ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8
บทที่ 6
พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน
ย่างเข้าฤดูหนาว ไม่มีงานต้องทำมากนัก เจินสือเหนียงรู้สึกเกียจคร้านจึงหาตำราแพทย์เล่มหนึ่งมานอนอ่านบนเตียงเตา ขณะกำลังลังเลว่าจะให้ชิวจวี๋ไปร้านยารุ่ยเสียงอีกดีหรือไม่ ภรรยาหลี่ฉีก็ถือเขากวางอ่อนสองคู่เดินยิ้มร่าเข้ามา
กำลังจะงีบหลับก็มีคนส่งหมอนมาให้* ครั้นเห็นว่าเป็นนาง เจินสือเหนียงดีใจเป็นพิเศษ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “สะใภ้หลี่มาแล้วหรือ” นางวางหนังสือและหันไปสั่งชิวจวี๋ “รินน้ำให้สะใภ้หลี่เร็ว”
“อาโยววาสนาดีจริงๆ” เห็นเจินสือเหนียงนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตาอย่างสบายใจ ภรรยาหลี่ฉีเหลือบมองหนังสือที่นางเพิ่งวางลงด้วยความอิจฉา คนรู้หนังสือย่อมต่างจากคนทั่วไป มองท่าทีสงบสุขุมของเจินสือเหนียง ประกอบกับคิดได้ว่าสองวันนี้ชาวเมืองต่างอยากจะควานหาตัวหมอเทวดาผู้ลึกลับคนนี้ออกมา สีหน้าของภรรยาหลี่ฉีก็สะท้อนความอิจฉาออกมาหลายส่วน
“มีวาสนาที่ไหนกัน เป็นเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ทำอะไรไม่ไหวแล้วต่างหาก…” เจินสือเหนียงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า “ที่บ้านมีงานรออยู่เต็มไปหมด ก่อนหน้านี้ชิวจวี๋เพิ่งซื้อผักกาดกลับมา ข้าเห็นแล้วไม่อยากขยับตัว เลยกองอยู่ในลานบ้านไม่ได้หมักเสียที!”
ชาติก่อนเจินสือเหนียงเป็นคนทางเหนือ ชอบกินผักดอง ฤดูหนาวทุกปีนางจะทำผักดองไว้สองไหใหญ่ แต่ก่อนมีสี่เชวี่ยคอยช่วย ปีนี้สี่เชวี่ยตั้งครรภ์ เจินสือเหนียงร่างกายอ่อนแอจนไม่มีแม้แต่แรงจะหยิบเข็มสักเล่ม จึงได้แต่มองกองผักกาดในลานบ้านอย่างกลุ้มใจ
“เจ้าควรบำรุงรักษาร่างกายได้แล้ว ใบหน้าซีดเซียวอย่างกับผี!” ภรรยาหลี่ฉีเป็นคนโผงผางปากเร็ว พูดอะไรไม่คิด “ข้ารู้ว่าเจ้าคนเดียวเลี้ยงดูลูกสองคนหาใช่เรื่องง่าย อยากเก็บสมบัติเอาไว้ให้ลูกมากหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีชีวิตเพื่ออยู่เสพสุข ดังนั้นสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!” นางชี้ผักกาดในลานบ้าน “ผักพวกนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะหาเวลามาช่วยเจ้าหมัก” นางเดาะลิ้น “จะว่าไปผักดองของเจ้าอร่อยจริงๆ บ้านข้ากินอย่างไรก็ไม่พอ พอย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงพวกเขาชอบซื้อผักกาดมาให้ข้าหมัก ข้าทำเป็นที่ไหนกัน” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ “พอดีเลย พรุ่งนี้จะได้มาหัดกับเจ้า”
ทุกปีพอผักดองเสร็จ เจินสือเหนียงจะส่งไปให้ทุกบ้าน ภรรยาหลี่ฉีกินหมดเป็นต้องถือชามใบใหญ่มาขอเพิ่มทุกครั้ง
“ข้ากำลังหนักใจที่สี่เชวี่ยท้องใหญ่ขึ้นทุกวัน ทำงานแบบนี้ไม่ไหว” เห็นนางพูดอย่างจริงจัง เจินสือเหนียงจึงยิ้มพยักหน้า “แต่บอกก่อนนะว่าข้าไม่มีค่าแรงให้”
“จะได้อย่างไรเล่า” ภรรยาหลี่ฉีพูดติดตลก “หากเจ้าไม่จ่ายค่าแรงให้ข้า ปีใหม่ข้าจะขนกะละมังใบใหญ่มาทวงผักดองจากเจ้า”
ชิวจวี๋ปิดปากหัวเราะคิก ทุกคนสนทนากันอย่างสนุกสนาน ด้วยเป็นห่วงอาการของหลิ่วเอ้อร์กุ้ย เจินสือเหนียงจึงถามว่า “เช้าตรู่แบบนี้ร้านยาไม่มีงานแล้วหรือ เจ้าถึงได้มาทวงของที่นี่” สายตาเลื่อนไปยังเขากวางอ่อนที่ภรรยาหลี่ฉีเพิ่งจะวางลง “นั่นอะไร”
“เพราะได้เจ้านี่แหละ งานถึงได้ล้นมือ” คิ้วตาของภรรยาหลี่ฉีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “สองวันนี้ร้านยายุ่งมาก” นางยื่นเขากวางอ่อนอันหนึ่งออกมา “แต่เป็นเพราะได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น ข้าจึงตั้งใจเอายาบำรุงมาให้เจ้า”
“ยาบำรุง?” เจินสือเหนียงขมวดคิ้ว ยื่นมือไปรับเขากวางอ่อน “ข้าไม่ได้เป็นขุนนาง ไม่มีอำนาจและบารมี ใครจะติดสินบนข้า”
“เป็นภรรยาของหลิ่วหมาจื่อ วันนี้นางพาหลิ่วเอ้อร์กุ้ยมาหาเจ้าที่ร้านยาแต่เช้า!”
เจินสือเหนียงนั่งตัวตรง “เกิดอะไร…”
“เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเขาไม่ได้มาหาเรื่อง แต่มาขอบคุณ” ด้วยมักจะถูกญาติผู้ป่วยตามมาอาละวาดถึงบ้านจนหวาดกลัว เห็นอาการของเจินสือเหนียง ภรรยาหลี่ฉีจึงคิดว่านางกลัว รีบอธิบายว่า “บอกว่ามาขอบคุณเจ้า มิสู้บอกว่าเขาเห็นหน้าร้านมีผู้คนมากมาย อยากถือโอกาสนี้ป่าวประกาศว่าลูกชายตนเองไม่ได้เป็นโรคระบาดและหายดีแล้วมากกว่า” ภรรยาหลี่ฉีพูดพลางเบ้ปาก
“หายดีแล้ว?” เจินสือเหนียงตะลึง “เร็วถึงเพียงนี้เชียว” นี่เท่ากับโรคหายเมื่อได้ยา ดูเหมือนวิชาแพทย์ของนางจะยังไม่สูงส่งขนาดนั้น
“ยังไม่หายดีทั้งหมด แต่ศีรษะที่บวมยุบลงไปกว่าครึ่งแล้ว คนก็มีสติขึ้นไม่น้อย เจอใครก็ยิ้มแย้ม มีแต่สองแก้มที่ยังบวมอยู่ เหมือนอึ่งอ่างพองลมอย่างไรอย่างนั้น”
เจินสือเหนียงร้อนใจเล็กน้อย “เขาไม่กลัวถูกลมแล้วจะกลับมาเป็นซ้ำหรือ” ไข้หวัดกลัวที่สุดคือการเป็นซ้ำนี่แหละ
“นั่นน่ะสิ” ภรรยาหลี่ฉีหน้าแดงเล็กน้อย หลิ่วเอ้อร์กุ้ยสามารถปรากฏตัวที่หน้าร้านยาและป่าวประกาศวิชาแพทย์อันสูงส่งของเจินสือเหนียงให้ทุกคนรับรู้ ในใจนางยินดียิ่ง แต่เห็นเจินสือเหนียงทำหน้ากังวลจึงไม่กล้าแสดงความรู้สึกนั้นออกมา เออออตามไปว่า “หมอเฝิงเองก็พูดขู่จนเขากลัว บอกว่าฤดูใบไม้ร่วงลมแรง หากได้รับความเย็นและกลับไปเป็นอีกครั้งย่อมหมดทางเยียวยา แม่ของเอ้อร์กุ้ยถึงได้กลัวและห่อตัวเขาอย่างมิดชิดพากลับไป” นางชี้เขากวางอ่อนในมือเจินสือเหนียง “นี่เป็นของที่นางตั้งใจขอร้องข้าให้นำมาให้เจ้า บอกว่าเขากวางอ่อนช่วยบำรุงเลือดลมได้ดีที่สุด ทำให้ร่างกายแข็งแรง เป็นเพราะวันนั้นนางเห็นเจ้าร่างกายอ่อนแอขนาดลมพัดก็ปลิวได้ ดังนั้นจึงส่งของสิ่งนี้มาให้”
เจินสือเหนียงพิจารณาเขากวางอ่อนในมืออีกครั้ง เขากวางสามหน่อยาวประมาณครึ่งเชียะ ทั้งอ่อนและสมบูรณ์มาก มีขนสีเหลืองเทาปกคลุมหนาแน่น เรียบลื่นดุจผ้าต่วน ตรงรอยหักเป็นสีน้ำตาลแดง ดูรู้ว่าเป็นเขากวางสามหน่อชั้นดี คิดถึงการแต่งกายของครอบครัวหลิ่วหมาจื่อ ดูแล้วคงมิใช่คนร่ำรวย นางจึงส่งเขากวางอ่อนคืนให้ภรรยาหลี่ฉี “ข้าแค่ตรวจชีพจรให้เขาเท่านั้น จะรับของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้จากผู้อื่นได้อย่างไร” นางพูดต่อ “ล้วนเป็นชาวบ้านทั่วไปเหมือนกัน ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เจ้าเอาไปคืนนางเถอะ”
เขากวางอ่อนนี้เป็นของบำรุงเลือดลมก็จริง แต่บำรุงธาตุหยาง คนธาตุหยินพร่องอย่างนางห้ามใช้เขากวางอ่อนบำรุงร่างกายเด็ดขาด ในเมื่อไม่มีประโยชน์กับตนเอง ไยต้องรับไมตรีครั้งใหญ่จากผู้อื่นไว้ด้วย
“แค่จับชีพจรเสียที่ไหน เจ้าช่วยชีวิตลูกชายเขาไว้ต่างหาก!” ภรรยาหลี่ฉีไม่รู้ว่าเขากวางอ่อนนี้ไม่มีประโยชน์ต่อโรคของเจินสือเหนียง เห็นนางปฏิเสธก็ร้อนใจ “เจ้าเพิ่งมาอยู่เมืองนี้ทั้งยังไม่ค่อยออกไปไหน ไม่รู้อะไรหรอก เดิมทีหลิ่วหมาจื่อมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตหลิ่วต้ากุ้ยออกไปล่าสัตว์กับเขาตอนอายุสิบห้าและถูกงูพิษกัด เป็นงูหางกระดิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็น ยาพื้นบ้านที่พกติดไปใช้ไม่ได้ผล ยังไม่ทันลงจากเขาคนก็ตายเสียก่อน สองสามีภรรยาร้องไห้จะเป็นจะตาย เหลือลูกชายคนเล็กคนเดียว จู่ๆ ก็มาป่วยหนักแบบนี้ มีหรือจะไม่ร้อนใจ”
คิดถึงวันก่อนที่ครอบครัวหลิ่วหมาจื่อมาอาละวาดหน้าบ้านตนเอง ภรรยาหลี่ฉีไม่อยากยกประโยชน์ให้เขา นางยัดเขากวางอ่อนให้เจินสือเหนียง “เขาให้เจ้า เจ้าก็เก็บไว้ เจ้าอย่าเห็นว่าเขากวางอ่อนนี้ราคาแพง หาซื้อยาก สำหรับครอบครัวนายพรานอย่างพวกเขาแล้วล้วนเป็นของที่ได้จากบนภูเขา ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร” นางเห็นท่าทียืนกรานของเจินสือเหนียงจึงพูดต่อว่า “เขาเอาของที่ดีที่สุดในบ้านมาให้เพราะอยากขอบคุณเจ้าจากใจจริง เจ้าปฏิเสธเขาเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าเจ้าไม่อยากให้เขาสิ้นเปลือง กลับจะคิดว่าเจ้าดูถูกเขา หากเจ้ารู้สึกเกรงใจ อีกหน่อยหากเขามาให้เจ้ารักษาโรค เจ้าเก็บค่ารักษาน้อยหน่อยก็ได้”
เจินสือเหนียงคิดดูแล้วเห็นด้วย ผู้คนที่นี่ซื่อตรงและเรียบง่าย ผู้อื่นส่งของมาให้แล้ว หากนางคืนกลับไปย่อมเป็นการทำลายน้ำใจ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สะใภ้หลี่ช่วยข้าขอบคุณนางด้วยแล้วกัน” คิดอะไรได้ก็ลุกขึ้นหยิบกล่องใบเล็กออกจากตู้ หยิบยาเม็ดเคลือบไขสีขาวบริสุทธิ์ออกมาสองเม็ดใส่ลงในถุงผ้าและยื่นให้ภรรยาหลี่ฉี “นี่เป็นยาแก้พิษงูชั้นดี พี่หลิ่วล่าสัตว์เป็นอาชีพ อาจพบเจอแมลงพิษหรืองูพิษได้ พกสิ่งนี้ติดตัวไว้ย่อมเป็นประโยชน์”
“ยาแก้พิษงู?” ภรรยาหลี่ฉีหยิบออกมาดูเม็ดหนึ่งอย่างตื่นเต้น
“ชิวจวี๋ต้องขึ้นเขาทุกวัน ข้ากลัวนางจะเจองูพิษจึงตั้งใจปรุงขึ้นมาให้นางพกติดตัว” เจินสือเหนียงอธิบาย
ไม่เพียงยาแก้พิษงู ชิวจวี๋เป็นเด็กผู้หญิง ด้วยกลัวนางจะเจอคนร้าย เจินสือเหนียงจึงตั้งใจปรุงยาสลบสำหรับใช้ป้องกันตนเองให้นางอีกมากมาย แต่ที่นี่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายจริงใจ มีคนขึ้นภูเขาเยอะเป็นพิเศษ อีกทั้งส่วนใหญ่ชิวจวี๋ยังมีเพื่อนไปด้วย ของพวกนี้จึงไม่เคยได้นำออกมาใช้
“ข้าว่าแล้วเชียว คนพวกนี้ให้ของเจ้าไม่มีทางขาดทุนหรอก” ภรรยาหลี่ฉีบ่นแกมอิจฉา “พรุ่งนี้ข้าจะเอาของมาให้เจ้าบ้าง เจ้าเอายาให้ข้าหลายๆ เม็ดหน่อย!” ชาวเมืองนี้ล้วนต้องขึ้นภูเขา ยาแก้พิษงูเป็นของหายากที่สุด
เจินสือเหนียงรู้ดีว่ายาเม็ดขายยาก แต่ยังคงยืนกรานให้นางช่วยขายให้ ทว่านางกลับไม่ทำยาแก้พิษงูมาขาย เห็นได้ชัดว่าวัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาชนิดนี้หายาก นางไม่อาจปรุงยาในปริมาณมากได้ ดังนั้นยานี้จึงล้ำค่าอย่างยิ่ง
“เจ้ารอไปก่อนเถอะ!” เจินสือเหนียงปรายตามองนาง “วันใดเจ้าย้ายร้านยามาที่นี่ ข้าถึงจะพิจารณามอบให้เจ้าสักเม็ด”
“ฝันไปเถอะ!” ภรรยาหลี่ฉีแค่นเสียง “ให้ข้าเอาของขวัญตอบแทนไปส่งให้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ควรจ่ายค่าแรงให้ข้าบ้างสิ!”
เห็นนางยื่นมือออกมาอย่างหน้าไม่อาย เจินสือเหนียงจนใจ ได้แต่หยิบยาอีกเม็ดในกล่องส่งให้นาง “เจ้าอย่าหาว่าข้าใจแคบเลย น้ำใสจากตัวงูหายาก ข้าใช้เวลาอยู่หนึ่งปียังปรุงยาได้แค่แปดเม็ด ยานี้เป็นยาชั้นดี หากเป็นงูพิษทั่วไปใช้ยาพื้นบ้านในร้านยาของเจ้าก็พอ อย่าสิ้นเปลืองเด็ดขาด”
ว่าแล้วเชียว หากเป็นฝีมือนาง ของนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่! ได้ยินอย่างนี้แล้วภรรยาหลี่ฉีเกรงว่าเจินสือเหนียงจะเปลี่ยนใจ รีบกอดยาเม็ดนั้นไว้กับอกและกดแน่นๆ ให้ตนเองสบายใจ จากนั้นเงยหน้ามองเจินสือเหนียงเอ่ยว่า “มัวแต่คุย ข้าลืมเรื่องสำคัญไปเลย”
เจินสือเหนียงใบหน้าขรึมลง “เรื่องอะไร”
“เจ้าก็รู้ว่าที่สองวันนี้ร้านยากิจการดีเพราะได้สูตรยานั้นของเจ้า…” ภรรยาหลี่ฉีตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงภาพคนเข้าแถวซื้อยาหน้าร้านพวกเขาจนร้านอื่นเห็นแล้วอิจฉาตาร้อน “วันนี้ก่อนมา พี่หลี่ของเจ้าบอกว่าค่ารักษาและค่ายาที่ได้จากครอบครัวหลิ่วหมาจื่อยกให้เจ้าทั้งหมด ส่วนยาที่ขายตามสูตรของเจ้า หักต้นทุนแล้วกำไรแบ่งกันคนละครึ่งเป็นอย่างไร” ใบหน้าระบายยิ้ม แต่มือที่กำชายเสื้อแน่นบ่งบอกความร้อนรนในใจ
ร้านยาทั่วไปไม่ได้มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ แต่สถานการณ์ครั้งนี้มีความพิเศษ ตามท้องถนนและตรอกซอยข้างนอกล้วนปิดประกาศเชิญหมอเจี่ยนไปตรวจรักษาโรคด้วยค่าตัวสูงลิ่ว ทำเอาหลี่ฉีสามีภรรยาอกสั่นขวัญแขวน เมืองอู๋ถงไม่ใหญ่ พวกเขาเปิดร้านยามานาน สถานการณ์ของแต่ละครอบครัวเป็นอย่างไรย่อมตระหนักดี เป็นไปไม่ได้ที่ภายในค่ำคืนเดียวจะมีคนไข้โรคประหลาดที่จำต้องให้เจินสือเหนียงรักษาโผล่ขึ้นมามากมายเช่นนี้ นี่ต้องเป็นแผนของร้านยาร้านอื่นๆ แน่ ต้องการใช้เงินซื้อตัวเจินสือเหนียง
บอกว่าตั้งราคาสูงเพื่อเชิญหมอมารักษาโรค แท้จริงแล้วเพราะอยากได้สูตรลับในการป้องกันโรคระบาดต่างหาก! หากเจินสือเหนียงถูกประกาศนั้นดึงดูดและไปติดต่อพวกเขาตามที่อยู่ ทำข้อตกลงกับร้านยาร้านอื่น บรรยากาศหน้าร้านยารุ่ยเสียงย่อมกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง
เจินสือเหนียงเงียบไม่พูดจา เอาแต่มองมือนางเงียบๆ
ภรรยาหลี่ฉีคลายมือออกโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็ไม่รู้จะวางมือไว้ที่ใด ลอบคิดในใจว่า รู้อยู่แล้วว่านางหาใช่คนที่จะตบตาได้ง่ายๆ นางเสริมเสียงเก้อ “เจ้าวางใจ บัญชีส่วนนี้พวกเราจะแยกจด ให้เฝิงสี่เป็นผู้ดูแล เจ้าไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”
หมอมีหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อาจลุกลามกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรง เจินสือเหนียงที่มีวิญญาณของคนยุคปัจจุบันไม่อาจทำผิดต่อคุณธรรมในใจหาเงินจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ตอนเขียนสูตรยานั้นนางไม่ได้คิดหากำไร การที่ภรรยาหลี่ฉีเป็นฝ่ายเสนอว่าจะแบ่งกำไรให้ครึ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายและน่ายินดี ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเงินทุนและกำลังขาดแคลนเงิน สูตรยานางมี แต่หากมอบให้คนที่ไม่รู้จักคุณค่าย่อมไม่ต่างจากเศษขยะ
ทว่าไม่อยากหาเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมให้ผู้อื่นวางแผนหลอกลวง เห็นภรรยาหลี่ฉีเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เจินสือเหนียงจึงพยักหน้า “ทำให้สะใภ้หลี่คิดมากแล้ว”
เห็นนางพยักหน้าในที่สุด ภรรยาหลี่ฉีถึงได้โล่งอก
“ท่านแม่ ท่านแม่…” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่วิ่งเข้ามาพร้อมกัน “แม่ไก่ออกไข่อีกแล้ว!” เจี่ยนเหวินชูไข่ไก่ในมือให้เจินสือเหนียงดู
เจี่ยนอู่ไม่ยอมแพ้ ชูมืออ้วนป้อมเช่นกัน “ข้าเป็นคนสับอาหารไก่” เมื่อวานชิวจวี๋เด็ดก้านผักกาดเน่าออกมา หากจะโยนทิ้งก็น่าเสียดาย เจินสือเหนียงจึงให้เอาไปสับและผสมกับเปลือกข้าวไว้เลี้ยงไก่ เห็นว่าน่าสนุก เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงแย่งกันทำ
ทั้งสองพูดจบ เห็นภรรยาหลี่ฉีนั่งอยู่ข้างๆ จึงร้องเรียกเสียงใส “ท่านป้าหลี่!”
ภรรยาหลี่ฉียิ้มพยักหน้า “เหวินเกอ อู่เกอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
เจี่ยนอู่วิ่งไปข้างกายมารดา “แม่ไก่กินอิ่มแล้วออกไข่!”
เจินสือเหนียงมองใบหน้าแดงเรื่อของลูกชายแล้วชวนให้หัวใจละลาย ก้มตัวหอมแก้มเจี่ยนอู่ “อู่เกอเก่งขึ้นทุกวัน รู้จักสับอาหารไก่ให้แม่ด้วย”
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าเก็บไข่ไก่ได้!” เห็นท่านแม่ชมแต่น้องชาย เจี่ยนเหวินร้อนใจจนหน้าแดง
“เหวินเกอของแม่ก็เก่งเหมือนกัน…” เจินสือเหนียงหอมแก้มเขาด้วย “เอาไข่ไก่ไปเก็บแล้วนับว่าได้เท่าไรแล้ว” แม้ให้เด็กถือไข่ไก่จะแตกง่าย แต่เจินสือเหนียงยืนกรานให้พวกเขานับไข่ไก่ทุกวัน ฝึกทักษะการนับเลขของพวกเขา
“เมื่อวานห้าสิบแปด บวกฟองนี้เข้าไปเป็นห้าสิบเก้า ยังขาดอีก…” เจี่ยนเหวินหักนิ้วนับ
“ท่านแม่จะเก็บไข่ไก่ให้อาสี่เชวี่ยร้อยฟอง ยังขาดอีกห้าสิบเอ็ดฟอง” เจี่ยนอู่แย่งตอบ
“ไม่ใช่ ขาดสี่สิบเอ็ดฟอง!” เจี่ยนเหวินแก้
“ห้าสิบเอ็ด!”
“สี่สิบเอ็ด!”
ภรรยาหลี่ฉีนับเลขไม่เป็น ไม่รู้ใครถูกใครผิด ได้แต่มองทั้งสองแล้วหัวเราะ
เห็นเจี่ยนอู่ผิดแล้วไม่ยอมแก้ เจี่ยนเหวินยกมือขึ้นทำท่าจะตี หางตาเหลือบเห็นป้าหลี่พลันนึกได้ว่า ท่านแม่เคยบอกว่าหากครอบครัวไม่ปรองดองจะถูกคนนอกรังแก ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นพี่น้องต้องรักใคร่กัน มือจึงค้างอยู่กลางอากาศขณะหันไปมองท่านแม่
เจี่ยนอู่หันไปมองท่านแม่เช่นกัน
เจินสือเหนียงดันตัวเจี่ยนเหวิน “ไปเอาถั่วเหลืองมาหนึ่งกำแล้วลองนับดูว่าขาดอีกเท่าไรกันแน่”
เจี่ยนเหวินรับคำ ดึงเจี่ยนอู่วิ่งออกไปข้างนอก
“ลูกสองคนของเจ้าว่านอนสอนง่ายจริงๆ” เห็นเหวินเกอ อู่เกอเชื่อฟังอย่างนี้แล้ว ภรรยาหลี่ฉีนึกอิจฉาจากใจจริง “ไม่เหมือนชุนเกอที่บ้านข้า วันๆ เรียกร้องจะเอานั่นเอานี่ พอพูดถึงเรื่องเรียนก็เซื่องซึม” ชุนเกอลูกชายคนเล็กของหลี่ฉีปีนี้อายุแปดขวบ เข้าเรียนในสถานศึกษาวัยเยาว์สองปีแล้วยังนับเลขไม่เป็น
“ชุนเกอโตแล้ว เหวินเกอ อู่เกอยังเล็ก โตแล้วก็ย่อมเรียกร้องเช่นกัน” เจินสือเหนียงยิ้ม
“เหวินเกอ อู่เกอผิวพรรณขาวเนียนเช่นนี้ พ่อของพวกเขาคงจะหล่อเหลามากกระมัง” เจินสือเหนียงไม่เคยเอ่ยถึง ภรรยาหลี่ฉีนึกสงสัยมาตลอดว่าสามีของนางตายไปแล้วหรืออย่างไรกันแน่
หากตายแล้ว ไฉนไม่เคยเห็นนางสวมชุดไว้ทุกข์
หากยังอยู่ ไฉนหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยมาหานางเลย
หากหย่ากัน เขาจะตัดใจทอดทิ้งลูกชายสองคนที่น่ารักขนาดนี้โดยไม่ไยดีได้อย่างไร อีกทั้งมีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ ภรรยาหลี่ฉียังไม่เคยเห็นสตรีบ้านไหนหย่ากับสามีแล้วยังพาลูกออกมาด้วยได้
ย่อมต้องหล่อเหลาแน่นอน!
คิดถึงครั้งแรกที่เจอเสิ่นจงชิ่งในร้านยาและนางหัวใจเต้นแรง เจินสือเหนียงยิ้มขื่นในใจ เงยหน้ามองภรรยาหลี่ฉีและเอ่ยว่า “สะใภ้หลี่อยู่เมืองนี้มานาน มีหมอตำแยดีๆ แนะนำให้ข้าบ้างหรือไม่ อีกสามสี่เดือนสี่เชวี่ยก็จะคลอดแล้ว”
เห็นนางไม่อยากคุยเรื่องนี้ ภรรยาหลี่ฉีจึงไม่ถามมากและก้มหน้าครุ่นคิด “หากจะพูดถึงฝีมือต้องยกให้ยายหลี่ที่รับใช้อยู่ในอารามชีทางใต้ของเมือง นางทำคลอดมาสามสิบกว่าปี เด็กที่ผ่านมือนางน้อยรายที่จะตาย” จู่ๆ นางก็เงยหน้าพรวด “วิชาแพทย์ของแม่นางเจี่ยน…”
เจินสือเหนียงส่ายหน้า “ข้าทำคลอดได้ แต่กลัวร่างกายจะไม่เอาไหน ถึงเวลาหากข้าเป็นอะไรจะทำให้นางพลอยเดือดร้อนไปด้วย หาคนคอยเฝ้าดูอยู่ด้านข้างอีกคนย่อมปลอดภัยกว่า”
“ก็ใช่…” ภรรยาหลี่ฉีผงกศีรษะ “เรื่องคลอดลูกหาใช่เรื่องเล็ก เป็นประตูผีของผู้หญิงเราก็ว่าได้ หากเจอที่คลอดยาก หนึ่งวันก็มี สามวันก็มี ร่างกายเจ้าคงทนไม่ไหวจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ” เจินสือเหนียงถอนหายใจ “ตอนข้าคลอดเหวินเกอ อู่เกอทรมานอยู่สามวันสี่คืน ข้าคิดว่าจะต้องตายเสียแล้ว”
“ตอนนั้นข้ายังไม่รู้จักเจ้า ได้ยินคนบอกว่าตอนนั้นคิดว่าเจ้าคงไม่รอดแล้ว” ภรรยาหลี่ฉีถอนใจตาม “นี่เรียกว่าสวรรค์มีตา คนทำดีย่อมได้ดี เจ้าผ่านเคราะห์หนักมาได้ย่อมพบกับความสุข”
ไม่รู้เหตุใดฟังคำพูดนี้แล้ว เจินสือเหนียงพลันคิดถึงคำพูดของเสิ่นจงชิ่งที่ด่านางในคืนนั้น สวรรค์ช่างไร้ตาจริงๆ ทั้งที่หมดลมแล้ว ยังจะให้เจ้าฟื้นขึ้นมาอีก…คงเป็นเพราะแม้แต่พญายมยังไม่อยากรับสตรีที่ชั่วร้ายเยี่ยงเจ้าไว้!
นางผงะโดยไม่รู้ตัว
ภรรยาหลี่ฉีเห็นเจินสือเหนียงสีหน้าเคร่งขรึม นางพลันนึกขึ้นได้ว่าครึ่งเดือนก่อนเจินสือเหนียงสลบไสลไม่ตื่น เฝิงสี่ตรวจดูแล้วกลับมากระซิบบอกนางว่า เจินสือเหนียงอยู่ได้อีกไม่เกินหนึ่งปี คิดแล้วรู้สึกประดักประเดิด นางตบเสื้อผ้าพลางลุกขึ้น “ข้าออกมาได้สักพักแล้ว ที่บ้านยุ่งมาก” นางถามต่อ “สี่เชวี่ยจะคลอดเดือนไหนเจ้าบอกข้าด้วย ข้าจะหาเวลาไปบอกยายหลี่ไว้”
เจินสือเหนียงลุกตาม “ประมาณวันที่ยี่สิบเดือนสาม”
“ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ผลักประตูเข้ามา “พวกเรานับเสร็จแล้ว หนึ่งร้อยลบห้าสิบเก้าได้สี่สิบเอ็ด ท่านแม่ต้องหาไข่ไก่ให้อาสี่เชวี่ยเพิ่มอีกสี่สิบเอ็ดฟอง” เจี่ยนเหวินหันไปมองเจี่ยนอู่ “น้องชายนับผิด!”
เจี่ยนอู่หน้าแดงไม่พูดจา
เจินสือเหนียงดึงตัวเขา “รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าผิด”
“อืม…” เจี่ยนอู่ส่งเสียงเบาเหมือนยุง
“พูดดังๆ หน่อย”
“เมื่อกี้ข้าใจร้อน นับผิดไป” เจี่ยนอู่หน้าแดงก่ำ เชิดหน้าขึ้นไม่มองเจี่ยนเหวิน
“รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว!” เจินสือเหนียงพยักหน้า “ยอมรับความผิดพลาด อู่เกอของแม่กล้าหาญมาก แต่ต่อไปต้องจำไว้ว่า…” นางทำหน้าจริงจัง “เวลาผลลัพธ์ของตนเองไม่เหมือนคนอื่น ต้องคิดไว้ก่อนว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดหรือไม่”
“ข้ารู้แล้ว”
“ข้าก็รู้แล้ว!” เจี่ยนเหวินขานรับด้วย ตาเหลือบเห็นเขากวางอ่อนบนโต๊ะจึงวิ่งไปดูอย่างประหลาดใจ “นี่อะไรหรือ” เขาคว้ามาวางบนศีรษะ “โอ…โอ…หัวข้ามีเขางอกออกมาแล้ว ข้าเป็นราชาปีศาจกระทิง!” เขากระโดดโลดเต้นไปมาอย่างดีอกดีใจ
เห็นพี่ชายเล่นสนุก เจี่ยนอู่จึงวิ่งไปหยิบอีกอันกดลงบนศีรษะบ้าง “ข้าเป็นปีศาจเขาทอง!” เขาเลียนแบบเสียงปีศาจในเรื่องไซอิ๋ว ชี้พี่ชายพูดว่า “เจ้า รีบไปถ้ำยาหลงเชิญท่านแม่มากินเนื้อพระถังซำจั๋งด้วยกัน!”
“คุณชายน้อยของข้า ของนี้ซี้ซั้วเล่นไม่ได้นะ” ภรรยาหลี่ฉีเห็นแล้วรีบเข้าไปห้าม “อันนี้ไว้รักษาโรคให้แม่เจ้า มีราคาค่างวดสูง หาใช่ของเล่น” เขากวางอ่อนเช่นนี้ใช่ว่ามีเงินจะหาซื้อได้
“รักษาโรคให้ท่านแม่?” เจี่ยนเหวินเบิกตากว้าง “ท่านแม่กินสิ่งนี้แล้วจะหายดีหรือ”
เดิมทีไม่อยากหลอกเด็ก แต่พอคิดว่าตนเองหมดสติไปสองวัน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ต้องคิดมากแน่นอน เจินสือเหนียงจึงพยักหน้าอย่างคลุมเครือ
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะขึ้นเขาไปหาเขากวางอ่อนมาให้ท่านแม่” เจี่ยนอู่พูดด้วยท่าทีจริงจัง
“จะได้อย่างไรกัน” ภรรยาหลี่ฉีฟังแล้วสะดุ้งโหยง “พวกเจ้ายังสูงไม่ถึงโต๊ะด้วยซ้ำ จะไปล่าสัตว์ได้อย่างไร จะมิถูกกวางชนกระเด็นออกไปสามจั้งหรือ” นางพูดขู่ “ทั้งบนภูเขามีเสือที่จับเด็กกินโดยเฉพาะด้วย”
เจินสือเหนียงนิ่วหน้า
“ข้ามีง่ามไม้สำหรับยิง แม่นยำไม่เคยพลาด ใช้ยิงตาเสือโดยเฉพาะ!” เจี่ยนอู่หน้าซีดเล็กน้อย แต่ยังปากเก่ง “ข้าจะให้ลุงจางพาข้าไป!” เขาโม้ “ลุงจางไม่กลัวเสือ เขาเคยล่ากวางด้วย เนื้อกวางอร่อย!” จากนั้นหันไปถามเจินสือเหนียง “ท่านแม่ ข้าไปล่าเขากวางกับลุงจางได้หรือไม่”
“ได้สิ” เจินสือเหนียงยิ้มขยี้หัวเขา “แต่ต้องรอให้เจ้าง้างธนูที่บ้านของลุงจางได้เสียก่อน”
ลุงจางก็คือจางจื้อที่อยู่บ้านข้างๆ ที่บ้านมีธนูของบรรพบุรุษอยู่หนึ่งคัน แค่น้ำหนักก็ห้าสิบกว่าชั่งแล้ว หากง้างออกจนสุดต้องใช้กำลังแขนอย่างน้อยสองสามร้อยชั่ง เจินสือเหนียงยังไม่เคยได้ยินว่าใครในเมืองสามารถง้างธนูนั้นได้
เจี่ยนอู่แลบลิ้น “เมื่อวานลุงจางเช็ดธนูอยู่บ้าน ข้ากับพี่ชายช่วยกันสองคนยังยกไม่ขึ้นเลย!”
“เช่นนั้นเจ้าต้องรีบโต” เจินสือเหนียงยิ้มพลางจูงเขาเดินไปส่งภรรยาหลี่ฉีที่ประตู
เช้าวันต่อมา เจินสือเหนียงกับชิวจวี๋ยุ่งง่วนอยู่ในลานหน้าบ้าน
วิธีดองผักแบบท้องถิ่นทางตอนเหนือต้องใช้น้ำเดือดราดผักกาดทั้งต้นที่เด็ดเสร็จ จากนั้นเรียงไว้ในไหให้เป็นระเบียบทีละชั้นๆ โรยเกลือเม็ดใหญ่ลงไปและใช้หินก้อนใหญ่ทับ ปิดให้สนิท สองสามเดือนก็เอามากินได้ เนื่องจากต้มน้ำต้องใช้หม้อใบใหญ่ ด้วยเกรงว่าเตียงเตาจะร้อนเกินไปจนนอนไม่ได้ เจินสือเหนียงจึงก่อเตาชั่วคราวไว้ในลานบ้าน เพิ่งก่อเสร็จภรรยาหลี่ฉีก็รีบร้อนเข้ามา
เจินสือเหนียงยิ้มพลางยืดตัวขึ้น “เจ้าช่างกระตือรือร้นจริงๆ ข้าเพิ่งจะก่อเตาเสร็จ ยังไม่ได้ขัดหม้อเลย” นางสั่งชิวจวี๋ “ล้างหม้อเสร็จเติมน้ำแล้วก่อไฟได้เลย” จากนั้นเรียกภรรยาหลี่ฉีเข้าบ้าน “ผักจัดการเรียบร้อยแล้ว รอน้ำเดือดเท่านั้น สะใภ้หลี่เข้ามานั่งดื่มน้ำในบ้านสักพักก่อน”
ภรรยาหลี่ฉีหน้าแดง ยิ้มเก้อๆ “วันนี้ข้าต้องผิดคำพูดแล้วล่ะ เจ้ารอข้าหนึ่งวัน พรุ่งนี้ข้าจะมาช่วยเจ้าดองผักแน่” หันไปบอกชิวจวี๋ “เจ้าเองก็ไม่ต้องก่อไฟแล้ว รอไว้พรุ่งนี้เถอะ”
ชิวจวี๋หันมองเจินสือเหนียง
เจินสือเหนียงอึ้งไป ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องเกรงใจ มีงานก็ไปทำเถอะ ลงมือทำไปแล้ว ผักแค่นี้ข้ากับชิวจวี๋ค่อยๆ ทำวันหนึ่งก็เสร็จ”
“ไม่ได้เกรงใจเจ้า วันนี้เจ้าเองก็ไม่ว่างแล้วล่ะ”
“มีอะไรหรือ” เห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เจินสือเหนียงหัวใจสะดุด
ภรรยาหลี่ฉีเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะดึงเจินสือเหนียงเข้าไปในบ้าน “พวกเราเข้าไปคุยข้างใน” นางหันไปบอกชิวจวี๋ที่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมว่า “เจ้าเชื่อข้าเถอะ วันนี้อย่าทำเลย ไปพักผ่อนเถอะ”
“สะใภ้หลี่บอกแล้ว เจ้าก็อย่าก่อไฟเลย เก็บลานบ้านให้เรียบร้อย ให้อาหารไก่แล้วเข้าบ้านไปพักเสีย” เจินสือเหนียงสั่งชิวจวี๋
ชิวจวี๋รับคำและก้มหน้าเก็บข้าวของ
“มีเรื่องอะไรกันแน่” หลังให้ภรรยาหลี่ฉีนั่งลงแล้ว เจินสือเหนียงหันไปรินน้ำให้นาง
“คนจากสำนักแพทย์หลวงมา!” ภรรยาหลี่ฉีมีสีหน้าเคร่งเครียด
คนจากสำนักแพทย์หลวงมาที่นี่?
มือของเจินสือเหนียงที่กำลังรินน้ำสั่นเล็กน้อย
ในหกกรมไม่มีกรมใดที่ดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขโดยเฉพาะ งานด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนใหญ่จึงให้สำนักแพทย์หลวงเป็นผู้ดูแล หากมองจากมุมนี้ สำนักแพทย์หลวงย่อมเหมือนกระทรวงสาธารณสุขในยุคปัจจุบัน เป็นตัวแทนของทางการ หมอหลวงในสำนักล้วนมีตำแหน่งขุนนาง ชาวบ้านทั่วไปต่อให้มีเงินก็เชิญมารักษาโรคไม่ได้ บัดนี้จู่ๆ พวกเขากลับมาร้านยารุ่ยเสียง เพราะอะไรกัน
หรือเป็นเพราะเหตุการณ์โรคระบาดแพร่ไปถึงราชสำนักแล้ว นางส่ายหน้าด้วยความฉงนสงสัย แม้ที่นี่จะใกล้เมืองซั่งจิง ควบม้าเร็วไม่กี่ชั่วยามก็ถึง แต่ที่ว่าการอำเภอในเมืองไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย คำสั่งในสมัยก่อนมิได้ถ่ายทอดขึ้นไปทีละขั้นหรือ จะข้ามขั้นได้อย่างไร
เจินสือเหนียงว้าวุ่นใจ แต่สีหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยน นางหันกลับมายื่นน้ำให้ภรรยาหลี่ฉีและถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “มีใครมาบ้าง บอกหรือไม่ว่ามาทำอะไร”
“ผู้นำคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง แซ่เวิน มาถึงตั้งแต่เมื่อคืนและตรงไปบ้านหลิ่วหมาจื่อทันที” ภรรยาหลี่ฉีรับน้ำและวางไว้ข้างๆ “วันนี้คนของที่ว่าการอำเภอพาเขามาที่ร้านของข้า เขาบอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นไข้อึ่งอ่างจริง แต่หายดีแล้ว ทั้งยังขอสูตรยานั้นของเจ้าไปพิจารณาอยู่นาน สุดท้ายไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ให้ข้ามาเชิญเจ้าไปพบ” นางมองเจินสือเหนียง “พวกเขาพูดจาเกรงอกเกรงใจ ข้าเดาว่าคงไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไร เพียงแต่สูตรยา…ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นขุนนาง พวกเราเป็นแค่ร้านขายยาเล็กๆ ปฏิเสธเขาไม่ได้” สูตรยานี้หากถูกสำนักแพทย์หลวงเผยแพร่ออกไป นางย่อมหากำไรไม่ได้อีก ด้วยเหตุนี้เองภรรยาหลี่ฉีจึงกระวนกระวายใจแต่เช้า
เจินสือเหนียงกลับไม่ได้คิดเรื่องนี้ หมอหลวงไปดูหลิ่วเอ้อร์กุ้ยก่อน แสดงว่าพวกเขามาด้วยเรื่องนี้ แม้นางเองจะมั่นใจว่าโรคนี้จะไม่ลุกลามเป็นโรคระบาด แต่มีคนของสำนักแพทย์หลวงคอยเฝ้าระวังย่อมเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่เมื่อรู้ถึงทางการ การที่นางรู้เรื่องแต่ไม่รายงานเช่นนี้จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องใหญ่ จะว่าเป็นเรื่องเล็กก็เป็นเรื่องเล็ก!
คนอาชีพเดียวกันมักเป็นศัตรูกัน พวกเขาจะใช้เหตุผลข้อนี้มาจับนางขังคุกหรือไม่
คิดได้ดังนี้ เจินสือเหนียงอยากจะปฏิเสธ แต่พอคำพูดมาถึงปากกลับกลืนลงไป นางเป็นเพียงหมอชาวบ้านตัวเล็กๆ รองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขมาเชิญนางไปพบ นางจะกล้าไม่ไปหรือ ในชั่วเวลาสั้นๆ ความคิดต่อสู้กันอยู่ในใจหลายหน
“อาโยวรีบเตรียมตัวแล้วไปกับข้าเถอะ” ภรรยาหลี่ฉีเห็นเจินสือเหนียงเงียบไป จึงกล่าวเร่งนาง “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางใหญ่ พวกเราล่วงเกินได้ที่ไหน อย่าให้ผู้อื่นรอนานเลย”
เจินสือเหนียงฉุกคิดได้ “สะใภ้หลี่รอสักครู่”
สะใภ้หลี่พูดถูก นางไม่มีสิทธิ์เลือก แม้ว่าไปแล้วอาจไม่ได้กลับมา แต่นี่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน ขอเพียงนางรับมืออย่างเหมาะสม ไม่แน่อาจใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับพวกหมอหลวงได้! หากสามารถส่งยาลูกกลอนในร้านยารุ่ยเสียงที่ขายไม่ออกเข้าไปในสำนักแพทย์หลวง บางทีนางอาจเปิดโรงผลิตยาได้
จะว่าเตรียมตัวก็ไม่มีอะไรให้เตรียมมากนัก เจินสือเหนียงเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าป่านสีเขียวอ่อนลายดอกขนาดเล็กที่ไม่มีรอยปะชุน รวบผมใหม่สักหน่อยและเกล้ามวยง่ายๆ ใช้ปิ่นไม้เสียบไว้ จากนั้นสวมหมวกสานติดผ้าโปร่งและเรียกภรรยาหลี่ฉีที่นั่งเหม่อดื่มน้ำอยู่ “ไปกันเถอะ”
ภรรยาหลี่ฉีลุกขึ้นมองหมวกสานที่นางสวมอยู่และเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวตอนพบหมอหลวงเวิน แม่นางเจี่ยนอย่าลืมถอดหมวกสานออกมาด้วย”
เจินสือเหนียงชะงัก คำพูดนี้กล่าวถูกต้อง ปิดหน้ารักษาคนไข้ก็แล้วไปเถอะ แต่เข้าพบรองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเช่นนี้ออกจะไม่ให้ความเคารพ กระนั้นดูเหมือนตำแหน่งไม่สูงก็จริง แต่โดยทั่วไปหมอหลวงมักจะเข้าออกคฤหาสน์ของขุนนางใหญ่ในเมืองซั่งจิงอยู่บ่อยๆ พวกเขาจะจำนางได้หรือไม่
“คุณหนู…” ขณะที่นางกำลังลังเล สี่เชวี่ยที่ได้ข่าวก็ผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน
เจินสือเหนียงเห็นสี่เชวี่ยแล้วพลันเกิดความคิด หันไปบอกภรรยาหลี่ฉีว่า “สะใภ้หลี่รอสักครู่” นางดึงสี่เชวี่ยเข้าไปในเรือนตะวันตก
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” สี่เชวี่ยถามทันทีที่เข้ามาในห้อง
“คนจากสำนักแพทย์หลวงมา”
“คนจากสำนักแพทย์หลวงมา?” สี่เชวี่ยตระหนก “เพราะข่าวลือข้างนอกหรือเจ้าคะ” ข่าวลือเรื่องเมืองอู๋ถงเกิดโรคระบาดแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วในชั่วเวลาสองวัน
“น่าจะใช่กระมัง” เจินสือเหนียงไม่ปฏิเสธ “คนของที่ว่าการอำเภอก็อยู่ด้วย บอกว่าต้องการเชิญข้าไป”
ทางการมาตรวจสอบโรคระบาดจริงๆ ด้วย เช่นนั้นคุณหนูย่อมเป็นคนเดียวที่รู้สถานการณ์ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แม้แต่ครอบครัวหลี่ฉีเองยังสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ขอเพียงยืนกรานว่าเจินสือเหนียงไม่ได้บอกว่านี่เป็นโรคระบาด เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น สุดท้ายความผิดทั้งหมดย่อมตกอยู่กับเจินสือเหนียง ดีไม่ดีนางอาจตกเป็นแพะรับบาปของทางการ
สี่เชวี่ยเติบโตในจวนเสนาบดีแต่เด็ก คุ้นเคยกับแผนการชั่วร้ายในแวดวงขุนนางเป็นอย่างดี ยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่น นางคว้าตัวเจินสือเหนียงไว้ “คุณหนูจะไปไม่ได้เด็ดขาด!” นิ้วมือทั้งห้าของนางสั่นระริก
เจินสือเหนียงเองก็ไม่อยากไป แต่นี่หาใช่เรื่องที่นางกำหนดได้ นางเพียงทอดถอนใจ ไม่อยากเสียเวลาถกเถียงเรื่องนี้ มองสี่เชวี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องในอดีตข้าลืมเกือบหมดแล้ว เจ้าลองคิดให้ดี สมัยก่อนตอนอยู่จวนเสนาบดี เวลาไม่สบายล้วนให้หมอหลวงรักษาใช่หรือไม่”
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นนายท่านเป็นเสนาบดีกรมอากรที่ได้รับความโปรดปรานอย่างสูง อย่าว่าแต่คุณหนูเลย แม้แต่บ่าวไม่สบายยังให้หมอหลวงเป็นคนตรวจ” แม้จะเป็นสาวใช้ แต่ตอนอยู่จวนเสนาบดี นางสูงส่งยิ่งกว่าคุณหนูตระกูลทั่วๆ ไปเสียอีก สี่เชวี่ยถอนใจเบาๆ เมื่อคิดถึงความรุ่งโรจน์ในอดีต
ระบบขุนนางของต้าโจวแบ่งเป็นสามฝ่ายหกกรม จากองค์ฮ่องเต้แบ่งเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายราชเลขา ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตรวจสอบ ฝ่ายราชเลขารับผิดชอบร่างคำสั่งบริหาร ฝ่ายตรวจสอบทำหน้าที่ตรวจสอบคำสั่ง ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยมีหกกรมที่อยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายบริหารอีกที ได้แก่ กรมปกครอง กรมอากร กรมพิธี กรมทหาร กรมอาญา และกรมโยธา
หน้าที่รับผิดชอบของทั้งหกกรมไม่เหมือนกัน กรมปกครองทำหน้าที่คัดเลือก แต่งตั้ง และถอดถอนขุนนาง ว่ากันว่าเป็นหัวหน้าของกรมทั้งหก กรมอากรรับผิดชอบสำมะโนประชากรและภาษี คล้ายกระทรวงกิจการพลเรือนในยุคปัจจุบัน เป็นผู้กุมอำนาจทางการเงินของชาติและเป็นกรมที่ได้รับค่าสินบนเยอะที่สุดในหกกรม ในความเป็นจริงแล้วอยู่เหนือกรมปกครองด้วยซ้ำ คิดดูแล้วบิดาของเจินสือเหนียงเป็นถึงเสนาบดีกรมอากร หมอหลวงพวกนั้นมีใครบ้างที่ไม่อยากประจบ
“แล้วเจ้าจำได้หรือไม่ว่าหมอหลวงที่มาตรวจโรคให้ข้าบ่อยๆ แซ่อะไร”
สี่เชวี่ยครุ่นคิด “แซ่เวินเจ้าค่ะ…”
“เขาก็คือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง!” เจินสือเหนียงสั่นสะท้าน เมื่อครู่ภรรยาหลี่ฉีบอกแล้วว่าคนที่มาจากสำนักแพทย์หลวงแซ่เวิน
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้า “เขาเพิ่งอายุยี่สิบกว่า แค่วิชาแพทย์ล้ำเลิศก็เท่านั้น ได้รับ…” น้ำเสียงพลันหยุดชะงัก “ผ่านมาหลายปีแล้ว วิชาแพทย์ของเขาสูงส่งถึงเพียงนั้น ไม่แน่อาจได้เลื่อนขั้น…หรือว่าคนที่มาจะเป็นเขา” นางคว้าตัวเจินสือเหนียงไว้ “คุณหนู เขารู้จักท่าน!”
ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน ปกติเวลาหมอหลวงไปตรวจโรคให้พระญาติฝ่ายหญิงหรือสตรีที่เป็นชนชั้นสูงล้วนต้องมีม่านกั้น น่าเสียดายที่คุณหนูของนางซุกซนเกินไป เห็นหมอหลวงเวินอายุน้อยๆ แต่กลับปั้นหน้าเคร่งขรึม จึงจงใจกลั่นแกล้งอีกฝ่าย เชื่อว่าชาตินี้ต่อให้คุณหนูของนางกลายเป็นเถ้าถ่าน หมอหลวงเวินผู้นั้นก็ยังจำได้! หากอีกฝ่ายจำคุณหนูได้ เรื่องนี้ย่อมปิดเสิ่นจงชิ่งไม่ได้อีก ครั้นคิดว่าตอนนี้เสิ่นจงชิ่งกำลังคิดทุกวิถีทางในการสลัดคุณหนูออก สี่เชวี่ยยิ่งไม่กล้าคิดต่อ
“เมื่อกี้ตอนสะใภ้หลี่บอกให้ถอดผ้าคลุมหน้าทำให้ข้านึกขึ้นได้ ข้าห่วงเรื่องนี้นี่แหละ!” เจินสือเหนียงสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” สี่เชวี่ยหน้าซีด
“อย่างมากก็แค่ย้ายบ้านเท่านั้น” เพียงครู่เดียวเจินสือเหนียงก็สุขุม นางยิ้มหยันตนเอง “ท่านแม่ทัพต้องการไล่พวกเราออกไปอยู่แล้ว” นางก้าวเดินออกไปข้างนอก
ภรรยาหลี่ฉีที่ยืนคุยกับชิวจวี๋ในลานบ้านเห็นเจินสือเหนียงออกมาก็รีบปราดเข้ามา “รีบไปเถอะ สายมากแล้ว”
“ก่อนหน้านี้พี่สาวแม่สามีของสี่เชวี่ยเดินทางจากฮุ่ยอันมาเยี่ยมเยียน เมื่อคืนเป็นไข้หวัด” เจินสือเหนียงกล่าวอย่างรู้สึกผิด “เกรงว่าจะติดโรคระบาด นางรบเร้าให้สี่เชวี่ยมาขอร้องข้า สะใภ้หลี่ช่วยบอกหมอหลวงเวินทีว่าข้าออกไปตรวจโรคกะทันหัน”
“เจ้า…” ภรรยาหลี่ฉีอึกอัก “เจ้าไม่ไปหรือ”
จะได้อย่างไรกัน บอกให้นางมาเชิญก็จริง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดแบบสุภาพเท่านั้น อีกฝ่ายเป็นถึงขุนนางใหญ่เชียวนะ! ใหญ่กว่านายอำเภอในเมืองอู๋ถงเสียอีก
“สี่เชวี่ยติดตามข้ามาหลายปี ถึงอย่างไรข้าก็ต้องให้หน้านาง” เจินสือเหนียงถอนหายใจอย่างลำบากใจเล็กน้อย
“ถึงอย่างไรก็ใช้เวลาไม่มากหรอก” ด้วยไม่กล้าล่วงเกินสำนักแพทย์หลวง ภรรยาหลี่ฉีจึงเกลี้ยกล่อมสุดกำลัง “พี่หลี่ของเจ้าบอกว่าหมอหลวงเวินผู้นั้นชื่นชมเจ้ามาก คงอยากหารือกับเจ้าเรื่องตำรับยา ที่นี่ไม่ได้เกิดโรคระบาด ถึงทางการจะอยากเอาเรื่องก็ลงโทษเจ้าไม่ได้” ดวงตาเปล่งประกาย “มีโอกาสผูกสัมพันธ์กับสำนักแพทย์หลวง นี่เป็นโอกาสที่หายากยิ่ง อาโยวอย่าได้พลาดเป็นอันขาด”
เจินสือเหนียงถอนหายใจอีกครั้ง “สะใภ้หลี่หวังดีต่อข้า ข้ารู้ แต่โรคชนิดนี้ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้จริงๆ”
ด้วยรู้ว่าเจินสือเหนียงเป็นคนพูดหนึ่งไม่เป็นสอง เห็นนางตัดสินใจแล้ว ภรรยาหลี่ฉีจึงถอนหายใจ “เช่นนั้น…ข้าขอตัวก่อน” เดินไปสองก้าวก็หันกลับมา “หากหมอหลวงเวินดึงดันให้ข้าพาเขาไปพบเจ้าที่บ้านสี่เชวี่ยจะทำอย่างไรล่ะ”
“เอ่อ…” เจินสือเหนียงตระหนก รีบตอบว่า “สะใภ้หลี่บอกเขาไปว่าข้าถูกคนจากเมืองข้างเคียงเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าดีกว่า อีกสามถึงห้าวันจึงจะกลับมา”
ข้างนอกกำลังลือกันอย่างครึกโครม หากบอกว่าพี่สาวของแม่สามีสี่เชวี่ยเป็นไข้หวัด เกรงจะติดโรคระบาด หมอหลวงเวินต้องยืนกรานไปดูแน่ ทำให้ปัญหาเพิ่มขึ้นอีก คิดดูแล้วก็ได้แต่จัดการแบบนี้ ภรรยาหลี่ฉีจึงพยักหน้า
เห็นภรรยาหลี่ฉีจากไปแล้ว เจินสือเหนียงครุ่นคิด ที่ว่าการอำเภอในเมืองอู๋ถงไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย รองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงกลับเดินทางมาที่นี่กะทันหัน เห็นได้ชัดว่ามีคนรายงานเรื่องนี้ไปยังเบื้องบนโดยข้ามหน่วยงานท้องถิ่นไป
ใครกัน ใครที่มีความสามารถและร้ายกาจขนาดนี้ ตระกูลใหญ่ในเมืองไม่กี่ตระกูลผุดขึ้นในหัว เจินสือเหนียงส่ายหน้า ถึงอย่างไรถิ่นฐานของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ แม้จะหวาดกลัวกับข่าวลือ แต่ไม่มีทางข้ามที่ว่าการอำเภอในเมืองอู๋ถงและเอาเรื่องไปรายงานใต้เบื้องพระบาทของโอรสสวรรค์ เช่นนั้นคนผู้นี้จะเป็นใครไปได้ นางค่อยๆ หันกลับมา ร่างกายชะงักทันใด
เป็นเขา! คนที่โพล่งออกมาเมื่อวันก่อนว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด
คิดถึงอาภรณ์หรูหรา การแต่งกายไม่ธรรมดาของเขา เจินสือเหนียงยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง นางเงยหน้าสั่งชิวจวี๋ “เจ้าไปสืบดูที่ร้านยารุ่ยเสียงหน่อยว่าผู้ชายที่บอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาดในวันนั้นคือใคร จากไปเมื่อไรและมาที่นี่อีกหรือไม่”
ชิวจวี๋กลับมาอย่างรวดเร็ว “เขาจากไปเช้าวันที่สอง วันนี้กลับมาพร้อมหมอหลวงอีกครั้ง ฝูเป่าบอกว่าใต้เท้าหม่ากับหมอหลวงเวินต่างเกรงใจเขามาก” ใต้เท้าหม่าเป็นนายอำเภอในเมืองอู๋ถง ชิวจวี๋เล่าพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เมื่อกี้ป้าหลี่กลับไปบอกว่าท่านไปตรวจโรคที่เมืองอื่น อีกสามถึงห้าวันจึงจะกลับมา ใต้เท้าหม่าหน้าบึ้งทันที บอกว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ของทางการไปจับตัวท่านกลับมา แต่ได้เขาร้องห้ามไว้”
เป็นเขาจริงๆ ด้วย! แล้วเขาเป็นใคร
วันนั้นนางบอกแล้วว่าจะไม่เกิดโรคระบาด ไฉนเขายังกัดไม่ปล่อย ถึงกับพาหมอหลวงมาตรวจสอบ เจินสือเหนียงส่ายหน้าเหมือนต้องการสลัดความกลัดกลุ้มในใจออกไป สั่งให้ชิวจวี๋ลงกลอนประตูและพาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไปเล่นที่หลังบ้าน
เวลาพลบค่ำ ชิวจวี๋ไปสืบข่าวกลับมาอีกครั้ง “ทางการปิดป้ายประกาศสีแดงเพื่อปฏิเสธข่าวลือเรื่องโรคระบาด และบอกให้ทุกคนกินยาตามสูตรของท่านเพื่อป้องกันโรคได้”
ในเมื่อทางการปิดประกาศแล้ว อีกหน่อยหากเกิดโรคระบาดจริงก็ไม่เกี่ยวกับนาง เจินสือเหนียงเงยหน้ามองหิมะที่โปรยปรายลงมาพลางยิ้มน้อยๆ “หิมะตกแล้ว วันนี้พวกเราเชือดห่านกินดีกว่า”
“เย้ ได้กินเนื้อห่านแล้ว ได้กินเนื้อห่านแล้ว!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กระโดดโลดเต้นรอบตัวเจินสือเหนียงอย่างดีอกดีใจ “ข้าจะเอาขนห่านมาทำปีกนก!”
เช้าตรู่วันต่อมา ภรรยาหลี่ฉีมาดองผักตามสัญญา
“หมอหลวงเวินผู้นั้นสุภาพเรียบร้อย นิสัยดี ก่อนหน้านี้เคยไปดูตัว แต่ฝ่ายหญิงปฏิเสธ ประจวบเหมาะต้องมาไว้ทุกข์ให้ปู่อีกสามปี เรื่องแต่งงานจึงเลื่อนออกไป ตอนนี้จะสามสิบแล้ว ได้ยินว่าที่บ้านมีอนุอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น…” นางนั่งลวกผักกาดอยู่หน้าเตาชั่วคราวที่ก่อขึ้นพลางพูดเจื้อยแจ้ว
แม้รูปโฉมจะงดงาม แต่ถึงอย่างไรเจินสือเหนียงก็เป็นแม่ม่าย ทั้งยังมีลูกสองคนแล้ว ตามหลักย่อมไม่เหมาะสมคู่ควรกับขุนนางลำดับรองขั้นห้าอย่างรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง หากเป็นคนทั่วไป ภรรยาหลี่ฉีไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ แต่เห็นหมอหลวงเวินฟังเฝิงสี่เล่าถึงการรักษาโรคในอดีตของเจินสือเหนียงแล้วดวงตาฉายแววเลื่อมใส นางถึงคิดทำตัวเป็นแม่สื่อ เจินสือเหนียงมีพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ แม้หมอหลวงเวินจะอายุมากไปหน่อย แต่หากได้แต่งกับเขาก็นับว่าเจินสือเหนียงได้ครองคู่กับคนสูงส่ง ย่อมดีกว่าลำบากตรากตรำอยู่คนเดียวเป็นร้อยเท่า
ด้วยจับนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของภรรยาหลี่ฉีได้ สี่เชวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงมองเจินสือเหนียงอย่างไม่สบายใจ
เจินสือเหนียงเรียงผักกาดที่ลวกน้ำร้อนแล้วลงในไห ยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานผู้ชายคนนั้นก็มาด้วย สะใภ้หลี่ได้ถามหรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”
ภรรยาหลี่ฉีกำลังพูดอย่างออกรส คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ครู่ใหญ่จึงได้สติ “ผู้ชายคนไหน”
“คนที่บอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด”
“เขาน่ะหรือ…” ภรรยาหลี่ฉีนึกออกทันที “ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านกู้” นางขบคิด “ดูท่าทางคงมีฐานะไม่ธรรมดา แม้แต่หมอหลวงเวินยังเกรงอกเกรงใจเขา”
ท่านกู้? เจินสือเหนียงนิ่วหน้า นางไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน
นางจะถามต่อ แต่เห็นภรรยาหลี่ฉีพูดถึงหมอหลวงเวินอีกแล้ว จึงรีบสั่งให้ชิวจวี๋ไปหยิบเกลือและพูดว่า “เกลือต้องใช้เม็ดใหญ่ เรียงผักหนึ่งชั้นโรยเกลือหนึ่งชั้น” นางยิ้มพลางชวนคุยเรื่องอื่น
ภรรยาหลี่ฉีเห็นนางไม่สนใจสักนิดก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นดูว่าเจินสือเหนียงโรยเกลือลงในไหอย่างไร
หลายวันต่อจากนั้นในเมืองสงบสุข คนจากสำนักแพทย์หลวงไม่ได้มาหาอีก เจินสือเหนียงค่อยๆ ลืมเรื่องฐานะของท่านกู้ วันนี้เจินสือเหนียงกำลังสอนเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่คัดลายมืออยู่ในเรือนฝั่งตรงข้าม ภรรยาหลี่ฉีแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามา “การค้าใหญ่มาหาเจ้าแล้ว”
“ท่านป้าหลี่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่นั่งคัดลายมือมาเกือบหนึ่งชั่วยามจนทนแทบไม่ไหวแล้ว เห็นนางเดินเข้ามาจึงรีบวางพู่กันและเดินเข้าไปหา
“เหวินเกอ อู่เกอน่ารักจริงๆ” ภรรยาหลี่ฉียิ้มพลางหยิบลูกอมหลากสีออกมาให้ “เอ้า กินขนม”
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ตาเป็นประกายเมื่อเห็นลูกอม เจี่ยนอู่ยื่นมือไปจะรับ แต่ถูกเจี่ยนเหวินขวางไว้ เขาพยายามกลืนน้ำลายและหันไปมองเจินสือเหนียง
“ท่านแม่…” เจี่ยนอู่ออดอ้อน
“เจ้าตามใจพวกเขาอยู่เรื่อย” เจินสือเหนียงยิ้มและเข้าไปดึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ออกมา “เริ่มต้นทำอะไรแล้วต้องทำให้เสร็จ คัดห้าตัวสุดท้ายเสร็จก่อนค่อยกิน”
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่มองลูกอมในมือภรรยาหลี่ฉีอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะกลับไปนั่งคัดลายมือที่โต๊ะอย่างว่าง่าย
“เด็กยังเล็ก เจ้าเข้มงวดเกินไปแล้ว” ภรรยาหลี่ฉีวางลูกอมไว้ในถาดบนโต๊ะ ก้มตัวมองเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่คัดลายมือ “จุ๊ๆ คัดได้สวยจริงๆ ยังไม่ทันเข้าเรียนก็คัดลายมือเก่งกว่าชุนเกอของข้าเสียแล้ว” คิดถึงลายมือน่าเกลียดของชุนเกอแล้ว ภรรยาหลี่ฉีถึงกับถอนใจติดๆ กัน
ด้วยร้อนใจอยากกินลูกอม เดิมทีเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จิตใจไม่อยู่กับตัว พอได้ยินคำพูดนี้แล้วพลันยืดอกตั้งใจคัด
เจินสือเหนียงดึงตัวภรรยาหลี่ฉีไปที่เรือนตะวันออก “มีเรื่องอะไรหรือ”
สี่เชวี่ยนั่งชุนเสื้อให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่บนเตียงเตา เห็นพวกนางเข้ามาก็กุลีกุจอรินน้ำให้ แต่ถูกเจินสือเหนียงห้ามไว้ “เจ้าอย่าลำบากเลย นั่งอยู่บนเตียงเตานั่นแหละ”
ภรรยาหลี่ฉีนั่งลงข้างสี่เชวี่ย “วันนี้ท่านกู้ผู้นั้นมาอีกแล้ว” เห็นสี่เชวี่ยชุนรูโหว่บนเสื้อผ้าเป็นรูปดอกไม้ นางอดเดาะลิ้นอย่างอิจฉามิได้ “แค่ชุนเสื้อยังใส่ใจขนาดนี้ ฝีมือเจ้านับเป็นที่หนึ่งในเมืองจริงๆ” จากนั้นเงยหน้าพูดต่อ “เขาบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเขาป่วยเป็นโรคประหลาดได้เกือบปีแล้ว หาหมอชื่อดังมากมายมารักษาก็ไม่หาย อยากเชิญเจ้าไปตรวจดูให้หน่อย ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ ค่ารักษามีให้เจ้าไม่น้อยแน่”
เจินสือเหนียงที่กำลังรินน้ำพลันชะงัก “ไปตรวจโรคที่บ้าน เขาเป็นใคร อาศัยอยู่ที่ไหน”
“บ้านเขาอยู่เมืองซั่งจิง บอกว่าเป็นหัวหน้าพ่อบ้านฝ่ายซื้อหาของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง”
เจินสือเหนียงตกใจเล็กน้อย “เขาเป็นบ่าวหรอกหรือ” นางส่งน้ำให้ภรรยาหลี่ฉีและนั่งลงตรงข้าม
“นั่นน่ะสิ พี่หลี่ฟังแล้วยังตกใจ” ภรรยาหลี่ฉีทอดถอนใจ “หลายวันก่อนเห็นท่าทีของหมอหลวงเวินกับใต้เท้าหม่าแล้ว ข้ายังคิดว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่ไหน ใครจะคิดว่าเป็นเพียงบ่าว แค่บ่าวยังมีคนเกรงใจขนาดนี้ เจ้านายจะต้องเป็นขุนนางใหญ่แน่!” นางจ้องเจินสือเหนียงตาเป็นประกาย “ตระกูลใหญ่แบบนี้ไม่พูดถึงค่ารักษา หากเจ้ารักษาโรคจนหายได้ แค่เงินรางวัลก็พอกินพอใช้ไปครึ่งปีแล้ว นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งทีเดียว”
เจินสือเหนียงขมวดคิ้ว “ไม่ได้บอกหรือว่าเจ้านายของเขาเป็นใคร”
โบราณว่าคนเฝ้าประตูจวนอัครเสนาบดีมีตำแหน่งเท่าขุนนางขั้นเจ็ด แค่บ่าวในบ้าน หมอหลวงเวินที่เป็นขุนนางลำดับรองขั้นห้าและใต้เท้าหม่านายอำเภอยังนอบน้อมถึงเพียงนี้ นั่นหมายความว่าเจ้านายของเขาต้องเป็นขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจมหาศาลแน่นอน เป็นขุนนางใหญ่ย่อมมีโอกาสที่จะไปมาหาสู่กับเสิ่นจงชิ่ง
“ไม่ได้บอก” ภรรยาหลี่ฉียิ้มอธิบาย “คนใหญ่คนโตพวกนี้เวลาไม่สบายมักเชิญหมอหลวงมารักษา พวกบ่าวแอบออกมาเสาะหาหมอชาวบ้าน ไหนเลยจะกล้าบอกชื่อจวนของตนเอง” นางปลอบใจ “เจ้าวางใจเถอะ ครั้งนี้ไม่ผิดพลาดแน่นอน”
เจินสือเหนียงยิ้ม “สะใภ้หลี่กล่าวถูกต้อง ตระกูลใหญ่เหล่านี้ล้วนไม่ขาดแคลนเงินทอง เพียงแต่…” นางเปลี่ยนเรื่อง “ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองซั่งจิงเป็นระยะทางนั่งรถม้าหนึ่งวัน แถมตอนนี้อากาศยังหนาวเหน็บ ด้วยสภาพร่างกายของข้า ต่อให้ไปถึงก็หมดแรงแล้ว อย่าว่าแต่ตรวจโรคให้ใครเลย ดีไม่ดีอาจไปล้มป่วยในบ้านผู้อื่น” นางถอนหายใจ “อีกอย่างมีเหวินเกอ อู่เกออยู่ ข้าหรือจะปลีกตัวไปไหนได้”
คิดดูแล้วก็จริง ร่างกายของเจินสือเหนียงทนรับความโขยกเขยกยาวนานเช่นนั้นไม่ไหว ภรรยาหลี่ฉีจับหัวเข่าทำท่าจะลุกขึ้น แต่พอคิดถึงก้อนเงินแวววาวที่พ่อบ้านกู้มอบให้นางก่อนจะเดินทางมาที่นี่ นางจึงเกลี้ยกล่อมอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ “เหวินเกอ อู่เกอพูดง่าย มีสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋อยู่ ข้ามาช่วยเจ้าดูแลลูกสองสามวันก็ได้” นางมองเจินสือเหนียง “ส่วนเรื่องสภาพร่างกายของเจ้า ข้าจะบอกกับเขาดีๆ ให้เขาจ้างรถม้านั่งสบายให้เจ้า ระหว่างทางก็ให้คอยดูแลเจ้า”
เจินสือเหนียงหัวเราะ “หากเจ้าไปพูดเช่นนี้ ผู้อื่นคงคิดว่าจะอัญเชิญบรรพบุรุษกลับไป” นางส่ายหน้า “ช่างเถอะ ร่างกายข้าไม่มีชะตาจะหาเงินแต่กำเนิดแล้ว เจ้าก็เห็น ก่อนหน้านี้เห็นว่าเออเจียวหาเงินได้ ข้าอยากจะเคี่ยวให้มากหน่อย สุดท้ายหมดสติไปถึงสองวัน แม้แต่เออเจียวหม้อนั้นยังเสียหายไปด้วย”
ฟังคำพูดนี้และมองใบหน้าซีดขาวราวกระดาษของเจินสือเหนียง ภรรยาหลี่ฉีถอนหายใจ
หลังส่งภรรยาหลี่ฉีกลับไปแล้ว สี่เชวี่ยหยิบเสื้อที่ยังชุนไม่เสร็จขึ้นมาอย่างเสียดาย “เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเอง ดันมาตั้งครรภ์ตอนนี้ หากบ่าวแข็งแรงดีจะต้องเดินทางไปเมืองซั่งจิงกับคุณหนูแน่” นางเติบโตในเมืองซั่งจิงตั้งแต่เด็ก หากนางไปด้วยต้องไม่เกิดเรื่องอะไรแน่ “ฟังจากที่สะใภ้หลี่พูดอย่างน้อยคงหาเงินได้ถึงสิบตำลึง หากโชคดีฤดูหนาวนี้ท่านจะได้ไม่ต้องหยุดยา”
“หากอยากไปจริง ข้าฝืนสังขารอย่างไรก็ต้องไปให้ได้” เจินสือเหนียงยื่นมือไปหยิบหนังสือที่อ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง “ข้าเกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นขุนนาง”
เป็นขุนนาง? สี่เชวี่ยผงะ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและโน้มตัวมาข้างหน้า “ท่านว่าจะเป็นคนจากจวนแม่ทัพมาหาหมอรักษาโรคหรือเปล่า”
เจินสือเหนียงอ่านหนังสือพลางถามอย่างไม่ใส่ใจ “บ้านท่านแม่ทัพมีฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่”
“คุณหนู!” สี่เชวี่ยแย่งหนังสือไปจากมือนาง
เจินสือเหนียงถึงพบว่าตนเอ่ยถามคำถามโง่งมออกไป นางยิ้มนั่งตัวตรง “ข้าลืมไปแล้วนี่นา เจ้าลองเล่ามาสิว่าบ้านเขามีใครอยู่บ้าง” คิดถึงละครแนวย้อนยุคที่เคยดูเมื่อชาติก่อนจึงถามว่า “มีเหล่าไท่จวิน* แม่สามีผู้ถือยศถืออย่างหรือไม่” คำถามนี้ทำเอาสี่เชวี่ยขำพรืด
ทุกคนกินอาหารกลางวันอย่างคึกคัก สี่เชวี่ยทำงานเย็บปักต่อ ชิวจวี๋พาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไปดักนกกระจอกหลังบ้านด้วยอ่างดิน เจินสือเหนียงขนหมากล้อมออกมาเล่นพลางหยอกล้อสี่เชวี่ยแบบไม่จริงจัง ภรรยาหลี่ฉีรีบร้อนเดินเข้ามาอีกครั้ง
“ไม่ว่าข้าพูดอย่างไร พ่อบ้านกู้ก็ไม่ยอมไป บอกว่าจะเชิญเจ้าไปให้ได้ ทั้งยังบอกให้เจ้าไม่ต้องห่วง เขาจะจ้างรถม้าสี่ล้อที่เอนนอนได้ให้เจ้านอนไป” ภรรยาหลี่ฉีหยิบเงินก้อนหนึ่งวางบนโต๊ะ “นี่เป็นค่ามัดจำ ขอเพียงเจ้ารับปาก ค่าเดินทางไปกลับเขาเหมาเอง ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ เงินสิบตำลึงนี้จะเป็นของเจ้า หากรักษาหายยังจะได้ค่ารักษาอีกยี่สิบตำลึงด้วย” นางมองเจินสือเหนียงด้วยแววตาเว้าวอน “ท่านหญิงคนดีของข้า ข้าว่าเขาอยากเชิญเจ้าไปรักษาด้วยความจริงใจ เจ้าเดินทางไปสักครั้งเถอะ เรื่องที่บ้านเจ้าวางใจได้ ข้าจะมาช่วยดูให้ทุกวัน”
สามสิบตำลึง! ท้องฟ้ามีฝนแดงตกลงมาจริงๆ
สี่เชวี่ยตาเป็นประกายทันใด แต่แล้วแววตาก็หม่นลง ถามภรรยาหลี่ฉีว่า “สะใภ้หลี่ได้ถามหรือไม่ว่าเจ้านายบ้านเขาเป็นใคร” หากเป็นเสิ่นจงชิ่ง ต่อให้ภูเขาทองทั้งลูกก็ไปไม่ได้
“ท่านหญิงคนดี พวกเราเป็นใคร แล้วเขาเป็นใคร เรื่องนี้จะถามส่งเดชได้อย่างไรเล่า”
เจินสือเหนียงหยิบเงินบนโต๊ะและส่งกลับไป “สะใภ้หลี่กลับไปเถอะ ต่อให้ไปจริงก็ใช่ว่าข้าจะสามารถรักษาโรคให้เจ้านายของเขาได้ ในเมืองหลิ่วหลินที่ห่างจากที่นี่ไปสามสิบลี้มีท่านหมอจงอยู่ ได้รับฉายาว่ามัจจุราชระทม เจ้าบอกให้เขาไปเชิญหมอท่านนั้นดู” น้ำเสียงราบเรียบเจือความยืนกรานหนักแน่น
ภรรยาหลี่ฉีลุกขึ้นอย่างเก้อๆ “มีอย่างที่ไหนปฏิเสธเงินที่ถูกส่งมาไปให้คนอื่น”
สี่เชวี่ยได้แต่มองภรรยาหลี่ฉีเอาเงินมัดจำกลับไป หัวใจกระตุก เงยหน้าอยากพูดอะไร เห็นเจินสือเหนียงก้มหน้าเรียงหมากเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางจึงถอนหายใจและก้มหน้าเย็บเสื้อผ้าต่อ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน พ่อบ้านกู้ไม่ได้มาอีก แม้แต่สี่เชวี่ยเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่นึกเสียดายเงินก้อนนั้นอีกและตั้งอกตั้งใจเตรียมโจ๊กล่าปา
“ตั้งแต่ทางการปิดประกาศ มีคนไปซื้อยาที่ร้านยารุ่ยเสียงไม่ขาดสาย ไม่รู้พวกเราจะได้ส่วนแบ่งสักเท่าไร” สี่เชวี่ยยกถั่วแขกแห้งหนึ่งกระจาดออกมานั่งแกะกับเจินสือเหนียงบนพื้น
“อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้สิบกว่าตำลึงนั่นแหละ” เจินสือเหนียงโยนเปลือกถั่วลงในกระบุง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบถั่วขึ้นมาอีกฝักและใช้ท้องนิ้วขยี้ “ชิวจวี๋บอกว่าเมื่อวานขายได้อีกยี่สิบเทียบ” นางเปลี่ยนเรื่อง “เทศกาลล่าปามีตลาดนัด ข้าอยากพาชิวจวี๋กับเหวินเกอ อู่เกอไปเดินเที่ยวสักหน่อย ถือโอกาสซื้อผ้าด้วย พวกเจ้าตัดเสื้อผ้าใหม่สักชุดเถอะ ปีนี้ลงมือตัดเร็วหน่อย ถึงสิ้นปีเจ้าจะได้ไม่ต้องร้อนใจหากทำไม่ทัน” เนื่องจากเป็นคนยุคปัจจุบัน ชาติก่อนนางซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปใส่ตลอด เจินสือเหนียงจึงไม่มีฝีมือด้านการเย็บปักเลย งานเย็บปักในบ้านเป็นหน้าที่ของสี่เชวี่ยทั้งหมด
“ช่างเถอะเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยที่แกะฝักถั่วอยู่หยุดชะงัก “บ่าวแก้เสื้อผ้าเก่าที่สะใภ้หลี่เอามาให้แล้ว ไม่มีรอยปะชุนสักที่ ใส่ฉลองปีใหม่ได้” นางพูดต่อ “สองปีที่ผ่านมาไม่ได้ตัดเสื้อใหม่ก็ยังฉลองปีใหม่ได้” แม้ปีนี้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เยอะ แต่ใครจะรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งจะไล่พวกนางออกจากบ้านบรรพบุรุษเมื่อไร อีกหน่อยยังมีเรื่องต้องใช้เงินอีกมาก
“เด็กๆ เฝ้ารอปีใหม่ก็เพราะอยากสนุกสนาน ข้ารับปากพวกเขาไว้แล้ว”
“คุณหนู…”
“เด็กโตแล้ว ไม่ใช่ทารกที่ยังแบเบาะ เจ้าให้กินอะไรก็กิน ให้สวมอะไรก็สวม ไม่รู้จักแยกแยะ” เจินสือเหนียงพูดพลางถอนหายใจ “ปีที่แล้วไม่ได้ตัดเสื้อใหม่ ข้ายังนึกเสียใจ เหวินเกอ อู่เกอออกไปเยี่ยมคารวะเพื่อนบ้านแค่วันที่หนึ่งวันเดียว วันที่สองก็ไม่ยอมออกไปเล่นอีก จะต้องเป็นเพราะเห็นบ้านอื่นสวมเสื้อผ้าใหม่แต่พวกเขาไม่มีและเสียใจแน่ แต่ไม่พูดออกมาเพราะกลัวข้าลำบากใจ เด็กยังเล็กถึงเพียงนี้ รอไว้พวกเขาโตขึ้นและย้อนคิดถึงอดีต จะได้มีความทรงจำที่ดี” พอคิดว่าไม่รู้อีกหน่อยจะมีโอกาสฉลองปีใหม่กับพวกเขาอีกหรือไม่ เจินสือเหนียงก็ขอบตาเปียกชื้น หากเป็นไปได้นางอยากทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ลูกๆ มีความสุขอย่างถึงที่สุด
“คุณหนู…” สี่เชวี่ยร้องเรียกอีกครั้ง รู้สึกเหมือนมีก้างปลาติดอยู่ในคอ จึงก้มหน้าออกแรงแกะฝักถั่วในมือ นานทีเดียวจึงเอ่ยอย่างหดหู่ว่า “เช่นนั้นตัดให้เหวินเกอ อู่เกอก็พอ ของบ่าวกับชิวจวี๋ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ”
“เด็กผู้หญิงยิ่งรักสวยรักงาม” เจินสือเหนียงโยนถั่วในมือลงในกระจาดและลุกขึ้นยืน “พอแล้วล่ะ ที่เหลือไว้ค่อยแกะ”
“ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ บ่าวจะแกะให้หมด” สี่เชวี่ยก้มหน้าบิดฝักถั่วในมือแรงๆ ราวกับว่าหากนางออกแรงให้มากพอ จะสามารถขจัดความยากจนในชีวิตออกไปได้
เจินสือเหนียงได้เพียงแต่ส่ายหน้าถอนหายใจ
ระหว่างนั้นเสียงแหลมสูงของภรรยาหลี่ฉีดังเข้ามา “รีบเปิดประตูเร็วเข้า มีคนเอาสินบนมาให้แล้ว”
พอเปิดประตู ลมหนาวเจือละอองหิมะก็พัดปะทะใบหน้า เจินสือเหนียงหนาวจนตัวสั่นทันที นางเห็นภรรยาหลี่ฉีถือกะละมังที่ปิดมาอย่างแน่นหนาก็ยื่นมือออกไปรับ “หิมะตกหนัก เจ้าไม่หลบหนาวอยู่ในบ้าน ยังจะยกอะไรมาอีก”
“นี่เป็นทางลม เจ้ารีบเข้าบ้านไป เดี๋ยวข้าถือเอง” ด้วยรู้ว่าเจินสือเหนียงกลัวหนาวเป็นที่สุด ภรรยาหลี่ฉีจึงเบี่ยงตัวหลบนางและยกกะละมังเข้าไปในบ้านเอง “ลูกเดือยกับถั่วลิสง เอามาเพิ่มในโจ๊กล่าปาของเจ้า ข้าเดาว่าสองอย่างนี้เจ้าต้องไม่มีแน่”
ลูกเดือยกับถั่วลิสงราคาแพงมาก ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อมากิน เจินสือเหนียงหัวเราะ “ข้ากำลังกลุ้มใจอยู่ว่ายังได้ไม่ครบแปดอย่าง”
“สะใภ้หลี่มาหรือ” สี่เชวี่ยเก็บความเศร้าโศกและเดินยิ้มออกมา มือยื่นออกไปปัดหิมะบนตัวนาง
พอวางกะละมังลง ภรรยาหลี่ฉีกวาดตามองไปเห็นกะละมังธัญพืชบนเตียงเตา จึงถอดถุงมือและหยิบขึ้นมาดู “เตรียมอะไรเอาไว้บ้างล่ะ”
“ข้าวสาร ข้าวฟ่าง พุทราแดง ถั่วเขียว เม็ดบัว…” สี่เชวี่ยหันไปชี้ถั่วแขกบนพื้นที่เพิ่งแกะจากฝัก “บวกถั่วแขกที่เพิ่งแกะก็ได้หกอย่างพอดี ชิวจวี๋เอาเม็ดบัวออกไปข้างนอกแลกกับธัญพืชอย่างอื่น” เปิดกะละมังที่ภรรยาหลี่ฉียกมา ข้างในเป็นลูกเดือยครึ่งกะละมังกับถั่วลิสงที่ใส่อยู่ในกะละมังใบเล็กอีกที เห็นถั่วลิสงสีชมพูพวกนั้นแล้ว สี่เชวี่ยตาเป็นประกาย “เหวินเกอ อู่เกอมีของดีกินอีกแล้ว!” คราวก่อนเหวินเกอ อู่เกอกินถั่วลิสงที่บ้านหลี่ฉีไปครั้งหนึ่ง กลับมาพูดถึงอยู่ครึ่งเดือน บอกว่าถั่วลิสงอร่อยกว่าเมล็ดแตงเสียอีก “หากรู้แต่แรกว่าท่านจะเอาของพวกนี้มาให้คงไม่สั่งให้ชิวจวี๋ออกไปข้างนอก”
“คราวนี้ครบแล้ว” ภรรยาหลี่ฉียิ้ม “รีบไปเรียกเด็กๆ กลับมาเถอะ หิมะตกหนักเช่นนี้ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
สี่เชวี่ยหันไปหยิบผ้าพันคอในตู้ เตรียมตัวจะออกไป
“เจ้าอยู่ในบ้านเถอะ” เจินสือเหนียงเหลือบมองหน้าท้องที่นูนเด่นขึ้นมาของสี่เชวี่ย “พวกเขาออกไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ใกล้จะกลับแล้วล่ะ” นางชี้ถั่วแขกที่เพิ่งแกะจากฝักและหันมาพูดกับภรรยาหลี่ฉี “ถั่วแขกที่ข้าปลูกปีนี้งามเป็นพิเศษ แต่ละเม็ดอวบอิ่มสมบูรณ์ สะใภ้หลี่จะเอากลับไปทำโจ๊กล่าปาบ้างหรือไม่”
“ข้าก็ขาดอยู่พอดี” ภรรยาหลี่ฉีผงกศีรษะ “เจ้าเอาเม็ดบัวให้ข้าหน่อยหนึ่งด้วย”
สี่เชวี่ยเทลูกเดือยกับถั่วลิสงที่ภรรยาหลี่ฉีเอามาใส่ลงกะละมังใบอื่นและหันไปเอาถั่วแขกกับเม็ดบัวให้นาง
“สะใภ้หลี่นั่งสิ” เจินสือเหนียงเลื่อนกะละมังใส่ธัญพืชเข้าไปด้านใน หันไปทำท่าจะรินน้ำ
“เจ้าอย่ายุ่งยากเลย ข้ามีเรื่องพูดอีกนิดหน่อยก็ไปแล้ว” ภรรยาหลี่ฉีกดมือนางไว้
เห็นอีกฝ่ายสีหน้าจริงจัง เจินสือเหนียงจึงหดมือกลับมา “เรื่องอะไรหรือ”
“เรื่องเมื่อคราวก่อนนั่นแหละ” ภรรยาหลี่ฉีถอนหายใจ “พ่อบ้านกู้มาอีกแล้ว คราวนี้ยืนกรานมาก บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเขาป่วยเป็นโรคประหลาดเมื่อปีที่แล้ว แรกเริ่มแค่ปวดหัวเท่านั้น คิดว่าเป็นไข้หวัด แต่หมอในสำนักแพทย์หลวงรักษาไม่หาย หาหมอชาวบ้านอีกหลายคนมารักษาอย่างต่อเนื่องก็ไม่หาย ตอนนี้ความจำของฮูหยินผู้เฒ่าถดถอยลงเรื่อยๆ อาการปวดหัวก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ใบหน้าเขียวคล้ำ แม้แต่ยาแก้ปวดที่หมอหลวงจ่ายให้ก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว วันๆ ร้องอยากจะให้คนเอาขวานมาผ่าหัวออกดูว่ามีอะไร เห็นท่าว่าคงอยู่ได้ไม่พ้นปีใหม่เสียแล้ว”
ปวดหัวเหมือนจะระเบิด ใบหน้าเขียวคล้ำ?
โรคอะไรนะ เจินสือเหนียงขมวดคิ้ว “ไม่ได้ให้หมอจงในเมืองหลิ่วหลินรักษาหรือ”
“เห็นบอกว่าเชิญมาตรวจตอนฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่หาสาเหตุไม่ได้ หมอจงตรวจเสร็จยังบอกว่าอวัยวะภายในของฮูหยินผู้เฒ่าปกติดีทุกอย่าง” ภรรยาหลี่ฉีส่ายหน้า “วันนั้นพ่อบ้านกู้เห็นฝีมือการรักษาของเจ้าแล้วกลับไปแนะนำกับเจ้านายของเขา พอเจ้านายเขาได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีก็ส่ายหน้า เกรงว่าอายุน้อยๆ อย่างเจ้าจะรู้จักแต่เอาหน้า ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา ปล่อยให้เมืองสำคัญที่อยู่ใกล้เมืองหลวงเกิดโรคระบาดยังไม่รู้ตัว ถึงได้ตั้งใจส่งหมอหลวงมาตรวจสอบ” นางเข้ามากระซิบข้างหูเจินสือเหนียงอย่างลึกลับ “พวกเราไม่รู้อะไร ได้ยินพ่อบ้านกู้บอกว่าห่างจากที่นี่ไปสามสิบลี้มีค่ายเฟิงกู่อยู่ ข้างในมีทหารประจำการอยู่หลายแสนนาย หากเกิดโรคระบาดจริงย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะเหตุนี้ราชสำนักถึงได้หวาดกลัว”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เจินสือเหนียงตระหนัก “เช่นนี้เจ้านายของเขาจะต้องเป็นขุนนางตำแหน่งสูงทีเดียวสิ”
“พ่อบ้านกู้ยอมรับแล้วว่าเจ้านายเขาเป็นขุนนางใหญ่” ภรรยาหลี่ฉีผงกศีรษะและพูดต่อเรื่องที่พูดค้างไว้ “หมอหลวงเวินได้ยินว่าเจ้าเคยรักษาโรคอะไรไปบ้างก่อนหน้านี้แล้วกลับไปแนะนำเจ้าอย่างกระตือรือร้น เจ้านายของเขาถึงส่งเขามาเชิญเจ้า พอกลับไปได้ยินว่าร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง เดิมทีเจ้านายเขาไม่คิดฝืนใจ แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าปวดหัวแทบเป็นแทบตายจนอยากเอาหัวโขกกำแพง เขาจึงไปหาหมอหลวงเวินคิดหาวิธี หมอหลวงเวินแนะนำเจ้าอีกครั้ง” ภรรยาหลี่ฉีมองเจินสือเหนียงอย่างจริงจัง “ข้าว่าเขามาขอร้องเจ้าอย่างจริงใจ เจ้าช่วยไปดูหน่อยเถอะ” นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “มนุษย์เราต่อให้มีอำนาจบารมีแค่ไหน แต่หากถูกโรครุมเร้าก็จำต้องค้อมเอวให้ผู้อื่น!”
เจินสือเหนียงถอนหายใจ “หิมะตกหนักเช่นนี้…”
“ท่านแม่ ท่านแม่!” ระหว่างพูด เสียงของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ดังมาจากข้างนอก “กินถังหูลู่!”
ได้ยินเสียงลูก เจินสือเหนียงกำลังจะลุกไปเปิดประตู ประตูข้างนอกก็พลันเปิดออกเสียก่อน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่วิ่งตึงๆ เข้ามาพร้อมไอเย็นเฉียบ ในมือถือถังหูลู่สองสามไม้ “ท่านแม่ ท่านแม่ กินถังหูลู่!” มือเล็กเต็มไปด้วยคราบน้ำตาล
“เหวินเกอ อู่เกอวิ่งช้าๆ หน่อย ระวังจะหกล้ม” ชิวจวี๋ยกกะละมังที่ปิดด้วยผ้าน้ำมันเดินตามเข้ามา ปิดประตูพลางร้องบอกเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่
“ท่านป้าหลี่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไหนเลยจะฟัง พอเข้ามาในบ้านได้ก็พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเจินสือเหนียง เห็นภรรยาหลี่ฉีแล้วหยุดชะงัก ทักทายคำหนึ่ง เจี่ยนเหวินมองถังหูลู่ในมือและยื่นออกไปด้วยความเสียดาย “ท่านป้าหลี่กินถังหูลู่หรือไม่” ภรรยาหลี่ฉีกินของพวกนี้ได้ที่ไหน ยิ้มตบแก้มที่แดงเรื่อเพราะความหนาวของเจี่ยนเหวินและบอกว่า “อู่เกอเป็นเด็กดี เจ้ากินเองเถอะ”
“ข้าคือเหวินเกอ!” เจี่ยนเหวินไม่พอใจที่ถูกทักผิดอีกแล้ว
พี่น้องสองคนหน้าตาคล้ายกัน อย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋เองบางครั้งยังเข้าใจผิด
“ความดีถูกผู้อื่นแย่งเอาไป เหวินเกอของพวกเราไม่พอใจแล้วสิ” เห็นภรรยาหลี่ฉีหน้าแดง เจินสือเหนียงจึงยิ้มไกล่เกลี่ย ทำเอาคนในบ้านหัวเราะ
มีแต่เด็กสองคนที่งุนงงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ กลอกตากลมโตไปมามองทุกคน ก่อนจะโผเข้าไปหาเจินสือเหนียงและแย่งกันส่งถังหูลู่ให้ “ท่านแม่กินถังหูลู่!”
เจินสือเหนียงยิ้มรับถังหูลู่ที่ทั้งสองส่งให้และให้สี่เชวี่ยถือไว้ จากนั้นช่วยพวกเขาถอดหมวก ถุงมือ และปัดหิมะบนตัวออก “ทำไมถึงซื้อมากมายขนาดนี้ล่ะ” ปากถามเหวินเกอ อู่เกอ แต่สายตากลับมองชิวจวี๋ที่เพิ่งเข้ามาในบ้าน ชิวจวี๋ตระหนี่กว่านางเสียอีก ต่อให้เหวินเกอ อู่เกอร้องจะกิน นางยอมซื้อหนึ่งไม้แบ่งให้พวกเขาก็นับว่ามากที่สุดสำหรับนางแล้ว
“ซื้อที่ไหนล่ะเจ้าคะ” ชิวจวี๋วางกะละมัง “สะใภ้บ้านสกุลหม่ากำลังทำถังหูลู่ เห็นพวกเราจึงให้มาคนละไม้ อู่เกอกำไว้ไม่ยอมกิน สะใภ้หม่าเลยถามว่าไม่อร่อยหรือ อู่เกอบอกว่าจะเก็บไว้ให้ท่านแม่ สะใภ้หม่าชมเปาะว่าเขาเป็นเด็กกตัญญู เลยยัดเยียดให้เอามาฝากท่านกับอาสี่เชวี่ยด้วย” ชิวจวี๋หน้าแดงเมื่อคิดว่าพอผู้อื่นให้ เจี่ยนอู่ก็ยื่นมือออกไปรับทันทีเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน “คุณหนูทำกุนเชียงอร่อยเป็นพิเศษ พรุ่งนี้บ่าวจะเอาส่วนหนึ่งไปให้สะใภ้หม่า” เสิ่นจงชิ่งเอาเนื้อหมูมาให้เยอะมาก ด้วยกินไม่หมดเจินสือเหนียงจึงเอามาสับทำเป็นกุนเชียงที่เก็บรักษาง่าย
เห็นชิวจวี๋หน้าแดง ไม่ต้องเดาสี่เชวี่ยก็รู้ถึงสถานการณ์กระอักกระอ่วนในตอนนั้น ด้วยเกรงว่าเจินสือเหนียงจะตำหนิอู่เกอ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “แลกได้อะไรกลับมาบ้าง”
“ได้แต่ถั่วแดง” ชิวจวี๋เปิดผ้าน้ำมันบนกะละมังให้เจินสือเหนียงดู “ทุกบ้านต่างเหมือนพวกเรา มีธัญพืชอยู่ไม่กี่อย่าง โชคดีที่ได้ถั่วแดงมาจากบ้านป้าอวี๋ ยังขาดอีกหนึ่งอย่าง สะใภ้หม่าบอกว่าใช้ผลเหอเถาแทนได้ คืนนี้บ่าวทุบเหอเถาดีกว่า เหวินเกอ อู่เกอชอบกินที่สุด”
“ไม่ต้องแล้ว สะใภ้หลี่เอาลูกเดือยกับถั่วลิสงมาให้” เจินสือเหนียงช่วยเหวินเกอ อู่เกอถอดรองเท้าและอุ้มทั้งสองขึ้นมาบนเตียงเตา ก่อนจะหันไปส่งรองเท้าที่เปียกชุ่มให้ชิวจวี๋ “เอาไปผึ่งไว้ข้างเตา” จากนั้นเอ่ยว่า “เลือกกุนเชียงไปให้นางส่วนหนึ่ง เอาให้สะใภ้หลี่สักสองสามเส้นด้วย”
ชิวจวี๋ขานรับและถือรองเท้าหมุนตัวจากไป
ภรรยาหลี่ฉีฟังแล้วหัวเราะคิก “ว่าแล้วเชียวเมื่อคืนข้าฝันดี” นางตะโกนไล่หลังชิวจวี๋ “คุณหนูของเจ้าฝีมือดี กินหมดไว้ทำใหม่ก็ได้ เจ้าอย่าเก็บไว้จนขึ้นราล่ะ หยิบให้ข้าหลายๆ เส้นหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะเอาเนื้อหมูมาให้ยี่สิบชั่ง”
เจินสือเหนียงยิ้มต่อว่า “มีแต่เจ้านี่แหละที่ไม่ขาดทุน เอาข้าวมาให้แค่หนึ่งกะละมัง เอาของกลับไปไม่พอ ยังคิดจะส่งเนื้อหมูมาให้ข้าทำอีก”
ภรรยาหลี่ฉีไม่อายเมื่อถูกจับได้ “ใครให้เจ้าทำอาหารอร่อยขนาดนี้เล่า” นางถอนหายใจ “เจ้าเสียที่ร่างกายไม่แข็งแรงนี่แหละ หาไม่ข้าอยากลงทุนเปิดร้านขายซาลาเปากับเจ้าจริงๆ ฝีมือยอดเยี่ยมอย่างเจ้า กิจการต้องรุ่งเรืองแน่!”
เปิดร้านขายซาลาเปา? เจินสือเหนียงนึกภาพตนเองยืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าแผงขายซาลาเปาแล้วอดขำไม่ได้ เสิ่นจงชิ่งเห็นภาพนี้เข้าจะกระอักเลือดหรือไม่
“ถังหูลู่!” เจินสือเหนียงกำลังจะหยอกเย้ากลับ เจี่ยนอู่ที่อยู่บนเตียงเตาเห็นถังหูลู่ในมือสี่เชวี่ยแล้วยื่นมือเล็กออกไปอย่างร้อนใจ
สี่เชวี่ยยิ้มยื่นถังหูลู่ให้เขา
“ท่านแม่กินถังหูลู่” มือรับมาหนึ่งไม้ เจี่ยนอู่รีบยื่นไปที่ปากเจินสือเหนียงทันที
เจินสือเหนียงกัดกินคำเล็ก เห็นเจี่ยนเหวินร้อนใจป้อนนางบ้างจึงส่ายหน้า “เย็นเกินไป ประเดี๋ยวแม่ค่อยกิน”
“อาสี่เชวี่ยกิน!” เจี่ยนอู่ยื่นถังหูลู่ให้สี่เชวี่ย
สี่เชวี่ยโมโหอาการเปรี้ยวปากของตนเองเหลือเกิน ตั้งแต่ตั้งครรภ์นางชอบกินเปรี้ยวเป็นพิเศษ พอเห็นถังหูลู่ก็น้ำลายหกแต่แรกแล้ว นางพยายามห้ามความอยากของตนเองและส่ายหน้า “ข้าไม่กิน อู่เกอกินเถอะ”
“อุตส่าห์เอากลับมาแล้ว เจ้ากินเถอะ!” ด้วยรู้ว่าสี่เชวี่ยชอบกินเปรี้ยว เจินสือเหนียงจึงรับมาส่งให้นาง “อย่าบ่มเพาะนิสัยเห็นแก่ตัวให้เด็ก” เห็นสี่เชวี่ยไม่รับจึงยิ้มว่า “เจ้าไม่ต้องคิดมาก คนท้องมักเปรี้ยวปากเป็นพิเศษ ตอนข้าท้องเหวินเกอ อู่เกอยังตะกละเหมือนแมว เห็นใครกินอะไรก็ว่าอร่อยไปหมด อยากจะเข้าไปแย่งด้วยซ้ำ”
“ใครตะกละเหมือนแมว” คิดว่าพวกเขาว่าตนเอง เจี่ยนเหวินเบิกตาถาม เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน
เจินสือเหนียงหันไปมอง เห็นเจี่ยนอู่เลียน้ำตาลบนถังหูลู่อย่างระมัดระวัง ใบหน้าเล็กแดงเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ มือเล็กอีกข้างกำถังหูลู่อีกไม้ไว้แน่น “ข้าถือไว้ให้ท่านแม่ก่อน ประเดี๋ยวท่านแม่มานั่งกินบนเตียงเตานะ จะได้ไม่หนาว”
เด็กออกไปขอสิ่งของจากคนอื่น นี่เท่ากับตบหน้านาง แต่นางตำหนิเจี่ยนอู่ไม่ลงจริงๆ เจี่ยนอู่ตะกละตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ตั้งแต่คราวก่อนที่นางหมดสติไปสองวัน เวลาเจี่ยนอู่ออกไปไหน มีคนให้ของเขาจะแอบเอากลับมาให้นางกิน ราวกับนางได้กินของพวกนั้นแล้วร่างกายจะแข็งแรงขึ้น
คนเมื่อยากจน ศักดิ์ศรีย่อมหดเล็กลงไปด้วย จะว่าไปแล้วเป็นเพราะที่บ้านไม่มีนั่นเอง! เจินสือเหนียงทอดถอนใจและหันไปหาภรรยาหลี่ฉี “พ่อบ้านกู้บอกหรือไม่ว่าเจ้านายเขาเป็นใคร”
พูดมาตั้งนาน พ่อบ้านกู้ยังรออยู่ที่บ้าน ภรรยาหลี่ฉีกำลังคิดว่าจะเอ่ยปากเรื่องนี้อย่างไรดี เห็นเจินสือเหนียงเป็นฝ่ายถาม ดวงตาพลันเปล่งประกาย นางเป็นฝ่ายถามก่อน แสดงว่ายอมใจอ่อนแล้ว!
“ข้าว่าแล้วว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้” ภรรยาหลี่ฉีระบายยิ้มทั่วหน้า “ครั้งก่อนที่เจ้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ข้าเดาว่าเพราะเจ้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายจึงไม่กล้าไป ข้าบอกเขาแล้ว เขาบอกว่าอยากพบเจ้าด้วยตนเอง” นั่นหมายความว่าต้องการบอกนางโดยตรง
เจินสือเหนียงก้มหน้าคิด “ก็ได้ ข้าไปพบเขาก่อนค่อยว่ากัน”
“คุณหนู…” ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่เสิ่นจงชิ่ง แต่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ออกไปนั่งรถม้า นางจะต้องหนาวจนตัวแข็ง! อีกทั้งเจินสือเหนียงยังกลัวหนาวเป็นพิเศษ เห็นนางรับปาก สี่เชวี่ยจึงร้องเรียกอย่างร้อนใจ พอเอ่ยปากก็ตระหนักถึงจุดประสงค์ของเจินสือเหนียง จึงเปลี่ยนคำพูดเป็น “หากคุณหนูตั้งใจจะไปต้องกลับมาบอกบ่าวก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะได้เตรียมของให้”
ภรรยาหลี่ฉีขำพรืด “สี่เชวี่ยวางใจเถอะ ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว ถึงจะไปก็ต้องเป็นพรุ่งนี้เช้า”
ด้วยรู้สึกว่าตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนเพราะดวงตามีน้ำรื้นอยู่ที่ขอบ สี่เชวี่ยไม่ตอบอะไร รีบหันหลังไปหยิบกะละมังที่ใส่ถั่วแขกกับเม็ดบัวเรียบร้อยแล้วส่งให้ภรรยาหลี่ฉี
หิมะโปรยปรายลงมาตลอดทั้งวัน ดูเหมือนปุยฝ้ายปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลมหนาวพัดปะทะใบหน้าสร้างความเจ็บปวดเหมือนมีดกรีด ยังไม่ถึงยามโหย่ว ถนนในเมืองซั่งจิงก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว คนเฝ้าประตูเมืองถูมือหลบหนาวอยู่ในซอกพลางย่ำเท้าไปมา ดวงตาจับจ้องกาน้ำหยดบนประตูเมือง “นาฬิกาเสียหรือเปล่านะ เมื่อกี้ขาดเพียงเค่อเดียวก็ยามโหย่วแล้ว ไฉนตอนนี้ยังขาดหนึ่งเค่อเท่าเดิม”
ยามโหย่วย่อมปิดประตูเมืองได้ คนเฝ้าประตูจึงรอคอยเวลานั้นอยู่
“เพิ่งผ่านไปครู่เดียว เจ้าก็เงยหน้าถึงสามหน!” จ้าวอวี่แค่นเสียง หันไปยิ้มปรึกษากับหัวหน้ากองที่หลบหนาวอยู่ในห้องเล็กว่า “หิมะตกหนักขนาดนี้จะมีใครออกจากเมืองอีก ปิดประตูเถอะขอรับ” ขอเพียงไม่มีคนใหญ่คนโตเข้าออกเมือง หากอากาศไม่ดีจะปิดประตูเมืองเร็วขึ้นหนึ่งเค่อครึ่งเค่อก็คงไม่เป็นไร
“ปิดเถอะ…” หัวหน้ากองลุกขึ้นมองออกไปข้างนอก แต่แล้วน้ำเสียงพลันชะงัก “ช้าก่อนๆ ดูเหมือนข้างหน้าจะมีรถม้าสองคัน”
จ้าวอวี่ที่กำลังจะไปปล่อยแม่แรงวิ่งออกไปดู จริงๆ ด้วย ท่ามกลางหิมะหนามีจุดสีดำปรากฏขึ้นสองจุด เขาอดร้องด่าไม่ได้ “ให้ตาย ใครช่างไม่มีตาเอาเสียเลย หิมะตกหนักขนาดนี้ยังจะเดินทางอีก!” ก่อนจะหันไปร้องบอกหัวหน้ากองเสียงดังว่า “หัวหน้า ดูจากระยะทางต่อให้มาถึงก็เลยยามโหย่วไปแล้ว มิสู้ปิดประตูเสียเถอะ!”
“รออีกประเดี๋ยว…” หัวหน้ากองส่ายหน้า หิมะตกหนักขนาดนี้ หากทิ้งคนไว้นอกเมืองจะต้องหนาวตายแน่ เบื้องบนตรวจสอบลงมาเมื่อไรพบว่าเขาปิดประตูเมืองก่อนเวลา พรุ่งนี้เขาคงได้ย้ายเข้าไปในคุกของกรมอาญาฉลองปีใหม่
“ยามโหย่วแล้ว!” เจ้าหน้าที่ร้องตะโกนพลางกระโดดขึ้นปล่อยแม่แรงอย่างรีบร้อน
คนเฝ้าประตูเมืองเกลียดคนจำพวกนี้ที่สุด มาตอนไหนไม่มา จำต้องมาตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิด อากาศดีก็แล้วไปเถอะ อากาศแย่เช่นนี้ ใครบ้างไม่อยากรีบกลับบ้านไปอยู่กับลูกเมียบนเตียงเตาอุ่นๆ
ปิดประตูเมืองยามโหย่วตรง ต่อให้คนผู้นั้นหนาวตายอยู่ข้างนอกก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา! หัวหน้ากองบิดขี้เกียจและหยิบหมวกเตรียมตัวกลับบ้าน
“หัวหน้า…” แม่แรงถูกปล่อยลงมาครึ่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่พลันชะงัก “ท่านรีบดูเร็วเข้า ข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นรถม้าของจวนราชมนตรี!”
ในที่สุดก็ถึงเสียที
เลิกม่านออกดูเห็นเมืองซั่งจิงที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีเงินบริสุทธิ์ แลดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม เจินสือเหนียงพรูลมหายใจยาวๆ ตอนเช้าออกเดินทางตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเหม่า หากยังไม่ถึง นางคงได้ตายก่อนจริงๆ
นางคิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านกู้ กู้เผิงเฉิงจะเป็นถึงหัวหน้าพ่อบ้านฝ่ายซื้อหาในจวนของเซียวอวี้ เสนาบดีกรมทหารและพระอาจารย์ผู้ช่วยที่อ่อนเยาว์ที่สุดในต้าโจวซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง
สี่เชวี่ยบอกว่าแม้เซียวอวี้จะเป็นสหายรักของเสิ่นจงชิ่งและเป็นแขกที่มาเยือนจวนจ้วงหยวนเป็นประจำ แต่เนื่องจากในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสิ่นจงชิ่งย่ำแย่ เขาจึงไม่เคยให้นางพบสหายรักของเขา เซียวอวี้ไม่รู้จักนาง
ด้วยเหตุนี้นางจึงตัดสินใจมาเสี่ยงดู หากสามารถผูกมิตรกับบุคคลใหญ่โตอย่างเสนาบดีกรมทหารและได้เขาเป็นที่พึ่งของนาง ดีไม่ดีอาจปูทางในอนาคตให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ได้ ชาติก่อนตอนเห็นพ่อแม่ทุ่มเทบังคับลูกให้สอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วยหางานดีๆ ให้พวกเขา เจินสือเหนียงเคยรู้สึกไม่เห็นด้วย
เมื่อชาติก่อนนางยังจงใจขัดแย้งกับแม่ ให้ตายก็ไม่ยอมไปเป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลระดับสามเกรดเอที่ใหญ่ที่สุดของเมืองซึ่งแม่ทุ่มเทหาตำแหน่งให้ ยังจำได้ว่าแม่พูดปากเปียกปากแฉะกับนางว่า ‘เป็นแพทย์ฝึกหัดที่นั่น ขอเพียงลูกสร้างผลงานดีๆ ผูกสัมพันธ์กับคนในแผนกเอาไว้ เรียนจบเมื่อไหร่แม่จะได้ฝากคนในนั้นให้รับลูกเข้าทำงาน…’ ทั้งที่รู้ว่าโรงพยาบาลแห่งนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนาง และเป็นที่หมายที่นักศึกษาแพทย์ทุกคนหมายปอง แต่นางเกลียดการที่พ่อแม่ช่วยปูทางให้ ทำให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์นางลับหลัง บอกว่านางเป็นเด็กเส้น เป็นพวกที่ดูดีแค่ภายนอกแต่ไร้ความสามารถที่แท้จริง
ครั้นแล้วจึงดึงดันหาโรงพยาบาลระดับสองเกรดเอที่ขึ้นชื่อด้านการรักษาโรคเรื้อรังเพื่อเข้าไปเป็นแพทย์ฝึกหัด ต่อมานางถึงรู้ว่าแม้ผลการเรียนของนางจะดีเลิศ แต่อาศัยแค่ความมุทะลุของนางในตอนนั้นก็ไม่สามารถเข้าไปเป็นหมอในโรงพยาบาลนั้นได้ สุดท้ายแม่ก็เป็นผู้แอบไหว้วานคนฝากให้นางได้ฝึกหัดในโรงพยาบาลระดับสามเกรดเอและเป็นหมอที่โรงพยาบาลนั้นต่อไปอย่างราบรื่น กลายเป็นอาจารย์แพทย์ที่มีชื่อเสียง
ความรู้ความสามารถเป็นเงื่อนไขพื้นฐาน แต่หากจะเหนือกว่าคนอื่นยังต้องมีโอกาส มีคนแนะนำและส่งเสริม
คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาผูกมิตรกับคนใหญ่คนโตเพื่อเหวินเกอ อู่เกอ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในชาติก่อนแล้ว เจินสือเหนียงทอดถอนใจ ไม่เป็นแม่คนย่อมไม่ตระหนักในบุญคุณของพ่อแม่จริงๆ นางอยากให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่มุมานะบากบั่นด้วยตนเอง แต่คนที่แข็งเกินไปมักหักง่าย คนที่อ่อนกลับไม่เคยพ่ายแพ้ นางกลัวก็แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จะทิฐิเกินไปเหมือนนางในอดีต ไม่รู้จักพลิกแพลง สุดท้ายหากไม่ตายก่อนวัยอันควรก็ต้องลำบากไปชั่วชีวิต
นางกำมือแน่น ในเมื่อมาแล้วนางจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ สร้างอนาคตที่ดีให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่!
ระหว่างที่คิดไปเรื่อยเปื่อย รถม้าแล่นเข้ามาในเมืองอย่างราบรื่น กว่าจะถึงจวนราชมนตรีก็เข้ายามซวีแล้ว พ่อบ้านกู้จัดการให้นางนอนในห้องรับรองแขก ก่อนจะมอบหมายให้ผู้ดูแลหญิงรับช่วงต่อ
หลังกินข้าวเย็น เจินสือเหนียงเข้านอนแต่หัวค่ำ
ด้วยชินกับการตื่นเช้า วันถัดมาเจินสือเหนียงจึงตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเหม่า นางหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงหงเอ๋อร์ที่นั่งมากับรถม้ายกน้ำเข้ามาจึงลุกขึ้นนั่ง
หลังล้างหน้าเรียบร้อย หงเอ๋อร์เห็นเจินสือเหนียงยังสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหนาตัวเดิมของเมื่อวานที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน นางลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงค่อย “ห้องของฮูหยินผู้เฒ่ามีกระถางไฟถึงสามสี่ใบ เสื้อผ้าของท่านหมอเจี่ยนหนาเกินไป มิสู้เปลี่ยนเป็นชุดที่บางหน่อยดีกว่า” ในจวนแห่งนี้แม้แต่สาวใช้ชั้นต่ำยังสวมแพรพรรณอย่างดี นางแต่งตัวเช่นนี้ต้องถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเป็นแน่
แม้รู้จักกันเพียงหนึ่งวัน แต่หงเอ๋อร์ชอบหญิงชนบทผู้มีรูปโฉมงดงาม น้ำเสียงนุ่มนวลผู้นี้มาก แม้เสื้อผ้าที่สวมจะเก่าหยาบ แต่ท่วงทีกลับไม่ธรรมดา อากัปกิริยาสุภาพอ่อนโยน เวลาพูดกับนางใบหน้าจะประดับรอยยิ้มบางๆ เสมอ เห็นแล้วชวนให้สบายใจ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น หงเอ๋อร์รู้สึกว่ามองมาทีไรเป็นต้องรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ วาจาของนางทำให้คนฟังสบายใจอย่างแท้จริง
นางคงเห็นว่าเสื้อผ้าข้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน ไม่น่าดูกระมัง
เจินสือเหนียงก้มมองตนเอง เสื้อผ้าชุดนี้เต็มไปด้วยรอยปะชุนก็จริง แต่หนาเป็นพิเศษ นางรู้ว่าตระกูลใหญ่ล้วนพิถีพิถัน เดิมทีนางมีอีกชุดที่ไม่มีรอยปะชุน แต่บางเกินไป อย่างไรสี่เชวี่ยก็ไม่ยอมให้ใส่มา ได้ยินหงเอ๋อร์พูดเช่นนี้ เจินสือเหนียงจึงไม่พูดมาก ยอมเปลี่ยนชุดตามคำแนะนำของอีกฝ่าย
มองเสื้อผ้าป่านสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้ที่เจินสือเหนียงเปลี่ยนใหม่แล้ว แม้จะไม่มีรอยปะชุนแต่ก็ถูกซักจนสีซีด หงเอ๋อร์ขยับริมฝีปาก ลังเลว่าจะเอาชุดตนเองให้นางเปลี่ยนดีหรือไม่
“ปกติฮูหยินผู้เฒ่าตื่นกี่โมง” เจินสือเหนียงเดาความคิดของนางได้ จึงเสคุยเรื่องอื่นอย่างแนบเนียน
“แต่ไรมาฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเช้าเจ้าค่ะ เวลานี้น่าจะตื่นแล้ว” พอเอ่ยถึงฮูหยินผู้เฒ่า หงเอ๋อร์ก็นึกถึงหน้าที่ของตนเอง “บ่าวจะสั่งสำรับอาหารมาให้ท่าน อีกประเดี๋ยวนายหญิงรองน่าจะส่งคนมาแล้ว” นางพูดพลางผลักประตูก้าวออกไป
ไม่นานก็เดินนำสาวใช้สองคนยกกับข้าวสี่อย่างกับขนมดอกกุ้ยหนึ่งจานเข้ามา “บ่าวไม่ทราบว่าท่านหมอเจี่ยนชอบกินอะไร จึงถือวิสาสะเลือกของพวกนี้มาให้ หากท่านไม่ชอบ บ่าวจะนำไปเปลี่ยนให้ใหม่” หงเอ๋อร์โบกมือไล่สาวใช้สองคนออกไปและตักโจ๊กให้เจินสือเหนียงด้วยตนเอง จากนั้นยืนคีบกับข้าวให้นางด้านข้าง
เจินสือเหนียงมองกับข้าวสี่น้ำแกงหนึ่งบนโต๊ะ หรูหรายิ่งกว่าตอนฉลองปีใหม่ของนางเสียอีก จึงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว”
หงเอ๋อร์แอบโล่งอก เป็นคนอ่อนน้อมจริงๆ ด้วย พึงรู้ว่าแขกที่มาที่จวน อาหารเช้าถูกกำหนดแล้วว่าต้องมีแปดอย่าง แต่โรงครัวเห็นเจินสือเหนียงสวมเสื้อผ้าเก่าขาดจึงดูถูก นางเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ มิอาจเถียงได้ ได้แต่ฝืนใจยกเข้ามา หากเป็นญาติผู้น้องคนนั้นคงจะเขวี้ยงจานชามลงพื้นและไปร้องไห้ฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
เมื่อกินข้าวเสร็จ เจินสือเหนียงก็นึกถึงนายหญิงรองที่หงเอ๋อร์พูดถึงก่อนหน้านี้
“นายหญิงรองคือใครหรือ” พักที่นี่มาหนึ่งคืน คนที่นางได้พบมีแต่ผู้ดูแลหญิงสูงวัยที่หงเอ๋อร์หวาดกลัวอย่างยิ่ง เห็นได้ว่าจวนแห่งนี้เข้มงวดเรื่องระดับชั้นมาก นางต้องฉวยโอกาสนี้ทำความเข้าใจกับความสัมพันธ์ของคนในจวนก่อน จะได้ไม่เป็นที่หัวเราะขบขันของคนอื่น
“นายหญิงรองคือภรรยาของนายท่านรอง เป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนราชมนตรีเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์รินน้ำชาให้เจินสือเหนียง ก่อนจะกล่าวต่อไป “อีกสักครู่น่าจะส่งคนมาแล้ว”
เจินสือเหนียงอึ้งไป ก่อนมาที่นี่สี่เชวี่ยบอกว่าเซียวอวี้เหมือนเสิ่นจงชิ่ง เป็นพี่คนโตของครอบครัว แล้วเหตุใดจึงให้ภรรยาของน้องชายเป็นผู้ดูแลเรื่องภายในจวนล่ะ คิดดังนี้จึงเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าราชมนตรีเซียวเป็นพี่คนโตในจวน…” เนื่องจากเซียวอวี้เป็นหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการที่ได้รับเลือกจากเหล่าเสนาแห่งสภาขุนนาง คนภายนอกจึงเรียกเขาว่าราชมนตรี
“เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ผงกศีรษะ “ในจวนมีนายท่านทั้งหมดสามคน ราชมนตรีเซียวเป็นพี่คนโต นายท่านรองสองปีก่อนสอบขุนนางไม่ได้และไม่ได้สอบอีก ช่วยทำงานทั่วไปภายในจวน นายท่านสามปีนี้อายุสิบห้า สอบผ่านระดับอำเภอแล้ว กำลังเตรียมสอบระดับมณฑลในปีหน้า” หงเอ๋อร์อธิบายสถานการณ์ในจวนราชมนตรีให้นางฟังอย่างละเอียด “นายหญิงใหญ่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้วตอนคลอดเฟิงเกอ เดิมทีธุระในจวนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดูแลจัดการ ภายหลังป่วยจึงให้นายหญิงรองเป็นผู้ดูแลแทน” นางเหลือบมองประตูและเอ่ยเสียงค่อย “นายหญิงรองคนนี้…”
ระหว่างพูดได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก หงเอ๋อร์หน้าตื่น “สวรรค์ นายหญิงรองมาด้วยตนเอง!” นางรีบก้าวออกไปต้อนรับ