่ติดที่สักขณะ มีเพียงนางที่นั่งคุยกับข้าอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย วาจาสุภาพนุ่มนวล ให้ดูอย่างไรก็ถูกใจข้ายิ่ง”
นางยิ้มมองบุตรชาย “ข้าหาคนมาดูแล้ว ล้วนบอกว่านางมีดวงเกื้อหนุนสามี” นางลดเสียงให้เบาลง “เอวบางสะโพกผาย อีกหน่อยต้องให้กำเนิดลูกชายได้แน่” แม้ที่บ้านจะมีอนุห้าคนแล้ว แต่ที่ผ่านมาเสิ่นจงชิ่งมีบุตรสาวคนเดียวเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าร้อนใจกับเรื่องนี้มาก
ปี้เยวี่ยกับจื่อเยวี่ยปิดปากหัวเราะคิก
เสิ่นจงชิ่งหน้าแดงทันใด “มารดา…” น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจเข้มข้น
ในที่สุดเสิ่นฮูหยินก็วางภาพวาดลง สีหน้าจริงจังขึงขัง “ชิ่งเอ๋อร์ในวันนี้ไม่เหมือนวันวานอีกแล้ว อีกหน่อยย่อมต้องสมาคมกับเหล่าพระญาติและเชื้อพระวงศ์ไม่น้อย หากมีศรีภรรยาคอยช่วยสนับสนุน แม่เองก็วางใจ จะได้ไม่ต้องฝืนสังขารไปช่วยเจ้าผูกสัมพันธ์กับคนอื่น…” น้ำเสียงเอื้ออารีแฝงแววยืนกราน “อยู่ในจวนชิ่งเอ๋อร์ให้อี๋เหนียงดูแลจัดการเรื่องในบ้านได้ไม่เป็นไร แต่อยู่ข้างนอก การเข้าสังคมย่อมไม่อาจให้อี๋เหนียงออกหน้าได้” นางมองเสิ่นจงชิ่งอย่างมีนัย “นั่นย่อมเป็นการหักหน้าผู้อื่น” นางพูดพลางถอนหายใจ
ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ความคิดของบุตรชาย แต่ฉู่ซินอี๋เจ้าเล่ห์เกินไป ฐานะและชาติตระกูลก็ไม่คู่ควรกับเสิ่นจงชิ่ง จะยกเป็นภรรยาเอกไม่ได้เด็ดขาด
ที่สำคัญที่สุดคือเสิ่นจงชิ่งเป็นคนเถรตรง แม้จะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่กลับไม่ยอมใช้อำนาจขอตำแหน่งให้ญาติพี่น้องของตนเอง ลูกชายคนเล็กของนางเสิ่นจงซิ่นสอบขุนนางไม่ติดสามปีติดต่อกัน ฮูหยินขุนนางหลายคนล้วนบอกนางเป็นนัยว่าขอเพียงเสิ่นจงชิ่งไปพูดให้ คนของสำนักราชบัณฑิตย่อมหาตำแหน่งชั่วคราวให้ลูกชายคนเล็กของนางได้ แต่นางเอ่ยปากหลายครั้งแล้ว เสิ่นจงชิ่งไม่เพียงไม่ตกลง ยังอ้างโทษที่ใช้ความมั่งคั่งมากบารมีไปเอาเปรียบผู้อื่นถีบส่งน้องชายไปศึกษาเล่าเรียนไกลถึงเมืองไป่เฉวียนที่อยู่ห่างออกไปสามร้อยลี้
เมื่อหวังพึ่งลูกชายไม่ได้ นางจึงได้แต่หวังพึ่งลูกสะใภ้
หากเสิ่นจงชิ่งสามารถแต่งบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจเป็นภรรยาคนใหม่ได้ เรื่องเล็กแค่นี้ญาติฝ่ายภรรยาย่อมจัดการได้อยู่แล้ว
ดังนั้นเพื่อขัดขวางไม่ให้เสิ่นจงชิ่งยกฉู่ซินอี๋เป็นภรรยาเอก นางจึงตกลงกับฮูหยินอันชิ่งโหวอย่างลับๆ แล้วว่ารอให้เสิ่นจงชิ่งตกลงหย่าขาดเสียก่อน นางจะเอาสินสอดไปสู่ขอคุณหนูสิบของจวนโหวทันที!
“ข้าทราบขอรับ” เสิ่นจงชิ่งรู้สึกปวดหัว ที่บ้านมีผู้หญิงตั้งห้าหกคนแล้ว เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายทุกวันยังไม่พอ มารดายังจะจัดการเรื่องนี้ให้เขา!
เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานอีก ที่อยากตกลงหย่าก็เพื่อยกฉู่ซินอี๋เป็นภรรยาเอก และนับเป็นการทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับนางว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา หากจะพูดถึงการสังสรรค์เข้าสังคมกับพระญาติฝ่ายหญิง ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของฉู่ซินอี๋ย่อมรับมือกับเรื่องนี้ได้สบาย เอ่ยปากคิดจะบอกความตั้งใจของตนเอง เสียงของหรงเซิงกลับดังขึ้นข้างหู ในใจอดลังเลไม่ได้ เรื่องนี้ใช่ควรรอไปอีกสักพักหรือไม่
เห็นใบหน้าเขาบึ้งตึง ไม่มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงโบกมือให้คนในเรือนถอยออกไปและเอ่ยถามตรงๆ “เรื่องตกลงหย่าเรียบร้อยหรือยัง”
“ยังขอรับ” เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่านั่งตัวตรง “นางไม่ยินยอมหรือ!” คิดถึงความร้ายกาจของเจินสือเหนียงเมื่อห้าปีก่อน ใบหน้าของเสิ่นฮูหยินพลันบึ้งตึง
หากเจินสือเหนียงกัดไม่ปล่อย เรื่องนี้ย่อมจัดการได้ยาก เจินสือเหนียงยอมเสียหน้าได้ แต่จวนแม่ทัพจะเสียหน้าได้อย่างไรกัน
“หรือว่า…” เห็นเสิ่นจงชิ่งเงียบ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งมั่นใจว่าเจินสือเหนียงต้องไม่ตกลงแน่นอน นางก้มหน้าคิดและเสนอว่า “ชิ่งเอ๋อร์จะทูลขอพระอนุญาตจากองค์ฮ่องเต้ เป็นฝ่ายหย่านางเสีย”
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บัดนี้บุตรสาวเป็นถึงพระชายา บุตรชายเป็นแม่ทัพผู้มีคุณความชอบใหญ่หลวง ได้รับความโปรดปรานอย่างสูงเช่นนี้ เชื่อว่าขอเพียงเสิ่นจงชิ่งเอ่ยปาก ฮ่องเต้อาจจะไม่ยึดติดกับราชโองการของอดีตฮ่องเต้
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมีเหตุผล น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเจือแววตำหนิ “นางไม่มีทายาทเป็นเวลาห้าปี ตามกฎหมายของต้าโจว ลำพังข้อนี้ชิ่งเอ๋อร์ก็เป็นฝ่ายหย่านางได้อย่างถูกต้องแล้ว!” ความดีใดก็ไม่เทียบเท่าความกตัญญู ไร้ทายาทสืบสกุลเป็นเรื่องใหญ่และเป็นหนึ่งในกฎเจ็ดออก*
“ท่านแม่เข้าใจผิดแล้ว” เขาตกใจกับท่าทีของมารดา พอได้สติก็รีบส่ายหน้าติดๆ กัน “ข้าเห็นนางเป็นโรคเลือดพร่อง ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูกจึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้” การเรียกมารดาว่าแม่เป็นธรรมเนียมของเมืองอู๋ถง เขาเรียกมาแต่เด็กจนชิน เวลาไม่มีคนอื่นจึงชอบเรียกแบบนี้
“นางเป็นโรคเลือดพร่อง?” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจ “เป็นได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้ถาม” เสิ่นจงชิ่งเล่าสิ่งที่พบเห็นมาสองวันนี้ให้มารดาฟัง “เสื้อผ้าที่นางสวมใส่เต็มไปด้วยรอยปะชุน ชีวิตลำบากยิ่งกว่าแม่ม่ายหลี่ที่อาศัยอยู่หน้าบ้านเราในอดีตเสียอีก” แม่ม่ายหลี่เป็นเพื่อนบ้านสมัยเด็กของเสิ่นจงชิ่ง สามีนางร่างกายอ่อนแอและถูกโรครุมเร้า แต่งงานไม่ถึงปีก็ตายจากไป ญาติสามีหาว่านางมีดวงพิฆาตสามี แม่ม่ายหลี่จึงถูกขับไล่ออกมา พี่น้องของนางกลัวนางจะนำความอัปมงคลมาให้ ไม่ยอมรับนางกลับไปอยู่ด้วย นางได้แต่อาศัยการปะชุนเสื้อผ้าหาเลี้ยงชีพ ชีวิตลำบากยิ่ง
ตอนนั้นเสิ่นจงชิ่งยังเด็ก พอเข้าฤดูใบไม้ผลิมักจะเห็นนางซักเสื้อผ้าให้ผู้อื่นอยู่ริมแม่น้ำอันเยียบเย็น หลังมือหยาบกร้านเต็มไปด้วยรอยแดงจากความเย็น ทำให้เขาจดจำได้แม่นยำแม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปี
ภายหลังเขาสอบได้จ้วงหยวน กลับเมืองอู๋ถงเห็นหน้าบ้านเปลี่ยนผู้อยู่อาศัย ถึงได้รู้ว่าแม่ม่ายหลี่ผู้นั้นตายไปสามสี่ปีแล้ว ว่ากันว่าเป็นเพราะขึ้นไปตัดฟืนบนภูเขาหน้าหนาวและหิวจนเป็นลม หนาวตายอยู่ข้างทาง
เจินสือเหนียงไม่มีบ้านของพ่อแม่ให้กลับ หากพวกเขาตกลงหย่าขาดกัน นางจะกลายเป็นแม่ม่ายหลี่คนที่สองหรือไม่ ไม่รู้เหตุใดพอคิดว่าเจินสือเหนียงอาจหนาวตายอยู่บนพื้นหิมะเพราะความยากจน หัวใจของเขาจึงหดเกร็งอย่างไร้สาเหตุ
นี่เขากำลังใจอ่อนอีกแล้ว ลูกชายตนเองนิสัยอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีที่สุด นางฟังแล้วถอนหายใจ “แล้วชิ่งเอ๋อร์คิดจะคุยเรื่องนี้กับนางเมื่อไรล่ะ”
“ข้า…” ดวงตาของเสิ่นจงชิ่งฉายความลังเล เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดเมื่อไรถึงจะเหมาะสม
หากเจินสือเหนียงหยาบคายสักหน่อย ร้ายกาจสักหน่อย เมื่อวานเขาย่อมสามารถพูดเรื่องตกลงหย่าออกไปโดยไม่ลังเล แต่ยามเผชิญหน้ากับเจินสือเหนียงที่เป็นแบบนั้น เขาพูดไม่ออกจริงๆ
“ข้ารู้ ชิ่งเอ๋อร์ไม่ชอบซ้ำเติมผู้อื่นตั้งแต่เล็กแล้ว” เห็นท่าทีของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าถอนใจอีกครั้ง “แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่น ชิ่งเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว ข้าหวังจากใจอยากให้เจ้ามีหลานให้ข้าในเร็ววัน ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้อนุเป็นใหญ่จนผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้” นางมองเสิ่นจงชิ่ง “ชิ่งเอ๋อร์อย่าได้ตัดสินใจผิดเป็นอันขาด!” น้ำเสียงของนางเมตตาอารี ทว่ายืนกรานหนักแน่น
“ท่านแม่กล่าวถูกต้อง อีกสองวันข้าจะไปพบนางและคุยเรื่องนี้” ไม่รู้เพราะเหตุใด พอตัดสินใจอย่างนี้แล้ว หัวใจเขาถึงหดเกร็งอย่างแรงอีกครา
เขาส่ายศีรษะ สะบัดความรู้สึกแปลกประหลาดออกจากใจ เสิ่นจงชิ่งยิ้มให้มารดาและเอ่ยถามหยั่งเชิงด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ “ท่านแม่ หลังตกลงหย่าข้าไม่คิดจะหาผู้หญิงใหม่แล้วล่ะ เลือกสักคนจากบรรดาอนุเถอะ” เห็นมารดาหน้าบึ้ง จึงอธิบายว่า “ท่านแม่ก็เห็นแล้ว แค่ผู้หญิงห้าคนยังทำให้บ้านวุ่นวายถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าไม่รู้จะต่อว่าหรือทำโทษ หากเพิ่มเข้ามาอีกคนเกรงว่า…”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าจัดการไม่ยุติธรรม!” เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าสูงขึ้นโดยพลัน “ทั้งที่เป็นอี๋เหนียงเหมือนกัน ไฉนจึงรักใคร่นางเพียงคนเดียวแบบนั้น!”
เสิ่นจงชิ่งเป็นลูกกตัญญู แม้ในใจจะไม่เห็นด้วยเรื่องแต่งงานใหม่ แต่เห็นมารดาโมโหก็ไม่กล้าพูดต่อ เงียบไปทันที
นานทีเดียวฮูหยินผู้เฒ่าจึงโน้มน้าวด้วยความหวังดีว่า “ที่บรรดาอี๋เหนียงทะเลาะกันเพราะพวกนางต่างไม่ยอมกัน อีกหน่อยหากชิ่งเอ๋อร์แต่งภรรยา มีภรรยาเอกคอยข่มพวกนางอยู่ ขอเพียงเจ้าไม่เอาใจอนุจนเกินหน้าเกินตา พวกนางย่อมไม่กล้าทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่อีก”
“ท่านแม่…”
เสิ่นจงชิ่งเพิ่งจะร้องเรียกคำเดียวก็ถูกขัด “ข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะยกอนุขึ้นมาเป็นภรรยาเอก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่น แต่เป็นเพราะพวกนางฐานะต่ำต้อยเกินไป ไม่คู่ควรกับเจ้า เป็นอนุก็แล้วไปเถอะ แต่จะเป็นภรรยาเอกไม่ได้เด็ดขาด” นางมองเสิ่นจงชิ่งด้วยแววตาแฝงความหมาย “แม้จะเป็นแม่ทัพ แต่นี่เป็นสิ่งที่ชิ่งเอ๋อร์แลกมาด้วยชีวิต ถึงอย่างไรชิ่งเอ๋อร์ก็ไม่มีพื้นฐาน หากได้แต่งงานกับคนดีๆ นับแต่นี้ไปตระกูลเสิ่นของเราย่อมมีฐานะมั่นคงในเมืองหลวง”
ด้วยความที่เป็นสตรีจากชนบท เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้เรื่องการถ่วงดุลอำนาจเหล่านี้ เรื่องนี้นางเพิ่งเรียนรู้มาจากจวนอันชิ่งโหววันนี้เอง
เสิ่นจงชิ่งหน้าแดง “อี๋เอ๋อร์ก็ถือกำเนิดในตระกูลขุนนาง”
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงเยาะ “แค่ขุนนางกองอุทธรณ์ฎีกาขั้นห้าจะเทียบกับชิ่งเอ๋อร์ได้อย่างไร!” บิดาของฉู่ซินอี๋ดำรงตำแหน่งผู้รวมฎีกาสังกัดกองอุทธรณ์ฎีกา “ขนาดตอนนี้เป็นแค่อนุ น้องชายนางยังอ้างชื่อพี่เขยที่เป็นแม่ทัพใหญ่เที่ยวก่อเรื่องข้างนอกไปทั่ว หากยกนางเป็นภรรยาเอกไม่รู้นางจะโอ้อวดสักเพียงใด”
เรื่องพวกนี้เสิ่นจงชิ่งเคยได้ยินมาเหมือนกัน เขานิ่วหน้า “ข้าจะบอกให้อี๋เอ๋อร์ตักเตือนเขา” เขาฝืนฉีกยิ้ม “ตอนอี๋เอ๋อร์แต่งให้ข้า ข้าเองก็เป็นเพียงขุนนางขั้นหก ตอนนั้นนับว่าข้าอาจเอื้อมเสียด้วยซ้ำ”
นี่เป็นความจริง ท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าจึงอ่อนลงทันใด
ในอดีตฉู่ซินอี๋ลดตัวมาแต่งงานกับเขา ไม่ว่าจะชิงชังนางเพียงใด ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ เนื่องจากบิดาของเจินสือเหนียงต้องโทษ ด้วยเกรงว่าเสิ่นจงชิ่งจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยและได้รับคำชี้แนะจากผู้รอบรู้ ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้ร้อนใจแต่งฉู่ซินอี๋เข้ามาด้วยพิธีการเหมือนแต่งภรรยาเอก ใช้อีกวิธีในการประกาศจุดยืนของเสิ่นจงชิ่ง ภายหลังเพื่อเอาใจตระกูลฉู่ นางเองเป็นคนเสนอให้ฉู่ซินอี๋เป็นผู้จัดการธุระในจวนนี้เสียด้วยซ้ำไป
คิดไม่ถึงว่าเชิญพระมาง่ายกว่าส่งพระจากไป เรื่องต่างๆ ในจวนจ้วงหยวนตกอยู่ในมือของฉู่ซินอี๋นานเข้า นางจึงมีอำนาจมหาศาลจนมิอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อีก
ในห้องเงียบผิดปกติ
เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของบุตรชาย ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหมดหวัง แต่คำพูดของฮูหยินอันชิ่งโหวยังดังขึ้นข้างหู ฝากจงซิ่นไปเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงสักสองปี จากนั้นหาตำแหน่งในสำนักราชบัณฑิตให้เขา มีชื่อเสียงของแม่ทัพเสิ่นสนับสนุนอยู่ ไม่กี่ปีย่อมเจริญก้าวหน้า… คิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงกัดฟัน ไม่ว่าอย่างไร เพื่ออนาคตของลูกชายคนเล็ก นางต้องผลักดันให้การแต่งงานครั้งนี้สำเร็จลงให้จงได้!
“ชิ่งเอ๋อร์…” ลังเลอยู่นานกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ่ยปากทำลายความเงียบ
ที่เสิ่นจงชิ่งไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ เหตุผลหลักเพราะต้องการยกฉู่ซินอี๋ขึ้นมาเป็นภรรยาเอก เห็นทีนางจำเป็นต้องบอกเรื่องที่ฉู่ซินอี๋กระทำลับหลังเขาในช่วงหลายปีมานี้ให้เขารู้บ้างเสียแล้ว
“ใช่แล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคิดว่าจะพูดอย่างไร เสิ่นจงชิ่งกลับเปลี่ยนเรื่อง “ข้าซื้อเออเจียวมาให้ท่านแม่ ท่านแม่เห็นหรือยัง” เขาพูดต่อ “เออเจียวสกุลเจี่ยนในเมืองอู๋ถงเป็นของหายาก ข้างนอกต่างลือกันว่าดีกว่าของสำนักแพทย์หลวง ข้าเดินทางไปตั้งสองครั้งกว่าจะซื้อได้”
เห็นบุตรชายเปลี่ยนเรื่องคุย ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ ยิ้มบ่นว่า “เปลืองเงินอีกแล้ว ร่างกายข้ายังแข็งแรงอยู่ จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เสียที่ไหน” ดวงตาหรี่ลง “สมัยสาวๆ ตอนไปทำนากับพ่อเจ้า ผู้หญิงสาวๆ ในรัศมีหลายลี้ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก” พูดถึงวัยสาว ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเปล่งประกายสดใสขึ้นมาหลายส่วน
เห็นฮูหยินผู้เฒ่าไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก เสิ่นจงชิ่งสบายใจขึ้นไม่น้อย ยกชาขึ้นจิบคำแล้วคำเล่าพลางคลี่ยิ้มฟังนิทานที่เขาฟังมาแล้วเป็นร้อยรอบ
พอกลับจากร้านขายอาหารแห้ง ชิวจวี๋ดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาและใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ “คุณหนู…” นางผลักประตูเข้าไป กลับพบว่าเรือนตะวันออกเงียบสนิท
“หายไปไหนล่ะ” ชิวจวี๋กวาดตามองไปรอบด้าน ย้อนกลับไปที่ลานบ้านแล้วเก็บแป้งข้าวโพดที่เพิ่งซื้อมาให้เรียบร้อย จากนั้นหมุนตัวเดินไปหลังบ้าน
เจินสือเหนียงนั่งคนน้ำเออเจียวกึ่งโปร่งแสงอยู่หน้าเตาในสภาพเหงื่อแตกพลั่ก สี่เชวี่ยนั่งดึงกล่องสูบลมอยู่ข้างเตาพลางดูแลเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่นั่งแกะเมล็ดทานตะวันอย่างร่าเริงอยู่หน้าประตู
ฤดูหนาวไม่มีของกินเล่น เพื่อแก้ความอยากกินขนมให้เด็กๆ เจินสือเหนียงตั้งใจปลูกดอกทานตะวันไว้รอบบ้านมากมาย สิบวันก่อนตัดออกมาและโยนขึ้นไปตากบนหลังคาจนแห้งดี จากนั้นก็ให้เจี่ยนอู่ไปดอกหนึ่ง
เจี่ยนอู่ถือดอกทานตะวันขนาดเท่าจาน มือเล็กเพียงจับก็พาให้กลีบดอกสีเหลืองที่ตากแดดจนแห้งร่วงลงบนพื้น จากนั้นจึงแกะเมล็ดทานตะวันออกมาทีละเมล็ดจากด้านขอบของเกสร พอแกะจนโล่งไปแถบหนึ่ง มือเล็กก็ถูกันให้ของในมือหล่นลงข้างล่าง ทำให้กระจาดบนพื้นมีเมล็ดทานตะวันกองสูงเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ทันที บางครั้งยังเก็บเมล็ดทานตะวันขึ้นมากะเทาะเปลือกและโยนเนื้อใส่ปาก ขบเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยพลางเดาะลิ้น “เมล็ดแตงอร่อยจริงๆ!”
“อืม” เจินสือเหนียงยิ้มพยักหน้า “คั่วให้สุกแล้วยิ่งหอม วันนี้เหวินเกอ อู่เกอแกะดอกทานตะวันพวกนี้ให้หมด กลางคืนเทเมล็ดลงในเตา ข้าจะให้ชิวจวี๋คั่วให้พวกเจ้ากิน”
“เย้…เย้…มีเมล็ดแตงคั่วกินแล้ว! มีเมล็ดแตงคั่วกินแล้ว!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่โห่ร้องอย่างดีใจ “ท่านแม่วางใจได้ ก่อนฟ้ามืดจะต้องแกะออกมาจนหมดแน่!” เด็กสองคนร้องโหวกเหวกพักหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าออกแรงถู
สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียง ปากบ่นว่า “เด็กยังเล็กถึงเพียงนี้ คุณหนูก็ตัดใจให้พวกเขาทำงานได้” เห็นเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ทำงานโน่นนี่ทุกวันเหมือนผู้ใหญ่ ฉางเหอที่บ้านนางยังนึกสงสาร แอบบอกให้นางเตือนเจินสือเหนียงว่าอย่าทิฐิมากนัก ก้มหัวให้เสิ่นจงชิ่งสักหน่อย ให้เขารับลูกกลับไปอยู่จวนแม่ทัพ เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ย่อมสุขสบายมากกว่าอยู่ที่นี่ อีกทั้งหากไม่มีเด็กเป็นตัวถ่วง เจินสือเหนียงย่อมสบายขึ้นมาก จะได้ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง
เจินสือเหนียงยิ้มบางๆ “พวกเขาก็มีความสุขมากมิใช่หรือ” บุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งในชาติก่อนเอ่ยไว้ว่า ‘การใช้แรงงานน่าภาคภูมิใจที่สุด’
ถึงอย่างไรนางกับเสิ่นจงชิ่งก็ต้องหย่าร้างกัน เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีแม่เพียงคนเดียว นางอยากให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กระตือรือร้นและมองโลกในแง่ดีตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยความเข้มแข็ง อย่าคิดว่าตนเองไม่มีพ่อแล้วมัวแต่สงสารเห็นใจตนเองจนสูญเสียความสุขที่ควรมีไป กลายเป็นคนแปลกแยกเงียบขรึม
“พี่ชิวจวี๋!” ระหว่างนั้นชิวจวี๋ผลักประตูเดินเข้ามา เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องเรียกเสียงหวานพร้อมกัน
“จ้า” ชิวจวี๋ก้มตัวลูบหัวเด็กทั้งสอง “แกะเมล็ดแตงหรือ” นางพูดต่อ “ถ้าเหนื่อยก็พักนะ ที่เหลือไว้กินข้าวเสร็จข้าแกะให้เอง”
“ไม่เหนื่อยเลย!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ส่ายหน้าพร้อมกัน “ท่านแม่บอกว่าถ้าแกะเสร็จ คืนนี้จะให้ท่านคั่วเมล็ดแตงให้กิน”
“ได้ กินข้าวเสร็จข้าจะคั่วให้พวกเจ้า” ได้ยินว่าเป็นคำสั่งของเจินสือเหนียง ชิวจวี๋จึงยิ้มรับคำ พอเงยหน้าเห็นเจินสือเหนียงนั่งเคี่ยวเออเจียวอยู่หน้าเตาในสภาพเหงื่อชุ่มก็สะดุ้งตกใจ “วันก่อนคุณหนูเพิ่งเคี่ยวไปหม้อหนึ่งมิใช่หรือ ทำไมทำอีกแล้วล่ะเจ้าคะ” นางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดจากกระเป๋าออกมาซับเหงื่อให้เจินสือเหนียงด้วยความรักใคร่สงสาร
การเคี่ยวเออเจียวต้องใช้แรงกายแรงใจมาก นางกับสี่เชวี่ยช่วยอะไรไม่ได้ ทุกครั้งหลังเคี่ยวเออเจียวเจินสือเหนียงจะเหน็ดเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นหลายวัน แล้วจะทนความตรากตรำแบบนี้ไหวได้อย่างไร
“คุณหนูเห็นท่านแม่ทัพซื้อฟืนกลับมามากมาย เกรงว่าหากย้ายบ้านไปจะใช้ไม่หมด!” สี่เชวี่ยบ่นอย่างไม่พอใจ
นางตักเตือนอยู่นาน คุณหนูกลับไม่ยอมฟัง ดึงดันจะฝืนร่างกายที่อ่อนแอเคี่ยวเออเจียวให้ได้โดยไม่ฟังคำทัดทาน แต่ก่อนนางยังช่วยคนหม้อ กรองน้ำยางได้ แต่ตอนนี้นางตั้งครรภ์ ท้องโตขึ้นทุกวัน จึงได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงกล่องสูบลม เห็นเจินสือเหนียงเหนื่อยจนเหงื่อแตกพลั่กแล้วร้อนใจนัก
ชิวจวี๋แรงเยอะก็จริง แต่ยังเด็กเกินไป ทำงานแบบนี้ไม่ได้
เจินสือเหนียงถอนหายใจเมื่อจับความไม่พอใจจากน้ำเสียงของสี่เชวี่ยได้
หากมีทางเลือกอื่น นางก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่หากไม่ฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่ถูกไล่ออกจากบ้านนี้เก็บเงินให้มากหน่อย เกรงว่าพวกนางแม่ลูกคงได้ขอทานอยู่ตามท้องถนนในอีกไม่ช้าแน่
แต่ก่อนมักคิดว่าตนเองมีบ้าน มีสระบัว ต่อให้ฤดูหนาวต้องทนหิว แต่พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ย่อมมีของกิน ต่อให้อัตคัดแค่ไหนก็ยังมีที่ซุกหัวนอน ทั้งที่รู้ว่าการถูกไล่ออกจากบ้านหลังนี้เป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น ทั้งที่วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะหาเงินเปิดร้านขายยา แต่หากยังไม่ถูกบีบบังคับ นางก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย
จวบจนวันที่เสิ่นจงชิ่งปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกครั้ง นางจึงตระหนกเมื่อพบว่าพอถึงคราวคับขัน นางกลับไม่มีเงินติดตัวแม้แต่ตำลึงเดียว
อย่าว่าแต่เปิดร้านขายยาเลย แค่บ้านฟางสามหลังนางยังไม่มีปัญญาเช่า
คิดถึงคำพูดของเสิ่นจงชิ่งที่ว่าต่อให้หย่านางแล้วก็ไม่อนุญาตให้นางแต่งงานใหม่ เจินสือเหนียงหัวใจจมดิ่ง รู้สึกหนักใจเหลือเกิน แต่นางไม่อยากให้เด็กๆ รับรู้ถึงความลำบากบนโลกใบนี้เร็วเกินไป มือคนเออเจียวโดยไม่ตอบอะไร ปากถามชิวจวี๋ว่า “ซื้อแป้งข้าวโพดกลับมาหรือเปล่า”
“ซื้อกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋ตอบรวดเร็ว “เปลือกข้าวร้อยชั่ง แป้งข้าวโพดสี่สิบชั่ง ใช้เงินไปทั้งหมดร้อยห้าอีแปะ” นางยื่นมือไปแย่งทัพพีไม้จากเจินสือเหนียง “คุณหนูพักสักประเดี๋ยวเถอะเจ้าค่ะ ให้บ่าวลองดู” นางยิ้มร่า “ไว้เรียนรู้วิชาจากคุณหนูได้เมื่อไร อีกหน่อยบ่าวจะเป็นหมอเทวดาบ้าง”
เห็นในหม้อมีฟองผุดขึ้นมาแล้ว เจินสือเหนียงส่ายหน้า “ใกล้เสร็จแล้วล่ะ เจ้ากะความร้อนของเตาไม่ถูก” นางสั่งสี่เชวี่ย “แป้งข้าวโพดซื้อกลับมาแล้ว เดี๋ยวให้ชิวจวี๋คอยดูไฟ เจ้าไปหมักแป้ง คืนนี้ทำขนมปุยฝ้ายสองกระจาด” ที่นี่ควันคลุ้งไฟแรง ไม่ดีต่อเด็กในครรภ์ของสี่เชวี่ย
“พี่เอ้อร์จู้เพิ่งส่งแป้งขาวมาให้สองกระสอบ ทำไมท่านแม่ไม่ทำหมั่นโถวล่ะ” ได้ยินเจินสือเหนียงบอกว่าจะทำขนมปุยฝ้ายสองกระจาด เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ทำปากอูดทันที “หมั่นโถวอร่อยกว่า!”
เสิ่นจงชิ่งจากไปเดือนกว่าแล้ว แม้จะไม่ได้มาที่นี่อีก แต่ไม่กี่วันก่อนเพิ่งสั่งให้คนมาส่งแป้งขาวและเนื้อสัตว์ ตามหลักแล้วกินแต่แป้งขาวก็ได้ แต่พอคิดว่าชีวิตยากลำบากยังรออยู่ข้างหน้า เจินสือเหนียงจึงเสียดายไม่อยากใช้แป้งขาวล้วนทำอาหาร ยืนกรานจะผสมแป้งข้าวโพดเข้าไปด้วย
“แป้งขาวต้องเก็บไว้กินตอนขึ้นปีใหม่” เจินสือเหนียงอธิบายเสียงนุ่ม มองใบหน้าไร้เดียงสาของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่แล้วทำใจแข็ง “ปีนี้มีแป้งขาวมากกว่าปีก่อนๆ พวกเราจะกินแป้งขาวจนถึงวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ถึงเวลานั้นเหวินเกอ อู่เกอจะได้กินจนหนำใจ” ที่ผ่านมาวันที่สามพวกนางก็ต้องกลับไปกินแป้งข้าวโพดแล้ว
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฟังแล้วน้ำลายแทบหก โยนดอกทานตะวันทิ้งแล้วเริ่มหักนิ้วนับว่าเหลืออีกกี่วันถึงจะเป็นวันปีใหม่
ในห้องเก็บของยังมีแป้งขาวอยู่อีกสามกระสอบ พอให้เด็กสองคนนี้กินแน่นอน
สี่เชวี่ยขยับปากทำท่าจะพูด อยากเกลี้ยกล่อมเจินสือเหนียงให้นึ่งแป้งขาวหม้อหนึ่งให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กินโดยเฉพาะ แต่พอคิดว่าหากพวกเขาถูกไล่ออกจากบ้านหลังนี้เมื่อใด เกรงว่าอีกหน่อยแม้แต่โจ๊กแป้งข้าวโพดอาจยังไม่มีจะดื่มก็ได้แต่ถอนหายใจ จับชิวจวี๋พยุงตัวลุกขึ้นยืน คว้ากระจาดใส่เมล็ดทานตะวันขึ้นมาตอนเดินผ่านประตู “ไปเถอะ เราไปแกะต่อที่หน้าบ้านกัน”
ด้วยรู้สึกว่าตรงนี้ร้อนเกินไป เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงบอกลาเจินสือเหนียงและวิ่งไปแย่งกระจาดใส่เมล็ดทานตะวัน ช่วยกันถือซ้ายขวาคนละข้างและตามสี่เชวี่ยไปลานหน้าบ้าน
“เอาน้ำมันหอมให้ข้า” เจินสือเหนียงใช้ทัพพีไม้ตักเออเจียวขึ้นมาและเทลงช้าๆ เห็นน้ำเออเจียวจับตัวเป็นแผ่นแล้วจึงออกคำสั่ง
เติมน้ำมันหอมลงไป คนอีกสักพัก นางก็สั่งให้ชิวจวี๋ดับไฟ
ใช้ทัพพีเหล็กขนาดใหญ่พิเศษตักเออเจียวที่เคี่ยวเสร็จลงในถาดเหล็กที่ทาน้ำมันหอมไว้ก่อนแล้ว เทเป็นชั้นหนาประมาณหนึ่งนิ้ว จากนั้นให้ชิวจวี๋ใช้โครงไม้ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษยกถาดไปวางบนชั้นเหล็กข้างหน้าต่าง รอให้เออเจียวค่อยๆ แข็งตัว
ขณะยุ่งง่วน จู่ๆ เจินสือเหนียงก็รู้สึกตัวเบาหวิวหน้ามืด ทัพพีเหล็กในมือหล่นลงในหม้อ
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ!” ชิวจวี๋ที่เพิ่งวางถาดเออเจียวได้ยินเสียงและหันกลับมา เห็นเจินสือเหนียงหัวทิ่มลงไปในหม้อเออเจียว!
ชิวจวี๋ตกใจร้องว่า “แย่แล้ว!” ก่อนจะพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว