ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8
บทที่ 5
โชคดีที่ชิวจวี๋เห็นก่อนและประคองเจินสือเหนียงไว้ได้ทัน นางจึงไม่หล่นลงไปในหม้อร้อนๆ แต่ถาดเออเจียวที่เทไปได้ครึ่งหนึ่งบนแท่นหินข้างเตาถูกชิวจวี๋เตะกระเด็น เออเจียวกว่าครึ่งถาดสาดกระจายเต็มพื้น
พอรู้สึกว่าถูกประคอง เจินสือเหนียงก็เบาใจ ร่างกายอ่อนยวบลงบนตัวของชิวจวี๋ทันที
“คุณหนู! คุณหนู!” ชิวจวี๋เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เสียที่ไหน นางตกใจร้องไห้โฮ “อาสี่เชวี่ย เหวินเกอ! อู่เกอ! ใครก็ได้รีบมาช่วยที!” หัวใจว้าวุ่น ชิวจวี๋ร้องตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง
เจินสือเหนียงฝืนลืมตาขึ้นและสะกิดชิวจวี๋แรงๆ “อย่าร้องอีกเลย จะทำให้เด็กตกใจ”
“คุณหนู…” เห็นเจินสือเหนียงฟื้น ชิวจวี๋สบายใจขึ้นไม่น้อย
“เป็นเพราะในห้องร้อนเกินไป อากาศไม่ถ่ายเท เจ้าพยุงข้าไปนั่งที่หน้าประตูสักพัก” เจินสือเหนียงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเป็นปกติ
“เจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋พยักหน้าอย่างว่าง่าย
ปากบอกว่าพยุง แท้จริงแล้วชิวจวี๋แทบจะต้องอุ้ม โชคดีที่เจินสือเหนียงตัวเบามาก ชิวจวี๋ตัวเล็กก็จริง แต่ก็อุ้มไหว ไม่นานก็พานางมานั่งบนม้านั่งหน้าประตูโดยให้พิงกับกำแพง จากนั้นหันไปหยิบน้ำต้มที่เหลืออยู่ครึ่งกาบนเตารินให้เจินสือเหนียงดื่มหนึ่งถ้วย “คุณหนูนั่งพักตรงนี้ก่อน บ่าวจะไปตามอาสี่เชวี่ยมา” ชิวจวี๋วางถ้วยลงทำท่าจะวิ่งออกไป
“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงคว้าตัวนางไว้ “นางตั้งครรภ์อยู่ เจ้าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมให้นางตกใจเปล่าๆ เมื่อกี้ข้าแค่หน้ามืดเท่านั้น ดื่มน้ำสักถ้วยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” เพียงครู่เดียวเจินสือเหนียงก็เหงื่อออกเต็มตัว นางพิงกำแพงหอบหายใจครู่หนึ่ง “ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ เจ้าไปตักเออเจียวในหม้อออกมา…ประเดี๋ยวจะแข็งหมด” น้ำเสียงแผ่วเบา แต่กลับแฝงแววยืนกรานไม่ยอมให้ปฏิเสธ
น้ำตากลิ้งไปมาอยู่ในดวงตา ชิวจวี๋เม้มปากพยักหน้า หันไปหยิบผ้าผืนใหญ่มาให้เจินสือเหนียงซับเหงื่อบนหน้าผาก “คุณหนูนั่งพักก่อน บ่าวจะรีบทำให้เสร็จเจ้าค่ะ”
ชิวจวี๋เก็บถาดเหล็กบนพื้นขึ้นมาล้างใหม่และเช็ดให้แห้ง ทาด้วยน้ำมันหอม หยิบทัพพีขึ้นมาอย่างระมัดระวังและตักเออเจียวขึ้นจากหม้อ เป็นครั้งแรกที่ทำงานแบบนี้ สองมือของนางสั่นไม่หยุด
“น้ำเออเจียวข้นเกินไป เจ้าต้องไว ต้องออกแรงเทถึงจะสม่ำเสมอ” เห็นชิวจวี๋เทช้าเกินไป น้ำเออเจียวจับตัวอยู่บนถาดเหล็กอย่างไม่สม่ำเสมอกัน เจินสือเหนียงจึงร้องเตือน
“บ่าวโง่เหลือเกิน เทอย่างไรก็ไม่ดี…” ชิวจวี๋ร้องไห้สะอึกสะอื้น
อย่างอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่ของพวกนี้ล้วนซื้อหามาด้วยเงิน! หากทำเสียและขายไม่ออกย่อมขาดทุน มองเออเจียวแผ่นใหญ่ที่หกอยู่บนพื้นก่อนหน้านี้ น้ำตาของชิวจวี๋ก็ร่วงพรูเหมือนไข่มุกที่ขาดจากเส้น ถาดเหล็กตรงหน้าพร่ามัว มือสั่นรุนแรงกว่าเดิม
เจินสือเหนียงถอนหายใจ ยื่นมือไปยันกำแพงและออกแรงจะลุกขึ้น สุดท้ายเกือบหน้าคะมำ นางจึงไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก นั่งพิงกำแพงให้มั่นคงและหอบหายใจแรงๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เออเจียวเคี่ยวเสร็จแล้ว รอให้แข็งตัวค่อยกดให้เรียบและเอาไปตากแห้ง เทไม่สม่ำเสมอก็ไม่เป็นไร แค่หน้าตาไม่น่าดูเท่านั้น แต่มีประสิทธิภาพเหมือนกัน ดีเลย ข้าจะได้เก็บไว้ใช้เองด้วย” นางยิ้มบางๆ “แต่ก่อนเห็นร้านยาขายดี ข้าจึงไม่กล้าเอามาใช้”
น้ำเสียงเมตตาและสงบเยือกเย็นทำให้หัวใจของชิวจวี๋สงบลงไม่น้อย นางหันหลังให้เจินสือเหนียงพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา “บ่าวไม่ได้เรื่อง เทอย่างไรก็ไม่สม่ำเสมอ คุณหนูพูดแล้วนะเจ้าคะ เออเจียวที่เหลือครึ่งหม้อนี้เก็บไว้ให้ท่านดื่มเอง รีบบำรุงร่างกายให้แข็งแรง” นางพยายามข่มความตระหนกและเสียใจของตนเอง อยากจะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ทำอย่างไรก็มิอาจขจัดน้ำเสียงสะอื้นออกไปได้
เจินสือเหนียงฟังแล้วรู้สึกปวดใจ รับปากอย่างรวดเร็วว่า “ได้!”
เมื่อใจไร้กังวล ชิวจวี๋ก็คล่องแคล่วขึ้นมาก ไม่นานก็เทเออเจียวอีกครึ่งหม้อออกมาจนหมดและวางบนโครงเหล็กเรียบร้อย นางตักน้ำสองกระบวยมาแช่หม้อและหันกลับมา “คุณหนู…” นางหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว เห็นเจินสือเหนียงใช้หัวพิงกำแพง สองตาปิดแน่น ใบหน้าซีดขาวฉายแววเหนื่อยล้าที่ไม่ค่อยได้เห็น หัวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนมีความทุกข์ที่มองไม่เห็นวนเวียนอยู่
ชิวจวี๋เบะปาก น้ำตาที่สะกดกลั้นเอาไว้พรั่งพรูลงมา
ด้วยรู้สึกว่ารอบด้านเงียบผิดปกติ เจินสือเหนียงลืมตาขึ้น เห็นชิวจวี๋มองนางน้ำตาไหลพราก ดวงหน้าเล็กเปื้อนคราบเหงื่อและน้ำตา มอมแมมเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง จึงหัวเราะออกมา
“คุณหนู…” เห็นเจินสือเหนียงหัวเราะ ชิวจวี๋เบาใจขึ้นมาก นางก้มตัวลง “บ่าวประคองท่านไปพักผ่อนที่เรือนด้านหน้าก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาขัดหม้อ”
“ไป…” เจินสือเหนียงดันนาง “ไปล้างหน้าซะ”
ชิวจวี๋วิ่งไปล้างหน้า
พอมาถึงเรือนด้านหน้า เจินสือเหนียงปล่อยมือจากชิวจวี๋และสูดหายใจลึกๆ ยืดตัวเดินไปข้างหน้า
“คุณหนู!” ครั้นรู้สึกหัวไหล่เบาโล่ง ชิวจวี๋ร้องอย่างตกใจ ยื่นมือทำท่าจะประคองนาง
“ชู่ว์!” เจินสือเหนียงโบกมือให้นาง “ข้าไม่เป็นไรแล้ว” พูดพลางผลักประตูเรือนด้านหน้า
สี่เชวี่ยนั่งแกะเมล็ดทานตะวันอยู่ในโถงกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ เห็นพวกนางเดินเข้ามาก็วางดอกทานตะวันและยันเข่าลุกขึ้น “เออเจียวเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม” เห็นชิวจวี๋ทำท่าจะตอบ เจินสือเหนียงจึงชิงถามขึ้นก่อน “หมักแป้งหรือยัง”
“หมักแล้วเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยพยักหน้า “แต่สายไปหน่อย น่าจะยามโหย่วถึงจะใช้ได้”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้รีบไปทำงาน เสร็จช้าก็กินช้าหน่อย” เจินสือเหนียงยิ้มพูดติดตลก
“ท่านแม่ ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่โผเข้ามาดึงเจินสือเหนียงอย่างดีอกดีใจพลางชี้ตะกร้าไม้ไผ่ “ท่านแม่ดูสิ เหลืออีกแค่สามดอกเอง!”
“เหวินเกอ อู่เกอเก่งจริงๆ” เจินสือเหนียงลูบหัวพวกเขาอย่างรักใคร่ “กินข้าวเย็นเสร็จแล้วจะให้ชิวจวี๋คั่วเมล็ดแตงให้พวกเจ้ากิน”
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฉีกยิ้มกว้าง
“เหวินเกอ อู่เกอมานี่ดีกว่า” เห็นเจินสือเหนียงใช้มือยันกำแพงด้านหลัง ชิวจวี๋รีบดึงตัวเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไป “อย่ามัวเกาะแกะท่านแม่ พวกเรารีบแกะเมล็ดทานตะวันให้เสร็จ จะได้กินข้าวเย็นกัน” นางก้มหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ทุกคนเห็นไอน้ำที่ผุดขึ้นในดวงตา
“น้ำต้มเดือดแล้ว บ่าวไปเตรียมน้ำให้ท่านนะเจ้าคะ” สี่เชวี่ยไม่ทันสังเกตอาการผิดปกติของชิวจวี๋ เห็นอีกฝ่ายนั่งลงบนม้านั่งของตนเอง นางจึงก้าวเข้าไปในห้องครัว
ทุกครั้งที่เคี่ยวเออเจียว เจินสือเหนียงจะเหงื่อออกทั้งตัว ต้องอาบน้ำให้สะอาดก่อนถึงจะยอมพักผ่อน
“ข้าขอนอนสักพักก่อน” เจินสือเหนียงตอบเสียงเรียบ
สี่เชวี่ยอึ้งอยู่นาน กว่าจะหันกลับมาอย่างเชื่องช้า เจินสือเหนียงก็เข้าไปในห้องแล้ว สี่เชวี่ยรีบก้าวตามไป
“ไฉนคุณหนูจึงนอนลงไปทั้งอย่างนี้เล่าเจ้าคะ!” เห็นเจินสือเหนียงเอนกายลงบนเตียงเตาเปล่าโดยไม่หยิบหมอน สี่เชวี่ยตกใจ รีบกระโดดไปหยิบหมอนในตู้มาหนุนศีรษะให้นางและลูบเตียงเตา “เย็นไปหน่อย บ่าวปูฟูกให้คุณหนูดีกว่า จะได้หลับสบาย”
“อืม” เจินสือเหนียงหลับตาขานรับ “วันนี้เคี่ยวเออเจียวมากไปหน่อย รู้สึกเพลีย ข้าขอหลับสักครู่ ไว้หมักแป้งเสร็จแล้วปลุกข้าขึ้นมานึ่งขนมปุยฝ้ายด้วย”
“บอกไม่ให้ท่านทำ ท่านก็ไม่เชื่อ ทีนี้รู้จักเหนื่อยหรือยังเจ้าคะ!” สี่เชวี่ยเอาผ้ามาเช็ดเตียงเตาให้สะอาดพลางบ่นด้วยความห่วงใย
เจินสือเหนียงรักความสะอาดที่สุด หากไม่ใช่เพราะเหนื่อยอย่างมาก นางไม่มีทางไม่อาบน้ำแน่!
“อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าช่วยถอดเสื้อผ้าให้ข้าด้วยเลยแล้วกัน” น้ำเสียงเหมือนหยอกล้อ แต่ดวงตากลับปิดสนิทนอนนิ่งไม่ไหวติง
สี่เชวี่ยที่ปูฟูกอยู่หยุดชะงักและมองผู้เป็นนายเนิ่นนาน เห็นท่าทางออดอ้อนเหมือนเด็กของนางแล้วถอนหายใจ ก้มหน้าจัดฟูกให้เรียบร้อย ก่อนจะคุกเข่าอย่างเงอะงะถอดเสื้อผ้าให้เจินสือเหนียง
“ร่างกายของคุณหนูไม่ไหวก็ฟังคำเตือนของบ่าวบ้างเถอะ อย่าฝืนตนเองอีกเลย บ่าวหารือกับแม่สามีแล้ว หากท่านแม่ทัพยึดบ้านหลังนี้คืนไปจริง ท่านไปอยู่บ้านแม่สามีของบ่าวได้ แม้จะแออัดไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีที่พักพิง อีกหน่อยค่อยหาหนทางเช่าบ้าน…” บ่นอยู่นานกลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับ สี่เชวี่ยสะกิดเจินสือเหนียง “คุณหนู?”
เจินสือเหนียงหลับไปเสียแล้ว
ลืมตาขึ้นมา เหนือศีรษะมีแสงอาทิตย์สีแดงเพลิงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ครู่ใหญ่เจินสือเหนียงจึงนึกได้ว่าพอเคี่ยวเออเจียวเสร็จกลับมานางก็หลับไป “ยังดี เพิ่งผ่านยามโหย่วไป” ตอนนี้ลุกขึ้นมานึ่งขนมปุยฝ้ายยังทัน นางบิดขี้เกียจและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
“ท่านแม่ ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่ฟุบหลับอยู่ด้านข้างรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวก็ผุดลุกทันทีและกระโจนเข้าสู่อ้อมอกของเจินสือเหนียง กอดเอวนางไว้แน่น ดวงหน้าเล็กเงยขึ้นมองนางทั้งน้ำตาเหมือนถูกใครรังแกมา
เจินสือเหนียงตกใจ “เหวินเกอ อู่เกอเป็นอะไรไป” นางมองซ้ายทีขวาที “ใครรังแกพวกเจ้า”
“คุณหนูฟื้นแล้วหรือ” สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ทำงานอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็พากันวิ่งเข้ามา ชิวจวี๋พุ่งเข้าไปริมเตียงเตามองเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า ขอบตาแดงเรื่อขึ้นทันที
คนพวกนี้เป็นอะไรกัน เจินสือเหนียงฉงนสงสัย
กำลังจะถามก็ได้ยินเจี่ยนอู่ร้องไห้โฮออกมา “ข้าไม่อยากกินหมั่นโถวสีขาวอีกแล้ว อีกหน่อยพวกเรากินแป้งข้าวโพดทุกวัน เก็บเงินไว้รักษาโรคให้ท่านแม่!”
“อีกหน่อยข้าจะไม่ห่วงเล่นอีก ข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ โตขึ้นไปสอบจ้วงหยวน หาเงินกลับมาเยอะๆ ให้ท่านแม่รักษาโรค!” เจี่ยนเหวินกอดเอวมารดาแน่น กลัวว่าหากคลายมือออกท่านแม่ของเขาจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น
ใครพูดเรื่องพวกนี้กับเด็กๆ เจินสือเหนียงกวาดตามองสี่เชวี่ย ก่อนจะก้มหน้าลูบหลังเจี่ยนเหวิน “เหวินเกอของพวกเราอยากสอบจ้วงหยวนหรือ” น้ำเสียงผ่อนคลายรื่นรมย์
เจี่ยนเหวินพยักหน้าแรงๆ “เป็นขุนนางถึงจะหาเงินได้เยอะ!”
“ข้าก็จะสอบจ้วงหยวน!” เจี่ยนอู่พยักหน้าตาม “อีกหน่อยข้าจะเป็นเหมือนท่านแม่ทัพเสิ่น เป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร หาเงินมารักษาท่านแม่!”
เป็นแม่ทัพใหญ่เพื่อหาเงินมารักษาโรคให้นางหรือ ค้าขายก็หาเงินได้เหมือนกัน ทั้งยังเร็วกว่าด้วย ลูกไม่เอาอย่างเรื่องอื่น กลับเอาอย่างพ่อจะไปสอบจ้วงหยวน หากชั่วชีวิตนี้สอบไม่ได้แม้แต่บัณฑิตซิ่วไฉ*ยังหวังจะหาเงินได้อีกหรือ เจินสือเหนียงอยากเอาหัวโขกกำแพง นี่คงเป็นเพราะความเกี่ยวข้องทางสายเลือด เป็นกรรมพันธุ์กระมัง
นางลอบถอนหายใจ แต่ไม่อยากแก้ไขความคิดของลูก เพียงแต่ยิ้มอย่างเมตตาอารี “เหวินเกอ อู่เกอมีปณิธานยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเจ้าต้องรับความลำบากได้ด้วย”
“ข้าไม่กลัวความลำบาก!”
“ข้าก็ไม่กลัว!” เจี่ยนอู่พูดตามบ้าง
“ดี” เจินสือเหนียงพยักหน้า “พูดอย่างเดียวมิสู้ทำ เหวินเกอ อู่เกอไปเรือนตะวันตก คัด ‘ตำราชังเจี๋ย บทที่สองมาสิบจบ” เด็กสมัยโบราณเริ่มเรียนเร็ว อายุสี่ห้าขวบก็เริ่มใช้ ‘ตำราชังเจี๋ย’ ‘ตำราหยวนซั่ง’ และ ‘ตำราเหมิงฉิว’ สอนหนังสือแล้ว ต่อมาค่อยเรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์
กับภาษาโบราณที่เข้าใจยากเช่นนี้ เจินสือเหนียงจำได้ว่าชาติก่อนสมัยมัธยมปลายเรียนแล้วปวดหัว ในกลุ่มนักเรียนนิยมพูดกันว่า ‘หนึ่งกลัวโจวซู่เหริน สองกลัวจีนโบราณ’ ปัจจุบันถ้าให้เด็กสี่ขวบมาอ่านภาษาโบราณพวกนี้เท่ากับทำลายเยาวชนชัดๆ
แต่เด็กสมัยนี้ต่างเรียนรู้จากตำราพวกนี้ หากไม่เรียนเกรงว่าอีกหน่อยแม้แต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ยังอ่านไม่รู้เรื่อง พอคิดได้ว่าคนในยุคนี้อายุขัยค่อนข้างสั้น นางจึงหา ‘ตำราชังเจี๋ย’ มาสอนเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เพิ่มด้วย
กฎเกณฑ์ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงเพราะวิญญาณในร่างนี้ที่เปลี่ยนไป ในเมื่อเข้ามาในยุคนี้แล้ว นางกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ต่างก็ต้องค่อยๆ เดินหน้าต่อไป
ฟังคำพูดนี้แล้ว ดวงหน้าเล็กของเด็กทั้งสองกระตุกทันใด แต่เพียงครู่เดียวเจี่ยนเหวินก็พยักหน้าแรงๆ “ท่านแม่รอข้านะ ข้าคัดเสร็จแล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่!”
หลังหลอกเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จากไปแล้ว เจินสือเหนียงมองชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยเงียบๆ
ชิวจวี๋ถูกจ้องจนขนลุก รู้สึกทำอะไรไม่ถูก “คุณหนู…”
“ข้าก็แค่เหนื่อยมาก อยากหลับสักงีบ พวกเจ้าขู่เด็กจนกลัวขนาดนี้ได้อย่างไร!” เสียงของนางเข้มงวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณหนูหลับไปสองวันสองคืนเต็มๆ” ชิวจวี๋แย้งขึ้นเสียงค่อย
สองวันสองคืน?!
เจินสือเหนียงตะลึงไปเล็กน้อย
“คุณหนูหลับลึกมาก ขนาดบ่าวเช็ดตัวให้ยังไม่ตื่น” ดวงตาของสี่เชวี่ยฉายความกังวล “ป้อนข้าวกับน้ำแกงให้ท่าน ท่านได้แต่กลืน ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น”
แต่ไรมานางไม่ใช่คนหลับลึก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ เจินสือเหนียงก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ นางเปลี่ยนชุดแล้วจริงๆ แม้แต่ร่างกายก็แห้งสบาย นางยังจำความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะตอนก่อนหลับไปได้ แต่ตอนนั้นร่างกายหนักอึ้งเหมือนภูเขา นางไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้วด้วยซ้ำ
“…ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรทำให้เด็กกลัว” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงอ่อนลง “เหวินเกอ อู่เกอมีนิสัยคิดมากตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่พูดอะไรพวกเขาจะจดจำไว้ในใจ” เนื่องจากไม่มีพ่อตั้งแต่เด็ก ความคิดจิตใจของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงละเอียดอ่อนกว่าเด็กทั่วไป
ด้วยเหตุนี้เอง แม้จะยังเป็นเด็ก แต่ยามพูดอะไรกับพวกเขาเจินสือเหนียงจะระมัดระวังเป็นพิเศษ
“พวกเขาแอบฟังเองต่างหาก” ชิวจวี๋แย้งเสียงค่อย
“แอบฟัง?” เจินสือเหนียงนิ่วหน้า “เกิดอะไรขึ้น”
ชิวจวี๋กำลังจะพูด แต่สี่เชวี่ยกระแอมขึ้นก่อน ชิวจวี๋เงียบทันทีและหันหลังเดินออกไป “คุณหนูเพิ่งตื่นจะต้องหิวน้ำมากแน่ๆ บ่าวจะไปรินน้ำมาให้ท่าน”
“ข้าไม่หิว เจ้าพูด!” เจินสือเหนียงไม่มองสี่เชวี่ย เอาแต่จ้องชิวจวี๋ “เกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อคืนก่อน…สะใภ้หลัวตายไป…” ชิวจวี๋ค่อยๆ หันกลับมาและฝืนใจตอบ
สะใภ้หลัวเป็นเพื่อนบ้านของพวกนาง อยู่บ้านติดกับอวี๋เหลียงในตรอกข้างหน้า สามีตายไปเมื่อปีที่แล้ว นางจึงต้องเลี้ยงดูหลิงเจี่ยบุตรสาววัยหกขวบเพียงลำพัง นางตกเลือดหลังคลอดและไม่ได้ฟื้นฟูร่างกายให้ดี จึงป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด เนื่องจากหัวอกเดียวกันคือต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง สองปีนี้สะใภ้หลัวจึงสนิทสนมกับเจินสือเหนียงมากที่สุด เจินสือเหนียงเองก็มอบเออเจียวให้นางอยู่บ่อยๆ แต่จนใจที่ตนเองก็ยากจนไม่ต่างกัน การช่วยเหลือจึงมีจำกัด
โบราณว่าไม่มีอะไรก็ได้ อย่าได้ไม่มีเงิน มีอะไรก็ได้ อย่ามีโรค เนื่องจากต้องกินยาต่อเนื่องหลายปี ทรัพย์สมบัติถูกใช้ไปจนหมด หลังสามีตายสะใภ้หลัวจึงรับจ้างซักเสื้อผ้า ปะชุนเสื้อผ้าหาเลี้ยงลูกสาว อย่าว่าแต่บำรุงร่างกายเลย สองแม่ลูกหาเลี้ยงปากท้องยังลำบาก ประกอบกับคิดถึงสามี ไปๆ มาๆ ร่างกายจึงทรุดโทรมกว่าเดิม พริบตาเดียวนางก็ตามสามีไปแล้ว
ชิวจวี๋ยิ่งพูดตายิ่งแดง “สงสารก็แต่หลิงเจี่ย อายุยังไม่ถึงเจ็ดขวบก็ถูกน้าชายรับไปแล้ว บอกว่าจะเอาไปขายใช้หนี้ให้ตระกูลใหญ่ในเมือง” สมัยยังมีชีวิตอยู่สะใภ้หลัวยืมเงินผู้อื่นมาซื้อยา รวมกับค่าใช้จ่ายทำศพครั้งนี้ทำให้ติดหนี้พี่น้องไว้ไม่น้อย “เห็นว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางแต่เช้า”
“หลิงเจี่ยถูกน้าชายขายไปแล้วหรือ” คิดถึงดวงตากลมโตดำขลับของหลิงเจี่ยที่กะพริบไปมาเวลาเล่นสนุกกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่ข้างๆ นาง เจินสือเหนียงหัวใจหดรัด “ไฉนจึงไม่มีใครจัดการ”
“เขาเป็นถึงน้าชายแท้ๆ ใครจะกล้าจัดการ” สี่เชวี่ยถอนใจ “อีกอย่าง ข้างนอกต่างลือกันว่าเป็นเพราะหลิงเจี่ยดวงแข็ง ตอนแรกทำให้ปู่ย่าตาย ต่อมาทำให้พ่อตาย บัดนี้ยังทำให้แม่ตายอีก ชาวบ้านล้วนอยากไล่นางออกจากเมืองอู๋ถงโดยเร็ว มีหรือจะช่วยพูดแทนนาง”
“นางเป็นแค่เด็กอายุหกเจ็ดขวบ คนพวกนี้…” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงเจือโทสะอย่างไม่ค่อยได้เห็น “ช่างไร้คุณธรรมจริงๆ”
“นี่หาใช่เรื่องที่พวกเราจะยุ่งได้ คุณหนูอย่ากลุ้มใจไปเลยเจ้าค่ะ” เจินสือเหนียงสุขุมเยือกเย็นเสมอมา นี่เป็นครั้งแรกที่สี่เชวี่ยเห็นนางโมโหมากแบบนี้ “โรคของท่านกลัวความกลัดกลุ้มเป็นที่สุด”
คิดๆ ดูแล้วพรุ่งนี้นางเองยังไม่รู้จะต้องเร่ร่อนไปอยู่ที่ใด นางไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆ นั่นแหละ ที่นี่ไม่ใช่โลกปัจจุบัน แต่เป็นสมัยโบราณ การซื้อขายมนุษย์เป็นการค้าที่ถูกกฎหมาย!
เจินสือเหนียงถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าเองก็ได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่าสาวใช้ตระกูลใหญ่บางบ้านมีหน้ามีตายิ่งกว่าบุตรสาวชาวบ้านทั่วไป หวังว่านางจะได้ไปอยู่กับครอบครัวที่ดี” ด้วยไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก นางจึงเปลี่ยนเรื่อง “เหวินเกอ อู่เกอได้ยินว่าหลิงเจี่ยถูกขายถึงได้กลัวใช่หรือไม่”
“อืม…” สี่เชวี่ยกลบเกลื่อน
“ไม่ใช่” ชิวจวี๋กลับส่ายหน้า
ทั้งสองตอบไม่เหมือนกัน เจินสือเหนียงไม่พูดอะไร เอาแต่มองสี่เชวี่ยเงียบๆ
สี่เชวี่ยค่อยๆ ก้มหน้า “ที่ผ่านมาคุณหนูหลับไม่ลึก วันนั้นบ่าวทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว แต่เรียกอย่างไรท่านก็ไม่ตื่น บ่าวกลัวจึงให้ชิวจวี๋ไปตามหมอมา พอดีท่านหมอเฝิงอยู่ที่บ้านสะใภ้หลัวกับคนอื่นอีกกลุ่มใหญ่ ได้ยินว่าท่านหลับไม่ตื่น ทุกคนจึงแห่มาที่นี่…”
เพิ่งจะเกริ่นนำ ชิวจวี๋ก็เล่าต่อด้วยความโมโห “เป็นเพราะป้าอวี๋ที่ชอบทำตัวเหมือนฆ้องปากแตก!” ป้าอวี๋คือภรรยาของอวี๋เหลียง นิสัยไม่ได้ชั่วร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนปากไว “บอกว่าท่านกับสะใภ้หลัวป่วยเป็นโรคเดียวกัน ตอนคลอดเหวินเกอ อู่เกอ หมอก็บอกแล้วว่าท่านอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี อยู่มาได้ถึงตอนนี้นับว่าอายุยืนแล้ว นางเร่งให้อาสี่เชวี่ยรีบจัดการเสีย อย่าให้เป็นเหมือนสะใภ้หลัวที่คนนอนแข็งอยู่บนเตียงเตาแล้ว เสื้อผ้ากลับยังไม่ได้สวม!”
พูดถึงตรงนี้ สี่เชวี่ยเอ่ยอย่างขุ่นขึ้ง “หากมิใช่เพราะตอนนั้นคนอยู่เยอะ บ่าวอยากจะฉีกปากนางออกมาจริงๆ ทุกคนพูดกันคนละคำสองคำโดยไม่มีใครสังเกตว่าเหวินเกอ อู่เกอแอบฟังอยู่นอกประตูเรือนตะวันตก พอได้ยินว่าให้จัดเตรียมงานศพ พวกเขาก็ร้องไห้โฮ คนพวกนั้นถึงได้จากไป”
คนตั้งมากมายมาที่บ้าน สถานการณ์ตอนนั้นต้องครึกครื้นมากเป็นแน่ แต่นางกลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย!
เจินสือเหนียงตระหนกแล้ว นี่หมายความว่านางไม่ได้เหนื่อยมากจนหลับเป็นตาย แต่หมดสติไปต่างหาก นี่หาใช่เรื่องที่ดี ในฐานะหมอเจินสือเหนียงตระหนักดีกว่าใครว่านี่หมายความว่าอะไร
“คุณหนูหลับไปสองวัน เหวินเกอ อู่เกอก็ฟุบอยู่บนเตียงเตากับท่านสองวัน ขนาดโก่วจือบ้านอวี๋เหลียงมาหา พวกเขายังไม่สนใจ” เห็นสีหน้าเจินสือเหนียงดูเคร่งเครียดอย่างไม่ค่อยได้เห็น สี่เชวี่ยจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ท่านรักพวกเขาไม่เสียเปล่าจริงๆ”
“ข้าเป็นหมอ ร่างกายตนเองข้ารู้ดี ป้าอวี๋เป็นคนตรง นางพูดอะไรเจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” พอดึงสติกลับมาได้ เจินสือเหนียงยิ้มพลางเปลี่ยนเรื่อง “หมอเฝิงมาตรวจดูข้าแล้วว่าอย่างไรบ้าง”
“เขาแค่บอกว่าท่านคิดมากและเหน็ดเหนื่อยเกินไป ท่านควรพักผ่อนให้มาก…” คิดถึงคำพูดของเฝิงสี่แล้ว สี่เชวี่ยชะงัก หากยังเหนื่อยแบบนี้ต่อไป เจินสือเหนียงจะเป็นเหมือนสะใภ้หลัว อย่างมากก็เหลือเวลาอีกเพียงปีสองปีเท่านั้น
เห็นใบหน้าซีดขาวของสี่เชวี่ย ไม่ต้องเดาเจินสือเหนียงก็รู้ว่าเฝิงสี่ยังพูดอะไรอีก นางทอดถอนใจ ไม่ว่านางจะพยายามเข้มแข็งอย่างไร ร่างนี้กลับไม่ยอมให้ความร่วมมือเลย ทว่าปากกลับยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ใครๆ ล้วนบอกว่าถูกแช่งหนึ่งหน โชคดีไปสิบปี ถูกทุกคนสาปแช่งเช่นนี้ ไม่แน่โชคชะตาของข้าอาจเปลี่ยนไปก็ได้ อีกหน่อยพวกเจ้าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมแบบนี้อีก เหวินเกอ อู่เกอจะตกใจเปล่าๆ”
“นั่นสิเจ้าคะ” สี่เชวี่ยฝืนยิ้มตาม “สะใภ้หลี่ร้านยารุ่ยเสียงก็บอกเช่นนี้ ยังบอกว่าท่านรู้หนังสือ เป็นดาวเหวินฉวี่*จุติลงมาเกิด อายุขัยยืนยาว…”
เจินสือเหนียงหัวเราะเสียงขื่น
ชิวจวี๋ยกน้ำเข้ามาพอดี สี่เชวี่ยจึงปรนนิบัตินางล้างหน้าและเตรียมกินข้าวเย็น
หลังชำระล้างร่างกายเรียบร้อย ทุกคนกินข้าวเย็นด้วยกัน จากนั้นชิวจวี๋พาเหวินเกอ อู่เกอไปหลังบ้านเพื่อเก็บผักที่ตากไว้ ส่วนสี่เชวี่ยเดินเล่นในลานบ้านเป็นเพื่อนเจินสือเหนียง ก่อนจะประคองกันเดินเข้าบ้าน
“เจ้ารีบกลับไปเถอะ ป่านนี้ฉางเหอคงคิดถึงแย่แล้ว” เจินสือเหนียงถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียงเตาและเก็บของเล่นไม้ที่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เล่นทิ้งไว้ ปากเอ่ยเร่งสี่เชวี่ยให้กลับบ้าน
“คุณหนู…” สี่เชวี่ยยืนนิ่ง น้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
“มีอะไรหรือ” เจินสือเหนียงที่กำลังเก็บกระบี่ไม้ของเล่นหยุดมือโดยไม่รู้ตัว
เห็นสี่เชวี่ยคุกเข่าลงกับพื้น เจินสือเหนียงสะดุ้ง “เจ้ารีบลุกขึ้น บนพื้นเย็น ระวังจะกระทบกระเทือนครรภ์” นางเป็นคนยุคปัจจุบัน ไม่เคยชินกับธรรมเนียมที่เหยียบย่ำสิทธิมนุษยชนแบบนี้
“คุณหนู…” สี่เชวี่ยยืนกรานไม่ยอมลุก
เจินสือเหนียงยื่นมือไปฉุดนาง แต่มีหรือจะฉุดนางขึ้นมาได้ นางถอนหายใจ “มีเรื่องอะไร”
“คุณหนูส่งเหวินเกอ อู่เกอกลับจวนแม่ทัพเถอะเจ้าค่ะ!” เห็นเจินสือเหนียงหน้าบึ้ง นางจึงรีบอธิบายต่อ “ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นทายาทของท่านแม่ทัพ ต่อให้ไม่ชอบเพียงใด ท่านแม่ทัพย่อมต้องหาครูฝึกยุทธ์และอาจารย์สอนวิชาที่ดีที่สุดมาให้ความรู้แก่พวกเขา ถึงอย่างไรย่อมดีกว่าให้พวกเขาเสียเวลาในการเล่าเรียน” สี่เชวี่ยรู้ว่าขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับอนาคตของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ เจินสือเหนียงต้องยอมตกลงแน่
บุตรสาวของขุนนางต้องโทษที่ไม่มีครอบครัวคอยคุ้มครอง หากตกลงหย่าขาดกับเสิ่นจงชิ่งเมื่อไร ต่อให้สามารถรักษาโรคและหาเงินได้ ช้าเร็วเจินสือเหนียงก็ต้องเหนื่อยตายเพราะเลี้ยงดูลูกสองคนนี้!
กระบี่ไม้ในมือร่วงลงบนเตียงเตา เจินสือเหนียงหันหลังกลับไปทันที
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ชินที่ต้องคุยกับเจ้าในสภาพนี้” ครู่ใหญ่กว่านางจะเอ่ยคำพูดออกมา น้ำเสียงราบเรียบจับกระแสอารมณ์ไม่ถูก เงาร่างแบบบางถูกห่อหุ้มด้วยแสงสุดท้ายของวันที่สลัวราง พร่ามัวและอ้างว้าง
สี่เชวี่ยลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นมากแล้วของตนเองโดยไม่รู้ตัว หากให้นางทิ้งเด็กในท้อง มิสู้ฆ่านางให้ตายเสียดีกว่า! พอเกิดความคิดนี้ หัวใจสี่เชวี่ยก็เจ็บปวดทรมานเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง
นางคุกเข่าอยู่นาน เห็นเจินสือเหนียงไม่ยอมหันกลับมา จึงพยุงเตียงเตาค่อยๆ ลุกขึ้น “บ่าวรู้ว่าคุณหนูอาลัยพวกเขา แต่…” ถ้าไม่ส่งพวกเขาไป คุณหนูย่อมมีแต่ตายเท่านั้น!
ยามเผชิญหน้ากับทางตัน ไม่ว่าใครล้วนต้องสัมผัสความเจ็บปวดของการเลือก ดูว่าจะเลือกทางเดินอย่างไรเท่านั้นเอง คำพูดนี้วนเวียนอยู่ที่ปาก สี่เชวี่ยกลับพูดไม่ออก
“เจ้านั่งลงดีๆ ก่อน” เจินสือเหนียงหันกลับมา สีหน้าเอื้ออารีและสงบนิ่งดุจเดิม
สี่เชวี่ยประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางสุขุมของเจินสือเหนียง หัวใจที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงทันที นางถอดรองเท้าอย่างงุ่มง่ามและค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามเจินสือเหนียง
เจินสือเหนียงเก็บกระบี่ไม้ของเจี่ยนอู่ขึ้นมาลูบไล้โดยไม่พูดจา เมฆยามเย็นก้อนสุดท้ายถูกกลืนหายไปช้าๆ ท่ามกลางความมืด ในห้องเงียบกริบเหมือนสุสาน
สี่เชวี่ยเริ่มรู้สึกประหม่าอีกครั้ง “คุณหนู…” นางร้องเรียกอย่างไม่สบายใจ
“หลังจากตกลงหย่า ส่งเหวินเกอ อู่เกอให้เขา…” เหมือนกำลังใคร่ครวญข้อเสนอของสี่เชวี่ย เจินสือเหนียงเอ่ยเนิบช้าและเงยหน้าโดยพลัน “เจ้ารับรองได้หรือไม่ว่าเขาจะให้ข้าพบลูก”
ไม่มีทาง! สี่เชวี่ยส่ายหน้าแรงๆ หากเป็นตระกูลทั่วไป บางทีเจินสือเหนียงอาจแอบมองพวกเขาในลานบ้านได้ แต่หากส่งเข้าไปในจวนแม่ทัพที่ลึกดุจท้องทะเลแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่ได้เห็นพวกเขาอีก เว้นเสียแต่รอให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เติบโตจนมีจวนของตนเอง ถึงเวลานั้นหากพวกเขายังจดจำแม่บังเกิดเกล้าคนนี้ได้ ไม่แน่พวกเขาอาจจะแอบมาเยี่ยมนางบ้าง
แต่เด็กอายุสี่ห้าขวบ ทั้งยังถูกคนในจวนแม่ทัพจงใจปิดบังและเสี้ยมสอน พวกเขาหรือจะจำแม่แท้ๆ ที่เคยลำบากตรากตรำเลี้ยงดูพวกเขาด้วยความทุ่มเททั้งชีวิตคนนี้ได้
“แต่ว่า…คุณหนู…” สี่เชวี่ยหน้าซีด
เจินสือเหนียงโบกมือไม่ให้นางพูดต่อ “หลังตกลงหย่า เขาย่อมแต่งภรรยาใหม่อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตระกูลของนายหญิงคนใหม่จะต้องมีอำนาจแข็งแกร่งแน่นอน อีกทั้งใช้เวลาไม่นาน นางก็จะมีลูกของตนเอง” เจินสือเหนียงจ้องสี่เชวี่ยตาไม่กะพริบ “เจ้าว่าหากมีลูกของตนเองแล้ว นางจะปฏิบัติกับเหวินเกอ อู่เกออย่างไร”
สี่เชวี่ยหน้าซีดกว่าเดิม
ไม่ว่าอย่างไรหากกลับจวนแม่ทัพ เจี่ยนเหวินก็จะเป็นลูกคนโต หากไม่เกิดข้อผิดพลาด ตามหลักแล้วเขาย่อมเป็นผู้สืบทอดจวนแม่ทัพ สืบทอดตำแหน่งหน้าที่ต่อจากเสิ่นจงชิ่ง ลูกชายคนอื่นๆ ของเสิ่นจงชิ่งย่อมต้องหาทางออกให้กับตนเอง เพื่อให้ลูกชายของตนเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ประมุขหญิงคนใหม่จะต้องเห็นเขาเป็นเสี้ยนหนามตำใจ คิดกำจัดให้พ้นทางแน่นอน!
“ไม่มีครอบครัวฝ่ายมารดาคอยปกป้อง แถมแม่บังเกิดเกล้ายังถูกหย่าและเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ หากท่านแม่ทัพชอบข้าก็แล้วไปเถอะ แต่เขากลับเกลียดข้าเหมือนอสรพิษ” เห็นสี่เชวี่ยเงียบ เจินสือเหนียงพูดเสียงดังกว่าเดิม “ส่งพวกเขาเข้าจวนแม่ทัพ เกรงว่าเหวินเกอ อู่เกอจะตายเร็วกว่าข้าเสียอีก!”
เนื่องจากมีวิญญาณของคนยุคปัจจุบัน นางจึงหวังให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสว่างไสวตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมานางไม่เคยสอนแผนการชั่วร้ายใดๆ ให้พวกเขาเลยสักเพียงนิด
สี่เชวี่ยไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน! นางหัวใจกระตุกวาบ ริมฝีปากขยับไปมา แต่พูดอะไรไม่ออก
เจินสือเหนียงถอนหายใจ ดึงสายตากลับมาและเอ่ยช้าๆ “สี่ปีก่อนตอนข้าใกล้ตายและยอมฝืนใจรับปากให้เจ้าไปขอร้องเขา นั่นเพราะคิดว่าตนเองไปไม่รอดแล้ว จึงอยากส่งเหวินเกอ อู่เกอกลับไปอยู่กับเขา ถึงไม่มีแม่ แต่ดีชั่วอย่างไรก็มีพ่ออยู่ ตอนนั้นพวกเขายังเด็ก แม้ข้าจะอาลัย แต่หากส่งไปแล้วย่อมทำอะไรไม่ได้อีก หลายปีมานี้ข้าคงลืมได้แล้ว น่าเสียดายที่…” เจินสือเหนียงหยุดชะงักเมื่อคิดถึงตอนที่สี่เชวี่ยกลับมาจากจวนจ้วงหยวนครั้งนั้น ศีรษะถูกตีจนบวมเหมือนหัวหมู หน้าบวมช้ำจนออกไปพบใครไม่ได้อยู่ครึ่งเดือน
ประสบการณ์ที่เคยพานพบมาเหมือนฉายซ้ำอยู่ตรงหน้า สี่เชวี่ยต้องเม้มปากแน่นถึงจะห้ามไม่ให้ตนเองร้องไห้ออกมาได้
มองไหล่สี่เชวี่ยที่สั่นไหวอยู่ท่ามกลางความมืด เจินสือเหนียงถอนใจเบาๆ อีกครั้ง “ผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าเห็นเหวินเกอ อู่เกอเติบโตขึ้นมาทีละน้อย เห็นพวกเขาเข้ามาซุกอกข้าอย่างออดอ้อน เวลาข้าโกรธก็คิดหาวิธีเอาอกเอาใจ เมื่อครู่นี้พวกเขายังกอดข้าไว้แน่น สาบานว่าโตขึ้นจะหาเงินมาเลี้ยงดูข้า จะสอบจ้วงหยวนหาเงินมารักษาโรคให้ข้า…” แววตาของนางผุดไอน้ำบางๆ หนึ่งชั้น “บัดนี้เจ้าจะให้ข้าส่งพวกเขาเข้าไปในจวนแม่ทัพที่กินคนได้โดยไม่คายกระดูก ข้าจะตัดใจได้อย่างไร”
นางมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดสนิทด้วยแววตาล้ำลึก “ไม่มีพวกเขา ข้าอาจจะสบายขึ้น แต่ว่าสี่เชวี่ย…” จู่ๆ นางก็หันกลับมามองสี่เชวี่ยอย่างจริงจัง “หากไม่มีพวกเขา ข้าก็ต้องตายเพราะความโศกเศร้าไม่ต่างกัน ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แม้แต่วันเดียว!”
“คุณหนูอย่าพูดอีกเลย!” สี่เชวี่ยน้ำตาไหลดุจสายฝน ส่ายหน้าแรงๆ “ท่านให้พวกเขาอยู่กับท่านต่อไปเถอะ”
เห็นสี่เชวี่ยคิดได้ในที่สุด เจินสือเหนียงก็พรั่งพรูลมหายใจยาว ยื่นมือไปกุมมือนาง “สี่เชวี่ย ไหนๆ วันนี้ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้า”
ท่ามกลางความมืด สี่เชวี่ยหน้าแดงทันใด “บ่าวเป็นคนของคุณหนู คุณหนูมีอะไรโปรดสั่งมาเถอะเจ้าค่ะ ไยต้องขอร้องบ่าวด้วย”
“ร่างกายข้าไม่รู้จะทนไปได้ถึงเมื่อไร เจ้ารับปากข้านะ หากข้าตายไป เจ้าต้องรอให้เหวินเกอ อู่เกออายุครบสิบสามก่อนค่อยบอกพวกเขาว่าพ่อบังเกิดเกล้าของพวกเขาเป็นใคร จากนั้นส่งพวกเขากลับจวนแม่ทัพไปรู้จักกับบรรพบุรุษของตนเอง”
สิบสามขวบในยุคปัจจุบันยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้นที่ซุกอกแม่ออดอ้อนออเซาะ แต่ในสมัยโบราณผู้ชายวัยเท่านี้ย้ายออกไปอยู่เองข้างนอกแล้ว โดยเฉพาะตระกูลใหญ่ที่มีฐานะก็เริ่มมีสาวใช้ห้องข้าง*มาปรนนิบัติแล้ว นางเลือกอายุเท่านี้เพราะไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
หากนางโชคไม่ดีตายเร็วและจำต้องส่งเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กลับจวนแม่ทัพ อายุน้อยเกินไปพวกเขาย่อมถูกปองร้าย แต่หากอายุมากไปก็เกรงว่าภาระของสี่เชวี่ยจะหนักเกินไป ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูพวกเขา
อายุสิบสามไม่มากและไม่น้อยเกินไป พอเข้าจวนไปก็จะถูกส่งออกมาอยู่เรือนข้างนอก โอกาสรอดชีวิตย่อมสูงกว่า เชื่อว่าขอเพียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฉลาดพอ รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่หวังจะยึดตำแหน่งผู้สืบทอด นายหญิงในอนาคตของจวนแม่ทัพอาจจะละเว้นพวกเขา ให้พวกเขาได้มีชีวิตรอดต่อไป
นางกำลังสั่งเสีย!
สี่เชวี่ยสั่นสะท้านไปทั้งตัว “คุณหนู!” เสียงแหลมแหวกผ่านความมืดสะท้อนออกไปไกล แม้แต่สี่เชวี่ยยังตกใจกับเสียงของตนเอง
“ชู่ว์…” เจินสือเหนียงปิดปากนางและหันไปมองประตู เห็นในลานบ้านเงียบสงบถึงวางใจ “เจ้าร้องทำไม ข้าก็แค่พูดไว้เท่านั้น ใช่ว่าข้าจะตายพรุ่งนี้เสียเมื่อไร”
“คุณหนู…” สี่เชวี่ยพยายามข่มเสียงสะอื้นและร้องเรียกเสียงเครือ
“เจ้าวางใจ ข้าแค่เตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เจินสือเหนียงกุมมือนางแน่นท่ามกลางความมืด “ข้าเองก็รับปากเจ้าว่าอีกหน่อยจะพยายามเอาใจท่านแม่ทัพ” นางหยุดชะงักเหมือนลังเล ก่อนพูดอย่างเข้มแข็งว่า “ข้าเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ไม่มีประโยชน์กับอนาคตของเขา อยากขอร้องให้เขาไม่ทอดทิ้งข้าคงเป็นไปไม่ได้ ข้าได้แต่พยายามยื้อเวลาในการตกลงหย่าออกไปอีกสักครึ่งปีหนึ่งปี จะได้มีเวลาเก็บเงินให้มากหน่อย อีกหน่อยเจ้ากับเหวินเกอ อู่เกอจะได้ไม่ต้องลำบากมาก”
ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ในเมื่อนางไม่มีเวลาจะเริ่มต้นใหม่แล้ว การไม่หย่าย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของนางตอนนี้ อยากสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ วิธีที่เร็วที่สุดคือผูกสัมพันธ์กับเสิ่นจงชิ่งและตักตวงเอาจากเขา
“คุณหนู…คุณหนูรับปากว่าจะดีกับท่านแม่ทัพจริงๆ หรือเจ้าคะ” เสียงของสี่เชวี่ยสั่นเล็กน้อย ห้าปีมานี้เจินสือเหนียงรังเกียจเขามากแค่ไหน นางรู้ดีที่สุด เสิ่นจงชิ่งหาใช่คนไม่มีหัวจิตหัวใจ หากเมื่อห้าปีก่อนนางยอมก้มหัวให้เขา วันนี้พวกนางย่อมมีชีวิตอีกแบบ
“ศักดิ์ศรีกินแทนข้าวไม่ได้” เจินสือเหนียงหัวเราะ “เจ้าวางใจเถอะ เพื่อเหวินเกอ อู่เกอ อย่าว่าแต่ก้มหัวให้เขาเลย ต่อให้ค้อมเอวข้าก็ทำได้” ใบหน้าดูทะเล้นซุกซน แต่ในใจกลับเจ็บปวดเหมือนถูกมดกัดแทะ รวดร้าวไปถึงในกระดูก นี่คงเป็นความเศร้าของแม่ผู้อ่อนแอกระมัง
ชีวิตรันทดถึงเพียงนี้ ใช่ว่านางเป็นคนที่ทะลุมิติมาแล้วจะมีอภิสิทธิ์ ได้อยู่เหนือสรรพสิ่งอื่นๆ
นางจะเข้มแข็งก็ได้ จะรักศักดิ์ศรีก็ได้ จะไม่ค้อมเอวเพื่อข้าวสารห้าโต่ว*ก็ได้ แต่นางไม่อาจช่วงชิงชีวิตวัยเด็กอันสดใสไปจากเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อย่างเห็นแก่ตัวเพียงเพราะต้องการอิสระ ต้องการรักษาเกียรติและยึดมั่นในทิฐิของตนเอง ทำให้พวกเขาต้องแบกรับภาระหนักอึ้งก่อนวัยอันควร ลิ้มรสความลำบากก่อนที่ควรจะเป็น
จะว่าไปแล้ว คุณหนูของนางยอมกล้ำกลืนฝืนทนเช่นนี้ก็เพื่อเหวินเกอ อู่เกอทั้งนั้น เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บัดนี้คุณหนูของนางขัดขวางอนาคตอันสดใสของเขาอยู่ ต่อให้นางยอมละทิ้งศักดิ์ศรีอ้อนวอนขอร้อง เขาจะยอมเลื่อนการตกลงหย่าออกไปอีกสองปีหรือ
ไม่รู้เพราะอะไร ได้ยินเจินสือเหนียงยอมเป็นฝ่ายอ่อนข้อขอร้องเสิ่นจงชิ่ง นางควรจะดีใจ แต่โพรงอกกลับเหมือนมีปุยฝ้ายอัดอยู่ก้อนหนึ่ง รู้สึกยุ่งเหยิงสับสนจนสี่เชวี่ยหายใจไม่ออก “มืดเกินไปแล้ว บ่าวไปจุดตะเกียงดีกว่า!” สี่เชวี่ยลุกขึ้นกะทันหันหมายจะหลบออกไปจากบรรยากาศหนักอึ้งเช่นนี้
“สี่เชวี่ย!” เจินสือเหนียงคว้าตัวนางไว้
ในห้องมืดทึบ สี่เชวี่ยไม่เห็นสีหน้าของเจินสือเหนียงและเดาไม่ถูกว่านางคิดอะไรอยู่ แต่ความเย็นเยียบที่ส่งมาจากมือเย็นเฉียบที่กุมมือนางอยู่ทำให้ฟันของนางกระทบกันกึกๆ นานทีเดียวสี่เชวี่ยจึงเอ่ยเสียงสั่น “ได้ บ่าวรับปากท่านว่าหากมี…มีวันนั้นจริง…บ่าวจะปรนนิบัตินายน้อยให้ดี หากบ่าวมีข้าวกินจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาอด รอจนพวกเขาอายุครบสิบสามแล้วค่อยส่งพวกเขาให้ท่านแม่ทัพ!”
“ดี!” เจินสือเหนียงพรูลมหายใจออกมาช้าๆ
หลังจากนั้นเจินสือเหนียงไม่กล้าฝืนตนเองอีก ตั้งใจพักผ่อนร่างกายอยู่หลายวัน
วันนี้ตอนเช้าตรู่ ระหว่างเลือกเด็ดรากบัวกับชิวจวี๋อยู่ในลานบ้าน ภรรยาหลี่ฉีจากร้านยารุ่ยเสียงมาหาอย่างร้อนใจ
“รู้ว่าเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง เดิมทีไม่อยากจะรบกวน แต่ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องช่วย” ภรรยาหลี่ฉีประสานมือคารวะเจินสือเหนียงติดๆ กัน
“เกิดอะไรขึ้น” เจินสือเหนียงถอดถุงมือลุกขึ้นยืน
“หลายวันก่อนเอ้อร์กุ้ยลูกชายคนที่สองของหลิ่วหมาจื่อที่เป็นนายพรานในอำเภอซีโกวไม่สบาย หมอเฝิงเป็นคนรักษา บอกว่าเป็นไข้หวัดและจัดยาให้กินสองเทียบ เริ่มแรกอาการดีขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะทรุดหนัก หัวบวมเหมือนหัววัว คนถูกวางบนบานประตูหามมา พี่หลี่ของเจ้าเชิญหมอหม่าจากร้านยาต๋าเหรินมาดูก็บอกว่าเป็นไข้หวัด หมอเฝิงจ่ายยาถูกต้องแล้ว แต่เอ้อร์กุ้ยไม่ฟื้นเสียที” พอคิดว่าเอ้อร์กุ้ยกำลังจะตาย ครอบครัวยืนอออยู่หน้าประตูร้านร้องไห้โวยวาย ภรรยาหลี่ฉีก็มองเจินสือเหนียงด้วยแววตาน่าสงสาร “อาโยวช่วยไปดูหน่อยเถิด…”
“เจ้าไปเอาหมวกสานของข้ามา” เจินสือเหนียงโยนถุงมือให้ชิวจวี๋ทันทีและเดินเข้าไปในบ้าน ปากกำชับไปด้วย
“คุณหนู!” ชิวจวี๋คว้าตัวเจินสือเหนียงไว้และเบิกตามองนางโดยไม่พูดอะไร สองวันนี้แค่เดินเจินสือเหนียงยังไม่มีเรี่ยวแรง แล้วจะออกไปตรวจโรคได้อย่างไร
“ข้าแค่ไปจับชีพจร ไม่เหนื่อยหรอก” เจินสือเหนียงกล่อมนางเสียงค่อย
ชิวจวี๋ยังคงเม้มปากยืนกรานปฏิเสธ คว้าตัวเจินสือเหนียงไว้ไม่ปล่อย
ภรรยาหลี่ฉียิ้มเก้อ “แม่นางชิวจวี๋วางใจได้ ข้ารู้ว่าอาโยวร่างกายไม่ดีจึงเตรียมรถม้าไว้แล้ว จอดรออยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามนอกตรอก อาโยวไปก็แค่ช่วยจับชีพจรเท่านั้น ในร้านยามีผู้ช่วยอยู่ ไม่เหนื่อยแน่นอน”
สองปีมานี้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีแต่บ้านนางที่เชิญหมอเจี่ยนมาตรวจโรคได้ ทำให้มีคนอุดหนุนร้านยามากขึ้นทุกที กิจการดีวันดีคืน เจินสือเหนียงเป็นตัวนำโชคของร้านนาง ภรรยาหลี่ฉีแทบอยากจะบูชานางไว้บนแท่น ดังนั้นจึงเกรงอกเกรงใจชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยมากตามไปด้วย
เห็นชิวจวี๋ยังยืนนิ่ง ภรรยาหลี่ฉีร้อนใจจนหน้าแดง “อาโยว…เอ่อ…” นางมองเจินสือเหนียงอย่างร้อนรน
หลิ่วเอ้อร์กุ้ยใกล้จะสิ้นลมแล้ว หน้าร้านยาถูกล้อมไว้แน่นหนา มิอาจทำการค้าได้ ยิ่งปล่อยไว้นาน ชื่อเสียงของร้านยายิ่งเสียหาย
เจินสือเหนียงตบตัวชิวจวี๋เบาๆ “รีบไปเถอะ” น้ำเสียงเมตตาอารีแฝงแววยืนกรานไม่ให้ปฏิเสธ
ชิวจวี๋ทำปากอูด เข้าบ้านไปหยิบหมวกสานอย่างไม่เต็มใจและสวมให้เจินสือเหนียง ปากเสนอว่า “หรือจะให้บ่าวไปกับท่านด้วย”
จะได้อย่างไร! ชิวจวี๋อายุน้อยก็จริง แต่นางขึ้นเขาตัดฟืน ทำงานในนา ออกไปซื้อเสบียงอาหารทุกวัน ประกอบกับนิสัยน่ารักร่าเริง ชาวเมืองอู๋ถงจึงไม่มีใครไม่รู้จักนาง หากนางตามไปด้วย ไม่ถึงครึ่งวันชาวเมืองทั้งหมดย่อมรู้ว่าหมอเจี่ยนผู้ลึกลับก็คือนางเจินสือเหนียง คนไข้ที่มารักษาโรคจะไม่แห่กันมาที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้หรือ
ที่สำคัญกว่านั้นคือหากเสิ่นจงชิ่งรู้เข้า เกรงว่าแม้แต่เรื่องตกลงหย่าคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาคงส่งแพรขาวสามศอก*กับสุราพิษหนึ่งจอกมาให้นางทันที
“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงชี้รากบัวในลานบ้านและกำชับ “เจ้าอยู่บ้านจัดการรากบัวต่อเถอะ หักส่วนที่เล็กเกินไปกับส่วนที่เสียออกมาล้างทำแป้งรากบัว อีกประเดี๋ยวพี่จางจะพาคนมาซื้อ ราคาเมื่อวานข้าตกลงไว้แล้ว ชั่งละครึ่งอีแปะ เจ้าคอยเก็บเงินด้วย”
“แม่นางชิวจวี๋วางใจได้ ตรวจโรคเสร็จ ข้าจะเอารถม้ากลับมาส่งอาโยวแน่นอน!” เห็นชิวจวี๋ยังคงไม่วางใจ ภรรยาหลี่ฉีจึงคลี่ยิ้มรับรองเป็นมั่นเหมาะ
หน้าประตูร้านยารุ่ยเสียงเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียด
“ทุกคนดูสิ หมอเถื่อนเฮงซวยชัดๆ เด็กดีๆ คนหนึ่งพอกินยาเข้าไปกลับกลายเป็นแบบนี้!” หลิ่วหมาจื่อยืนขวางทางเข้าพลางร้องด่าเสียงดัง “วันนี้ถ้าเจ้าไม่ชี้แจงให้ชัดเจน อย่าคิดจะได้ขายยาแม้แต่เทียบเดียว!”
ใบหน้าเขาดุดันอยู่แล้ว ทั้งยังล่าสัตว์เป็นเวลานานจนทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหี้ยมโหด เมื่อยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นจึงดูเหมือนปีศาจดุร้าย ใครยังจะกล้าเข้าไปซื้อยาเล่า ทุกคนยืนอออยู่หน้าร้านยารุ่ยเสียงพลางชี้ไม้ชี้มือไปที่หลิ่วเอ้อร์กุ้ยที่นอนอยู่บนบานประตูโดยมีผ้าห่มพันตัว
แม่ของเอ้อร์กุ้ยนั่งร้องไห้โฮอยู่ข้างๆ “ลูกข้า หากเจ้าเป็นอะไรไป แม่ก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว!”
“ภรรยาข้าไปตามท่านหมอเจี่ยนหมอเทวดามาแล้ว พี่หลิ่วเข้ามาในบ้านค่อยพูดค่อยจากันก่อน” หลี่ฉีเหงื่อแตกพลั่ก เขาขอร้องจนคอแหบคอแห้ง แทบจะลงไปโขกศีรษะให้หลิ่วหมาจื่ออยู่แล้ว
“หมอเทวดา…หมอเทวดาอะไรกัน!” ด้วยหวาดเกรงในชื่อเสียงของหมอเจี่ยน หลิ่วหมาจื่อจึงไม่ได้เอ่ยคำว่าหมอเทวดาบัดซบออกมา เขาชี้หลิ่วเอ้อร์กุ้ยที่นอนไม่ได้สติอยู่บนบานประตู “ลูกชายข้าอยู่ตรงนี้ วันนี้หากพวกเจ้ารักษาหายก็แล้วไป แต่หากรักษาไม่หาย ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งครอบครัวชดใช้ด้วยชีวิต!” เขาชักดาบโค้งที่ใช้ล่าสัตว์ออกจากเอวและสะบัดไปมาตรงหน้าหลี่ฉี
ขนอ่อนของหลี่ฉีลุกชันทั้งตัวเมื่อเห็นแสงเยียบเย็นวูบผ่านหน้าไป แข้งขาอ่อนยวบจนเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น เขาฝืนจับเสาประตูทรงตัวไว้ พอเงยหน้าเห็นรถม้าของเจินสือเหนียงมาถึงพอดีก็รีบตะเบ็งเสียงดังลั่น “หมอเจี่ยนมาแล้ว!” น้ำเสียงผิดเพี้ยนไปจากเดิมเพราะความตื่นเต้นยินดี
เสียงโหวกเหวกโวยวายเงียบลง ทุกคนหันไปมองรถม้าอย่างพร้อมเพรียง
“หยุด…” รถม้าหยุดอยู่ด้านหลังกลุ่มคน
“ทุกคนหลีกทางหน่อย หลีกหน่อย หมอเจี่ยนมาแล้ว!” ภรรยาหลี่ฉีประคองเจินสือเหนียงลงจากรถม้า ใช้ร่างกายตนเองบังนางไว้พลางร้องขอทางกับผู้คน
เจินสือเหนียงกลัวคนอื่นจะจำได้ ภรรยาหลี่ฉีกลับกลัวยิ่งกว่านาง
หากมีคนจำเจินสือเหนียงได้ เกรงว่าอีกหน่อยคงไม่มีใครมาตรวจโรคซื้อยาที่นี่อีก บ้านของเจินสือเหนียงย่อมกลายเป็นร้านยาแทน แม้จะไม่เห็นหน้า แต่พอเห็นการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเจินสือเหนียง ทุกคนต่างหลีกทางให้ทันที
แม่ของเอ้อร์กุ้ยหยุดร้องไห้ เบี่ยงตัวเปิดทางให้ “ท่านหมอเจี่ยนโปรดช่วยชีวิตเอ้อร์กุ้ยของข้าด้วย”
ที่เอะอะโวยวายก็เพราะส่วนลึกในใจหวาดกลัวว่าจะต้องเสียลูกชายไป บัดนี้เห็นหมอเทวดาลึกลับผู้มีวิชาสูงส่งเดินทางมาแล้ว หลิ่วหมาจื่อสามีภรรยาไหนเลยจะกล้าอาละวาดอีก เกรงว่าลูกชายจะไม่ได้รับการรักษา ต่างนอบน้อมกับเจินสือเหนียงอย่างมาก
“มาหาหมอเมื่อสี่วันก่อน” เห็นเจินสือเหนียงย่อตัวลงจับชีพจรให้เอ้อร์กุ้ย เฝิงสี่ถึงกล้ามุดออกมาจากร้านยาในสภาพมอมแมม “ตอนแรกที่มาตาแดงหน้าแดง กลัวความหนาวและตัวร้อน ตรวจพบว่าชีพจรเต้นถี่เร็ว เป็นอาการของไข้หวัดอย่างแท้จริง ใช้เปลือกต้นจำปา โกฐน้ำเต้า ส้มตากแห้ง และดีเกลือผสมเป็นยากินแล้วอาการดีขึ้น แต่วันต่อมาศีรษะและใบหน้ากลับบวมขึ้น ข้าจึงเพิ่มชะเอม รากห้อม และขิงแก่เข้าไป…” เฝิงสี่เล่าด้วยน้ำเสียงอึกอักพลางมองเอ้อร์กุ้ยที่หายใจรวยริน ใบหน้าเขียวคล้ำ “ตามความเห็นของท่านหมอเจี่ยน หรือว่าเขาจะไม่ได้เป็นไข้หวัด” เขาส่ายหน้าพึมพำกับตนเอง “ไม่สิ ทั้งชีพจรและอาการล้วนบ่งชี้ว่าเป็นไข้หวัด”
นี่เป็นไข้หวัดจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา เป็นไข้หัวบวม! หลังจับชีพจร เปิดเปลือกตาและตรวจดูลิ้น เจินสือเหนียงก็มั่นใจว่าเขาเป็นไข้หัวบวม แม้ไม่เคยเห็นผู้ป่วยโรคนี้กับตามาก่อน แต่อาจารย์เมื่อชาติก่อนกล่าวถึงโรคชนิดนี้เป็นพิเศษตอนสอน ‘ตำราไข้หวัด’
ไข้หัวบวม เกิดจากไวรัสคางทูม อาการที่เห็นเด่นชัดคือศีรษะบวม ตัวร้อน มักเป็นในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ ที่น่ากลัวอย่างยิ่งคือโรคชนิดนี้ติดต่อง่ายมาก ทั้งยังถูกจัดเป็นโรคระบาดในสมัยโบราณ จำได้ว่าตอนอาจารย์สอนโรคชนิดนี้ นางเองก็ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าในสมัยโบราณเคยเกิดโรคระบาดที่ใกล้เคียงกับไข้หัวบวมและไข้อึ่งอ่าง เมื่อเป็นแล้วส่วนใหญ่จะรักษาไม่ได้ คิดถึงตรงนี้หัวคิ้วของเจินสือเหนียงพลันขมวดมุ่น
นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน อีกทั้งเงื่อนไขทางการแพทย์ยังแย่ขนาดนี้ ผู้คนก็งมงาย…โรคนี้จะลุกลามเป็นโรคระบาดหรือเปล่า
“…ลูกชายข้าเป็นโรคอะไรหรือ” เห็นเจินสือเหนียงไม่พูดจา แม่ของเอ้อร์กุ้ยพลันรู้สึกกังวล
“เป็นไข้หวัดจริงๆ หรือไม่” หลิ่วหมาจื่อถามบ้าง “รักษาได้หรือไม่”
“ได้!” พอได้สติ เจินสือเหนียงตอบอย่างไม่ลังเล
“เจ้ารักษาได้จริงหรือ” บุรุษอายุราวสามสิบในชุดแพรปักลายก้าวออกมาจากกลุ่มคน เขามองเจินสือเหนียงอย่างไม่เชื่อ “นี่เป็นโรคระบาด ข้าเคยเห็นที่เมืองอูซีเมื่อหลายปีก่อน พอเป็นแล้วไม่มีทางรักษา ตอนนั้นชาวเมืองตายทั้งเมือง!” เมื่อคิดถึงเหตุการณ์น่าสลดใจครั้งนั้น ชายหนุ่มสั่นสะท้านเมื่อเอ่ยคำพูดนี้
“อะไรนะ เอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด?!” แม่ของเอ้อร์กุ้ยร้องโหยหวนก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
“เจ้าน่ะสิเป็นโรคระบาด!” หลิ่วหมาจื่อตาแดงทันใด เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากนูนขึ้น เขาคว้าคอเสื้อชายผู้นั้น
“ข้าเคยเห็นคนป่วยเป็นโรคนี้จริงๆ” หลิ่วหมาจื่อรูปร่างกำยำสูงใหญ่ก็จริง แต่กลับขยับตัวชายผู้นั้นไม่ได้ ทั้งยังถูกเขาปัดมือออก ชายผู้นั้นชี้ศีรษะของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยและเอ่ยอย่างสุภาพนุ่มนวล “ศีรษะบวมใหญ่ขนาดนั้น ไม่ว่าใครเห็นแล้วย่อมไม่ลืม!”
เขาชี้เจินสือเหนียง “หากไม่เพราะนางบอกว่ารักษาได้ ให้ตายข้าก็ไม่พูดออกมาหรอก พี่ชายท่านนี้อย่าโกรธเลย ข้าไม่ใช่หมอ เพียงแต่เห็นเด็กคนนี้ศีรษะบวมเหมือนโรคระบาดชนิดนั้น จึงคิดถึงเหตุการณ์โรคระบาดในเมืองอูซี ถือว่าข้าพูดเหลวไหลก็แล้วกัน”
ไม่อธิบายยังพอทน พอเขาอธิบายออกมา กลุ่มคนก็แตกฮือ บางคนแอบถอยไปข้างหลังเงียบๆ ออกห่างจากครอบครัวของหลิ่วหมาจื่อเหมือนพวกเขาเป็นตัวเชื้อโรค กระทั่งหลี่ฉีเองยังตกใจจนหน้าซีด
สมัยโบราณการแพทย์ล้าหลัง หากเป็นโรคระบาด แปดเก้าคนในสิบคนย่อมต้องตาย พอเอ่ยถึงโรคระบาดจึงไม่มีใครที่ไม่กลัว เห็นสถานการณ์บานปลาย เจินสือเหนียงจึงปรบมือหลายๆ ครั้ง “ทุกคนเงียบก่อน!” เห็นหลิ่วหมาจื่อยังจ้องชายผู้นั้นอย่างไม่ลดละ จึงเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ข้าบอกแล้วว่าโรคนี้รักษาได้ หากเจ้ายังอาละวาดต่อไป ลูกชายเจ้าคงหมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ!” เสียงไม่ดัง แต่เปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาม
หลิ่วหมาจื่อถอยไปข้างบานประตูทันที ก่อนจะประสานมือคารวะเจินสือเหนียง “ท่านหมอเจี่ยนโปรดช่วยชีวิตลูกชายข้าด้วย!”
แม่ของเอ้อร์กุ้ยหยุดร้องไห้ คุกเข่าโขกศีรษะให้เจินสือเหนียงไม่หยุดราวกับเจินสือเหนียงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ช่วยคนให้ฟื้นคืนชีพได้
ปากบอกไม่เชื่อ แต่โรคของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยประหลาดขนาดนี้ คิดถึงอาการหนาวสั่นของตนเองในช่วงสองวันนี้ที่เหมือนอาการตอนเอ้อร์กุ้ยไม่สบายใหม่ๆ แล้ว ในใจแม่ของเอ้อร์กุ้ยเชื่อคำพูดชายผู้นั้นไปแล้ว เป็นไปได้ที่ครอบครัวนางจะติดโรคระบาด!
“หมอเจี่ยนเป็นหมอเทวดาที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว ท่านให้คำตอบที่แน่นอนกับพวกเราหน่อยเถอะ ตกลงเขาเป็นโรคระบาดหรือไม่” บางคนตะโกนออกมาจากกลุ่มคน
ก็เป็นโรคระบาดน่ะสิ! แต่เจินสือเหนียงรู้ว่าหากพูดความจริงออกไป ที่นี่จะต้องโกลาหลเหมือนเกิดแผ่นดินไหวระดับแปดแน่
“ร่างกายเขาถูกลมเย็นเท่านั้น กินยาไม่กี่เทียบก็หาย ยังเรียกว่าโรคระบาดไม่ได้” เห็นกลุ่มคนผ่อนคลายลง นางถึงพูดต่อ “แม้มิใช่โรคระบาด แต่โรคนี้ก็เหมือนไข้หวัดที่ติดต่อได้ ทุกคนอย่ามุงอยู่ที่นี่อีกเลย แยกย้ายกันไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเขียนสูตรยาไว้ หากใครกังวลว่าจะติดโรค ตอนบ่ายมาซื้อยาไปกินก็ไม่เป็นไรแล้ว” คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำของนางทำให้สถานการณ์อันตึงเครียดผ่อนคลายลง พอได้ยินว่าโรคนี้ติดต่อได้ยังมีคนวิตกก็จริง แต่กลับไม่หวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้
หมอเทวดาเจี่ยนผู้นี้ตั้งแต่ตรวจโรคมายังไม่เคยผิดพลาด เมื่อนางบอกว่าไม่ใช่โรคระบาดย่อมไม่ใช่โรคระบาด คำพูดนางไม่มีชาวเมืองคนใดไม่เชื่อ แต่ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นหมอเทวดาเจี่ยนผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือผู้นี้ กลุ่มคนที่ล้อมอยู่จึงมีไม่กี่คนที่ยอมจากไป ต่างอยากเห็นว่านางจะรักษาโรคอย่างไร
เจินสือเหนียงไม่สนใจกลุ่มคนที่ห้อมล้อมอยู่ สั่งให้คนหามหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเข้าไปในห้องคนป่วย
เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยหนักที่ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เจินสือเหนียงจึงเสนอให้หลี่ฉีสร้างห้องผู้ป่วยสิบกว่าห้องไว้ที่ด้านหลังร้านยา หากเจอคนไข้ที่ต้องพักรักษาตัวที่นี่ นอกจากเก็บค่ารักษาแล้ว ยังสามารถเก็บค่าเช่าห้องต่างหากได้ด้วย ไม่เพียงได้คนไข้มากขึ้น รายรับก็เพิ่มขึ้นตาม หลี่ฉีรู้สึกเลื่อมใสเจินสือเหนียงจากใจจริง เจอใครก็ยกย่องความสามารถของนางให้ฟัง
ด้วยเหตุนี้เอง ชื่อเสียงของเจินสือเหนียงจึงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
“เขาไม่ได้เป็นโรคระบาดจริงหรือ” หลังกำชับลูกจ้างในร้านให้ไปจัดห้องผู้ป่วยในเรือนด้านหลังแล้ว หลี่ฉีเอ่ยถามเจินสือเหนียงเสียงค่อย
“จัดห้องเดี่ยวให้เขา ไม่อนุญาตให้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเข้าเยี่ยม” นางไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กำชับข้อควรระวังในการป้องกันโรคติดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงสุขุม
หลี่ฉีเปิดร้านขายยา มีหรือจะไม่เข้าใจที่นางพูด เขาตกใจจนหน้าซีด หมุนตัวจากไปด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
เห็นเจินสือเหนียงชั่งรากหวงฉิน รากเสวียนเซินและแยกวางลงบนกระดาษเหลืองหกแผ่นที่คลี่อยู่บนตู้แล้ว เฝิงสี่กะพริบตาปริบๆ “ในเมื่อแม่นางเจี่ยนเองก็บอกว่าเป็นไข้หวัด ไฉนจึงไม่ใช้ตำรับยาเฉิงชี่ทัง แต่กลับใช้รากหวงฉินและรากเสวียนเซิน” ตอนเข้ามาในห้องเขาถามเจินสือเหนียงแล้ว นางบอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นไข้หวัดเพราะความเย็น
ไข้หวัดเพราะความเย็นย่อมต้องระบายออกด้วยยาเฉิงชี่ทังเพื่อให้เหงื่อออก ตำรับยาของเขาหากตัดรากปั่นหลานกับชะเอมออกไปก็คือตำรับยาเฉิงชี่ทังที่มีชื่อเสียงของสำนักแพทย์หลวงนี่เอง
“แม้จะเป็นไข้หวัดเหมือนกัน แต่คนไข้หน้าบวมหัวบวม เห็นชัดว่าถูกพิษจู่โจม พิษนี้อยู่ในหัวใจและปอด หากใช้ยาเฉิงชี่ทังระบายออกจะขับได้เฉพาะความร้อนในกระเพาะลำไส้เท่านั้น ไม่อาจขับพิษในหัวใจและปอดได้ ดังนั้นข้าจึงใช้รากหวงฉินขับพิษในปอดและเส้นลมปราณ…” เจินสือเหนียงแบ่งยาอย่างชำนาญพลางอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ
ยาที่นางคลุกคลีด้วยเมื่อชาติก่อนส่วนใหญ่ล้วนเป็นยาแผนตะวันตก ส่วนยาจีน เจินสือเหนียงเข้าใจหลักการใช้ยา รู้จักตำรับยามากมายและรู้วิธีปรุงยาก็จริง แต่โอกาสที่จะได้เห็นของจริงมีไม่มาก ที่เคยเห็นโดยมากจะเป็นยาจีนที่โรงงานผลิตออกมาตามตำรับยาเรียบร้อยแล้ว สามารถหยิบมาใช้ได้ทันที ดังนั้นทุกครั้งที่มาร้านยารุ่ยเสียง นางจึงคว้าโอกาส ‘เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง’ หัดลิ้มรสและแยกแยะสมุนไพรจากรูปร่างและรสชาติ อีกหน่อยนางจะเปิดร้านขายยา นี่เป็นความรู้พื้นฐานที่ขาดไม่ได้
ผ่านมาหลายปี ฝึกฝนไปมาจึงมีฝีมือยอดเยี่ยม
ทุกครั้งที่นางรักษาโรคจะต้องเป็นคนปรุงยาเอง เฝิงสี่เห็นบ่อยจนชินแล้ว คิดว่านางต้องการเก็บเป็นความลับ เขาจึงไม่พูดมาก ไตร่ตรองคำพูดนางด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น
“เขาไม่ได้เป็นโรคระบาดจริงๆ หรือ” เจินสือเหนียงกำลังแบ่งชะเอมสดที่ชั่งไว้แล้ว เสียงใสกังวานพลันดังขึ้นข้างๆ นางเงยหน้าพบว่าเป็นบุรุษวัยกลางคนในชุดแพรปักลายคนนั้น เขายังไม่ไปไหน แต่ยืนมองนางอยู่หน้าตู้ยา “เจ้ารักษาโรคชนิดนี้ได้จริงๆ หรือ”
เจินสือเหนียงกวาดตามองเขาด้วยแววตาราบเรียบโดยไม่ตอบอะไร ก้มหน้าเทชะเอมที่เหลืออยู่ในถาดชั่งลงบนกองยากองสุดท้าย ก่อนจะหันไปดึงลิ้นชักที่บรรจุหนอนขาวแห้งออกมาอย่างคล่องแคล่ว
“…น้องสาวข้าอาศัยอยู่ในเมืองอูซี เจ็ดปีก่อนทั้งครอบครัวเจ็ดชีวิตตายด้วยโรคนี้” เสียงของชายผู้นั้นเจือความเศร้าและไม่สบายใจรางๆ
แม่นางน้อยผู้นี้ไม่มีความรู้หรือมั่นใจจริงๆ ว่านี่ไม่ใช่โรคระบาด ถึงได้กล้าอวดเก่ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่แจ้งทางการเพื่อประกาศใช้มาตรการโดดเดี่ยวโดยเร็วที่สุด พึงรู้ว่าหากนางไม่ระวัง เมืองเล็กๆ แห่งนี้ย่อมเกิดหายนะครั้งใหญ่ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือที่นี่ห่างไกลทุรกันดารก็จริง แต่กลับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองซั่งจิงกับค่ายเฟิงกู่ของแม่ทัพเสิ่น อยู่ห่างจากสถานที่ทั้งสองเป็นระยะทางไม่กี่สิบลี้ หากเกิดโรคระบาดจริง ลมวูบเดียวก็หอบเอาโรคระบาดไปได้แล้ว ค่ายเฟิงกู่มีกำลังทหารประจำอยู่หลายแสน!
ยิ่งคิดยิ่งตระหนก ใบหน้าของชายหนุ่มพลันซีดขาว
เฝิงสี่เงยหน้าอย่างตะลึง ชายผู้นั้นมองแผ่นหลังของเจินสือเหนียงตาไม่กะพริบ แววตาจริงใจแฝงความหวาดหวั่นอย่างปิดไม่มิด เฝิงสี่อดหันไปมองเจินสือเหนียงไม่ได้ ดวงตาฉายความตื่นลน มือที่ประคองตู้ยาสั่นระริก
เจินสือเหนียงหยุดชั่งยาและค่อยๆ หันกลับมา
“โรคระบาดครั้งนั้นเรียกว่าไข้อึ่งอ่าง คนที่เป็นโรคจะมีอาการเหมือนคนไข้เมื่อครู่นี้ทุกประการ หัวบวมตาแดง สองตาหรี่ลงเป็นเส้น สองแก้มพองเหมือนคางคก” เห็นเจินสือเหนียงหันหน้ามาในที่สุด บุรุษผู้นั้นจึงเอ่ยอย่างจริงใจ “แรกเริ่มหมอในเมืองอูซีก็พูดเหมือนท่านหมอท่านนี้ คิดว่าเป็นไข้หวัดจากความเย็นจึงใช้ยาเฉิงชี่ทัง ภายหลังอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีคนตายมากขึ้นทุกทีถึงได้หวาดกลัว เรื่องรู้ไปถึงราชสำนัก ทางการปิดล้อมเมืองนั้น อนุญาตให้เข้าได้เท่านั้น ออกไม่ได้…หากหมอเจี่ยนไม่เชื่อสามารถไปตรวจสอบดูได้ ทางการมีบันทึกเรื่องนี้อยู่”
“นี่…นี่…” เหงื่อเย็นบนหน้าผากของเฝิงสี่หยดลงมา
เจินสือเหนียงก้มหน้าแบ่งยาในมืออย่างสุขุม ห่ออย่างคล่องแคล่วและยื่นให้ฝูเป่าลูกจ้างในร้านที่ยืนตัวสั่นหน้าซีดอยู่ข้างๆ “สี่ห่อนี้นำไปแบ่งต้มเป็นครั้งๆ อีกสองห่อบดเป็นผงแล้วนำมาให้ข้า”
ความสุขุมมั่นคงของเจินสือเหนียงทำให้ฝูเป่าสบายใจขึ้นไม่น้อย เขารับห่อยาและวิ่งไปที่เรือนด้านหลังทันที
“โรคระบาดคือโรคที่ติดต่อเฉียบพลัน” เจินสือเหนียงเงยหน้ามองบุรุษผู้นั้น “เนื่องจากติดต่อได้ง่าย รวดเร็วและไม่มีแนวทางการรักษา คนเป็นโรคจึงตายและกลายเป็นโรคระบาด” เจินสือเหนียงอธิบายพลางหยิบพู่กันกับหมึกมาก้มหน้าเขียน
เช่นนี้หมายความว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยผู้นั้นเป็นโรคระบาด! นางกำลังเล่นลิ้น! ชายผู้นั้นจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เจินสือเหนียงพูดที่หน้าประตูว่าโรคของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยติดต่อได้ ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไป เขามองนางอย่างประหม่า รู้สึกวิตกกับการอวดอ้างอย่างเจ้าเล่ห์และความใจกล้าบ้าบิ่นของนาง
ด้วยเกรงว่าจะเกิดความหวาดวิตกและโกลาหล เรื่องนี้หากเป็นทางการก็ย่อมจัดการแบบเดียวกัน แต่ภายหลังทางการจะแอบพาครอบครัวหลิ่วเอ้อร์กุ้ยไปที่อื่นให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือสังหารและฝังกลบเสีย แต่แม่นางน้อยคนนี้กลับมั่นอกมั่นใจว่าตนสามารถรักษาโรคของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยได้ นางสามารถควบคุมโรคนี้ไม่ให้ลุกลามออกไปได้!
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของทหารร่วมสิบหมื่นในค่ายเฟิงกู่ นางจะรับผิดชอบไหวหรือ!
“แม่นางเจี่ยน…” ด้วยจับนัยในคำพูดของเจินสือเหนียงได้ เฝิงสี่จึงร้องเรียกอย่างไม่สบายใจ
“วางใจเถอะ” เจินสือเหนียงยังคงก้มหน้าเขียน “โรคชนิดนี้เกิดจากพิษของลมร้อน ส่วนใหญ่มักเป็นในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นลมเยอะ ฤดูหนาวอากาศควรจะหนาวเย็นแต่กลับอุ่น สถานการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดพิษจากลมร้อนได้ง่าย แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง น้ำค้างแข็งเพิ่งลง ขอเพียงพวกเรารับมือให้ดีย่อมไม่เกิดโรคระบาดในวงกว้าง” นางวางพู่กันและเงยหน้ามองบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น “เจ้าต่างหาก ยังไม่แน่ใจก็ป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนเช่นนั้น หากเกิดความหวาดวิตกและความโกลาหลขึ้นมาจะน่ากลัวยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก” น้ำเสียงเนิบช้าสุขุมเหมือนผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก
คิดถึงโรคระบาดในเมืองอูซีที่เกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ชายผู้นั้นก็หน้าแดง “หมอเจี่ยนกล่าวถูกต้องแล้ว” น้ำเสียงเจือแววเลื่อมใสโดยไม่รู้ตัว เอ่ยออกไปแล้วเขาจึงผงะ ไม่ถูกต้องสิ นางเป็นแค่เด็กสาวอายุเท่าไรเอง ไฉนจึงสั่งสอนเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ที่เปี่ยมประสบการณ์เช่นนี้ เขาเป็นถึง…แต่เขากลับยอมรับผิดเสียอย่างนั้น คิดได้เช่นนี้ใบหน้าพลันเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว
เจินสือเหนียงไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว เขียวเป็นแดงสลับไปมา นางยื่นสูตรยาที่เขียนเสร็จให้หลี่ฉีที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “ให้คนจัดยาตามสูตรนี้ อีกประเดี๋ยวน่าจะมีคนมาซื้อยาแล้วล่ะ” หันไปมองตู้ยาข้างหลังที่บรรจุยาไว้เต็มลิ้นชักเล็กๆ พลางหยอกเย้ากึ่งเล่นกึ่งจริงว่า “ชาวเมืองต่างกลัวจะเกิดโรคระบาด เห็นทีพี่หลี่คงต้องคว้าโอกาสนี้สั่งสมุนไพรเข้ามาเพิ่มแล้วล่ะ”
ชาติก่อนการแพทย์และสาธารณสุขล้วนพัฒนาแล้ว ทารกได้รับการฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด โรคที่มักจะลุกลามเป็นโรคระบาดในสมัยโบราณเช่นกาฬโรคหรือคางทูมจึงถูกป้องกันไว้แล้ว โรคระบาดครั้งเดียวที่นางจำได้คือโรคซาร์สในปี 2003 ว่ากันว่ารากปั่นหลานป้องกันโรคซาร์สได้ แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีการระบาดของโรค รากปั่นหลาน หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก็ถูกแย่งซื้อจนขาดตลาด
ตอนนั้นนางเรียนอยู่ปีสาม ประกาศของทางมหาวิทยาลัยรายงานเรื่องโรคระบาดทุกวัน บ้างก็ว่าวันนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกี่ราย พรุ่งนี้พบผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อกี่ราย จำได้ว่าวันหนึ่งโรงเรียนใกล้ๆ มีนักเรียนเสียชีวิตหนึ่งคน วันต่อมาโรงเรียนแห่งนั้นก็หยุดการเรียนการสอน ทำให้นางรู้สึกเหมือนความตายอยู่ใกล้แค่นิดเดียว กอดคอกับรูมเมทร้องไห้ไม่หยุด กังวลว่าตนเองจะติดเชื้อหรือเปล่า จะตายหรือเปล่า…
ตอนนั้นนางรู้สึกหวาดหวั่นเหมือนโลกกำลังจะอวสาน
นางจึงเชื่อว่าหากชาวบ้านเหล่านี้มั่นใจว่ามีคนเป็นโรคระบาด ความหวาดวิตกที่จะเกิดขึ้นในเมืองอู๋ถงย่อมไม่น้อยไปกว่านางในตอนนั้นแน่
ใบหน้าของชายผู้นั้นฉายความประหลาดใจ “ยานี้…ใช้ได้ผลจริงๆ หรือ”
เจินสือเหนียงไม่ตอบ ด้วยเป็นคนนิสัยเฉยชา แต่ไรมานางจึงไม่เคยให้คำรับรองกับเรื่องแบบนี้
“จัดให้ข้าห้าเทียบ!” น้ำเสียงของชายผู้นั้นเหมือนต้องการเอาชนะ มือล้วงเศษเงินหนึ่งตำลึงโยนลงบนตู้ยา
หลี่ฉีตาเป็นประกาย พอได้ยินว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด ในใจเขาก็พลันมีแต่ความหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่!
เนิ่นนานกว่าจะได้สติ เขากำสูตรยาในมือแน่นๆ เหมือนได้รับสมบัติอันประเมินค่ามิได้ ปากร้องเรียกลูกจ้างที่ยืนอึ้งอยู่หน้าประตู “เร็ว เร็วเข้า รีบจัดยาให้นายท่านท่านนี้!”
ฝูเป่าเอายาผงที่บดเสร็จแล้วเข้ามาให้อย่างรวดเร็ว เจินสือเหนียงขอใช้ห้องยาของหลี่ฉีเคี่ยวผงยากับน้ำผึ้งทำเป็นยาลูกกลอน จากนั้นให้หลิ่วเอ้อร์กุ้ยอมไว้ในปาก กว่าจะยุ่งเสร็จก็เกือบเที่ยง เนื่องจากเอ้อร์กุ้ยยังไม่ฟื้น ภรรยาหลี่ฉีจึงให้คนไปส่งข่าวกับสี่เชวี่ยว่าเจินสือเหนียงจะอยู่กินข้าวกลางวันที่ร้านยา หลังกินข้าวเสร็จนางงีบหลับในห้องของลูกสาวหลี่ฉีสักพัก ตื่นมาก็ยามเซินแล้ว ภรรยาหลี่ฉีเดินเข้ามาอย่างยินดีปรีดา “หลิ่วเอ้อร์กุ้ยฟื้นแล้ว กินข้าวได้แล้ว!”
“เช่นนั้นก็ดี” เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “พาข้าไปดูหน่อย”
โรคชนิดนี้นางแค่เคยได้ยินเท่านั้น ยังไม่เคยรักษามาก่อน ตอนเช้ายามเผชิญหน้ากับความกังขาของทุกคน ภายนอกนางดูสุขุม แต่ในใจก็ว้าวุ่นเช่นกัน
นางตามภรรยาหลี่ฉีมาที่ห้องผู้ป่วย พอเห็นเจินสือเหนียง แม่ของเอ้อร์กุ้ยก็คุกเข่าทันทีและโขกศีรษะไม่หยุด “ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาช่วยเหลือมนุษย์โดยแท้!”
เจินสือเหนียงไม่ชอบธรรมเนียมแย่ๆ ในสมัยโบราณที่เอะอะอะไรก็คุกเข่าแบบนี้จริงๆ จึงรีบพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา “รีบลุกขึ้นเถอะ หมอรักษาโรคเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น”
เห็นเจินสือเหนียงฉุดอีกฝ่ายไม่ขึ้น ภรรยาหลี่ฉีจึงช่วยดึงนางขึ้นมาเสียเอง “เจ้ารีบลุกขึ้น ท่านหมอเจี่ยนร่างกายไม่แข็งแรง เจ้าอย่าเกาะแกะนาง ให้นางรีบตรวจดูเอ้อร์กุ้ย จะได้รีบกลับไปพักผ่อน” น้ำเสียงเจือความเข้มงวดอย่างชัดเจน ได้ยินว่าโรคนี้ติดต่อได้ ภรรยาหลี่ฉีจึงไม่อยากอยู่ในห้องนี้แม้แต่เค่อเดียวด้วยซ้ำ
เนื่องจากอยู่ใกล้ แม้จะมีผ้าโปร่งสีดำขวางอยู่ แม่ของเอ้อร์กุ้ยก็ยังเห็นใบหน้าขาวซีดผิดปกติของเจินสือเหนียงได้รางๆ โดยเฉพาะนิ้วมือทั้งห้าของนางที่กำข้อมือตน เยียบเย็นเหมือนมือคนตายอย่างนั้นแหละ ฉับพลันแม่ของเอ้อร์กุ้ยหน้าซีดเผือด เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างอย่างตื่นตระหนก
“ดื่มยาอีกสองเทียบ หากลุกจากเตียงได้ก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว” หลังจับชีพจรให้หลิ่วเอ้อร์กุ้ย เจินสือเหนียงเงยหน้ามองแม่ของเอ้อร์กุ้ย “ประเดี๋ยวข้าจะเขียนยาให้ เจ้าเองก็ดื่มสักสองวัน โรคนี้ติดต่อได้ เจ้าต้องคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ป้องกันไว้ย่อมดีกว่า”
ทันทีที่เข้ามาในห้องนางก็เห็นว่าใบหน้าของแม่เอ้อร์กุ้ยแดง เมื่อครู่ถือโอกาสจับชีพจรนางตอนประคองนางขึ้นมา พบว่านางติดไข้หัวบวมแล้ว แต่อยู่ในระยะเริ่มแรก อาการยังไม่เด่นชัด ทว่าเจินสือเหนียงเชื่อว่าแม่ของเอ้อร์กุ้ยจะต้องรู้สึกทรมานมากแน่ ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าลูกตนเป็นโรคระบาด ครอบครัวจะถูกขับไล่ออกจากเมือง นางจึงฝืนอดทนไว้
หลังจากตระหนักภายหลังว่าเจินสือเหนียงทำท่าพยุงนางขึ้นมาเพราะต้องการจับชีพจร แม่ของเอ้อร์กุ้ยตกใจหน้าถอดสี กำลังคิดอย่างร้อนรนว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงกลับไม่ได้เปิดโปงนาง นางอึ้งไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติ ริมฝีปากสั่นอยู่นานก่อนตอบว่า “ท่านหมอเจี่ยนโปรดวางใจ อีกประเดี๋ยวรอพ่อเขามาพวกเราจะไปทันที ค่าเตียงกับค่ารักษาพวกเราจะจ่ายให้ทั้งหมด”
ก่อนหน้านี้ครอบครัวเอ้อร์กุ้ยอาละวาดกับหลี่ฉีสามีภรรยา ประกาศแล้วว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่จนกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยจะหายดีโดยไม่จ่ายเงินสักแดง หากตระกูลหลี่รักษาไม่ได้ก็จะทำพิธีศพที่บ้านเขานี่ล่ะ หาไม่หากรู้ว่านี่เป็นโรคระบาด หลี่ฉีจะยอมให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
บัดนี้เห็นเจินสือเหนียงไล่ตัวเชื้อโรคออกไปด้วยคำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำ ภรรยาหลี่ฉีมองเจินสือเหนียงด้วยแววตาซาบซึ้งจากใจจริง
เจินสือเหนียงเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ
ตอนเจินสือเหนียงกลับถึงบ้าน ชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยกำลังยืนชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูด้วยความเป็นห่วง พอเห็นนาง ชิวจวี๋ก็พุ่งเข้ามาปานโบยบิน ปากถามคำถามกับนางรัวๆ “ว่ากันว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด จริงหรือเจ้าคะ แล้วคุณหนูจะติดโรคหรือเปล่า ที่นี่จะเกิดโรคระบาดหรือเปล่า พวกเราต้องย้ายบ้านหรือเปล่าเจ้าคะ”
เพียงครึ่งวัน เรื่องที่หลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาดก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองอู๋ถง ทำเอาสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ตกใจอย่างยิ่ง หากไม่ติดที่ต้องปิดบังฐานะของเจินสือเหนียง ป่านนี้ชิวจวี๋ไปรับนางตั้งนานแล้ว
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สี่เชวี่ยก็ส่งชิวจวี๋ไปแอบดูที่ร้านยาถึงสองครั้ง
“เกิดเรื่องแล้ว…” เจินสือเหนียงทำหน้าจริงจัง “คืนนี้เก็บข้าวของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้พวกเราจะย้ายบ้านกันแต่เช้า”
“จริงหรือเจ้าคะ!” ชิวจวี๋นิ่งขึงทันที
“เจ้านี่นะ!” เจินสือเหนียงตบหัวนางเบาๆ “ตีตนไปก่อนไข้ เจ้าไม่เชื่อในวิชาแพทย์ของข้าหรือ” น้ำเสียงเจือแววหยอกเย้า
ชิวจวี๋ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานกว่าจะได้สติ นางลูบหัวอย่างไม่พอใจ “คุณหนูชอบแกล้งบ่าวอยู่เรื่อย บ่าวถูกท่านตบหัวจนโง่งมแล้ว” ประเดี๋ยวตกใจประเดี๋ยวดีใจ ชิวจวี๋จึงลืมซักไซ้ต่อ
เห็นเจินสือเหนียงมีสีหน้าสุขุม คิ้วตาเจือรอยยิ้มอย่างที่พบเห็นได้น้อย สี่เชวี่ยที่หนักใจมาทั้งวันจึงเบาใจลง ด้วยรู้ว่าแต่ไรมาเจินสือเหนียงไม่ชอบคุยเรื่องออกไปตรวจโรค จึงไม่ถามอีก
แม้มิใช่งานที่ต้องใช้แรง แต่ออกไปข้างนอกทั้งวัน เจินสือเหนียงรู้สึกเพลียเป็นพิเศษ กินข้าวเย็นเสร็จ เล่านิทานให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฟังได้ครึ่งเดียวนางก็หลับไป
เช้าวันต่อมาพอตื่นนอน ด้วยเป็นห่วงอาการของหลิ่วเอ้อร์กุ้ย เจินสือเหนียงจึงสั่งให้ชิวจวี๋ไปสืบข่าวที่ร้านยารุ่ยเสียง
ชิวจวี๋กลับมาอย่างรวดเร็ว “ป้าหลี่บอกว่าเมื่อวานท่านกลับไปไม่นาน ครอบครัวหลิ่วหมาจื่อก็จากไป ท่านสบายใจได้ ค่ารักษาและค่าห้องพวกเขาจ่ายครบแล้ว” นางหัวเราะคิกเมื่อนึกอะไรได้ “ได้ยินว่าสูตรยาที่คุณหนูเขียนไว้ เมื่อวานมีคนมาซื้ออย่างต่อเนื่อง วันนี้พอร้านยารุ่ยเสียงเปิด ข้างนอกก็มีคนเข้าแถวยาวเหยียด ล้วนเป็นพวกที่กลัวติดโรคระบาดและอยากซื้อยามากินป้องกันทั้งนั้น หลงจู๊หลี่ออกไปซื้อยามาเพิ่มแต่เช้า บ่าวยืนอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ได้ยินคนมาสืบหาที่อยู่ของท่านโดยเฉพาะ หมายจะเสนอเงินก้อนโตเชิญท่านไปรักษาโรค” นางมองเจินสือเหนียงด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “คราวนี้ชื่อเสียงของคุณหนูโด่งดังไปไกลแล้ว!” พอคิดว่าร่างกายของเจินสือเหนียงทนความเหน็ดเหนื่อยไม่ไหว เห็นเงินแต่กลับคว้าไว้ไม่ได้ เสียงของชิวจวี๋ก็สะดุดลง
เจินสือเหนียงไม่ได้สังเกตสีหน้าของชิวจวี๋ นางใจลอยเล็กน้อย
แม้หลี่ฉีกับภรรยาจะรู้เรื่องยาและหวังว่าคนป่วยที่มารักษาโรคที่ร้านยารุ่ยเสียงจะหายจากโรค แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงพ่อค้า สำหรับพวกเขาขอเพียงหาเงินได้ก็พอ ส่วนโรคจะหายหรือไม่ ภายหลังจะเป็นอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เว้นเสียแต่คนป่วยจะมาเอาเรื่อง
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน หลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด แม้ต่อหน้าคนอื่นนางจะพูดอย่างมั่นใจว่าปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้โรคนี้ไม่มีทางระบาดในวงกว้าง แต่นี่เป็นสมัยโบราณ การแพทย์และสาธารณสุขมีข้อจำกัด ปัจจัยหลายอย่างไม่ใช่สิ่งที่นางจะควบคุมได้ นางเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาด
ไม่กลัวอะไร กลัวก็แต่สิ่งที่คาดไม่ถึง หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เมืองอู๋ถงย่อมเผชิญหน้ากับหายนะร้ายแรง ถึงเวลานั้นนางย่อมกลายเป็นคนบาปที่ทุกคนจดจำไปตลอดกาล!
ลังเลครู่ใหญ่ เจินสือเหนียงคิดจะให้ชิวจวี๋ไปส่งข่าว ขอให้หลี่ฉีไปบ้านหลิ่วหมาจื่อดูอาการของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยสักหน่อย แต่พอคิดถึงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองครอบครัวเมื่อวานจึงหยุดคำพูดไว้ นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันที่โรงพยาบาลมีระบบติดตามผลการรักษาและเยี่ยมคนไข้ ในสมัยโบราณหากคนป่วยไม่มาหา ร้านยาไม่มีทางเป็นฝ่ายไปถามไถ่ถึงที่บ้าน หากนางบอกให้หลี่ฉีไปเยี่ยมหลิ่วเอ้อร์กุ้ย เขาต้องเห็นนางเป็นตัวประหลาดแน่ ดีไม่ดีอาจคิดว่านางมีใจให้หลิ่วเอ้อร์กุ้ย! แม่ม่ายมักตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน เอ้อร์กุ้ยเป็นผู้ชายอายุใกล้เคียงกับนาง หากนางแสดงความห่วงใยมากเกินไป คนอื่นอาจเข้าใจผิดและกระจายข่าวลือเสียๆ หายๆ ได้
สังคมโบราณเฮงซวยจริงๆ!
แม้จะมาที่นี่ห้าปีแล้ว เรียกได้ว่าเจินสือเหนียงหลอมรวมกับยุคสมัยได้แล้ว แต่ทุกครั้งที่พบเห็นเรื่องที่ตนเองอยากช่วย แต่กลับช่วยไม่ได้เช่นนี้ นางก็ยังสบถในใจอยู่ดี
เจินสือเหนียงสั่งให้ชิวจวี๋คอยสืบข่าวสารข้างนอกและคอยสังเกตว่ามีคนป่วยเป็นโรคแบบเดียวกันหรือไม่