ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8
บทที่ 7
เจินสือเหนียงเห็นหงเอ๋อร์ได้ยินเสียงฝีเท้าของนายหญิงรองและผู้ติดตามก็ตัวสั่นเทิ้ม นางจึงเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
“หมอเจี่ยนตื่นหรือยัง” นายหญิงรองยังไม่เข้ามา แต่ส่งเสียงใสกังวานนำมาก่อน
เจินสือเหนียงรีบลุกขึ้น เห็นสาวใช้แต่งตัวฉูดฉาดกับบ่าวหญิงสูงวัยห้อมล้อมสตรีวัยกลางคนในชุดหรูหราเดินเข้ามา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านี่คือนายหญิงรองที่หงเอ๋อร์พูดถึง
เจินสือเหนียงย่อกายเล็กน้อย “เจี่ยนโยวคารวะนายหญิงรอง”
หงเอ๋อร์เองก็ย่อกายคารวะเช่นกัน “เรียนนายหญิงรอง ท่านหมอเจี่ยนกินข้าวเช้าแล้ว กำลังรอไปตรวจโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
นายหญิงรองกวาดตามองเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายรอบ เห็นชุดผ้าป่านที่ซักจนขาวซีดของนางแล้ว ดวงตาฉายแววเหยียดหยัน นางไม่นั่ง แต่ยืนพูดเนิบช้าอยู่ตรงนั้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรออยู่ ในเมื่อหมอเจี่ยนกินข้าวแล้วก็ไปเร็วหน่อยเถิด” ก่อนจะหันหลังเดินนำไป ได้ยินหมอหลวงเวินพูดถึงเจินสือเหนียงเหมือนเป็นผู้วิเศษ นางถึงอยากมาดูด้วยตนเอง พอเห็นแล้วพบว่าเป็นแค่หญิงชนบทต่ำต้อยเท่านั้น นายหญิงรองอดนึกเสียใจไม่ได้ที่นางลดเกียรติตนเองมารับเจินสือเหนียง เพียงครู่เดียวก็พานหมดอารมณ์ไม่อยากชวนคุยอะไรอีก
ด้วยไม่ยึดถือในลาภยศ เจินสือเหนียงจึงไม่ถือสา นางหันไปหยิบกล่องยาและเตรียมออกเดิน
หงเอ๋อร์ใช้สองมืออุ้มกล่องยาขึ้นมาแล้ว “กล่องยาของท่านหมอเจี่ยนใส่อะไรไว้เจ้าคะ หนักเหลือเกิน”
เจินสือเหนียงยิ้มไม่ตอบ
“…ไสหัวไป ไสหัวออกไปให้หมด ออกไปให้หมด หมอเทวดาบ้าอะไร เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงทั้งนั้น!” พอถึงห้องนอนของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว นายหญิงรองก้าวเข้าไป เจินสือเหนียงกำลังจะก้าวตาม ถ้วยชาที่ทำจากกระเบื้องลายครามใบหนึ่งหล่นเพล้งที่ปลายเท้า พร้อมเสียงร้องด่าของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวลอยออกมา
เจินสือเหนียงสะดุ้งโหยง ร่างกายชะงักเล็กน้อย หางตาเหลือบเห็นหงเอ๋อร์หน้าแดง ถึงจำได้ว่าเมื่อวานตอนอยู่บนรถม้านางพูดเป็นนัยแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าเซียวอารมณ์ร้าย ให้ระมัดระวังตนให้มาก
เจินสือเหนียงถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว นางเจอคนที่รับมือยากอีกแล้ว
ในฐานะหมอ นางไม่กลัวโรคที่รักษายาก แต่กลัวคนไข้ที่ไม่เชื่อหมอ หาเรื่องชวนทะเลาะและไม่ให้ความร่วมมือ คนไข้ประเภทนี้สร้างปัญหาในการรักษามากที่สุด
โรคมีหกอย่างที่มิอาจรักษา คนป่วยหยิ่งยโสไร้เหตุผลมิอาจรักษา ตามคำสอนของคนรุ่นก่อนและประสบการณ์เมื่อชาติก่อน หากเจอคนไข้ที่เอาแต่ใจและไม่ฟังเหตุผลเช่นนี้ สิ่งที่ควรทำคือหันหลังเดินจากไป แต่นางมาคราวนี้ไม่เพียงเพื่อรักษาโรค ยังเพื่ออนาคตของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ด้วย
เท้าชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปอย่างสุขุม
เจินสือเหนียงเข้ามาในโลกนี้ห้าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาในตระกูลใหญ่ที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบเช่นนี้ นางบอกตนเองให้ระวังแล้ว แต่ตอนเข้าไปนายหญิงรองไม่ได้บอกให้นางรออยู่ข้างนอก เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าหมอชาวบ้านที่ต้อยต่ำอย่างนาง แม้ผู้อื่นจะเป็นฝ่ายเชิญนางมารักษาโรค แต่ก็ต้องรอให้นายหญิงรองเข้าไปรายงานเสียก่อน ถึงจะมีสาวใช้ออกมารับนางเข้าไป
นายหญิงรองไม่อยากลดตัวสนทนากับนาง เมื่อกี้ก่อนเข้าไปจึงลืมกำชับ มีนายหญิงรองอยู่ คนอื่นๆ จึงไม่กล้าพูดมาก ยามนี้เห็นนางเดินเข้าไปหน้าตาเฉย ทุกคนได้แต่มองตาค้าง หงเอ๋อร์อ้าปากอยากร้องเรียกก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่เบิกตากว้างปิดปากตนเอง
ด้วยไม่นึกว่าเจินสือเหนียงจะทะเล่อทะล่าเข้ามา นายหญิงรองจึงตกใจ ช่างเป็นหญิงบ้านนอกที่ไม่รู้ธรรมเนียม! แม้ก่นด่าในใจก็จริง แต่พอคิดว่านางได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ของฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหมด ทั้งยังเดินเข้ามาเหมือนไม่เกรงกลัว จึงอดรู้สึกเก้อกระดากไม่ได้
แม้ฐานะของหมอเจี่ยนจะต้อยต่ำเพียงใด แต่ตอนนี้พวกนางเป็นฝ่ายขอร้องให้ผู้อื่นมาตรวจโรคที่จวน น้ำเสียงจึงเจือความเกรงใจอยู่หลายส่วน “ฮูหยินผู้เฒ่าถูกโรครุมเร้า อารมณ์จึงไม่ค่อยดีนัก หมอเจี่ยนโปรดเข้าใจด้วย” นางหันไปยิ้มแนะนำกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวว่า “นี่คือหมอเจี่ยนที่หมอหลวงเวินแนะนำว่าเชี่ยวชาญการรักษาโรคที่หายยากเจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่าหมอเจี่ยนจะเป็นผู้หญิง ยามเผชิญหน้ากับรอยยิ้มสุขุมและความเงียบสงบไม่แปดเปื้อนมลทินทางโลกของเจินสือเหนียง อารมณ์ฉุนเฉียวของฮูหยินผู้เฒ่าพลันหายไปสิ้น นางอึ้งงัน พอนายหญิงรองแนะนำเสร็จ นางก็ลืมแม้กระทั่งเอ่ยคำพูด เอาแต่ใช้สายตากวาดมองเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า
เจินสือเหนียงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเป็นศัตรู นางเพียงยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “ข้าคิดว่ามีแต่เด็กที่กลัวการฉีด…” พอคิดได้ว่าสมัยโบราณไม่มีคำว่า ‘ฉีดยา’ เจินสือเหนียงชะงัก “การกินยาขม ที่แท้ผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างกัน” คนแก่ก็เหมือนเด็ก ต้องอาศัยการหลอกล่อ วิธีที่ดีที่สุดในการเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวให้ความร่วมมือในการรักษาคือใช้แผนยั่วยุ
ถูกจับได้ว่าต่อว่าผู้อื่นลับหลัง อีกฝ่ายเป็นผู้ชายก็แล้วไปเถอะ กลับเป็นผู้หญิง เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกละอายใจ แต่พอได้ยินคำพูดนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนไป นางไม่บอกให้อีกฝ่ายนั่ง แต่ชี้เจินสือเหนียงและถามเสียงเฉียบ “เจ้าบอกมาก่อนว่าจะรักษาโรคของข้าอย่างไร”
คำพูดนี้เป็นการหาเรื่องชวนทะเลาะ ยังไม่ทันได้ตรวจร่างกาย ต่อให้เป็นเทพเซียนก็บอกไม่ถูกว่าต้องใช้ยาขนานใด จะรักษาอย่างไร เห็นชัดว่านางต้องการหาเรื่องเจินสือเหนียง แม้แต่นายหญิงรองยังหน้าผิดสี
เจินสือเหนียงเป็นชาวบ้านทั่วไป หากแพร่ออกไปว่าจวนราชมนตรีใช้อำนาจรังแกผู้น้อย ชื่อเสียงเกียรติยศที่ราชมนตรีเซียวสั่งสมมาคงถูกทำลายป่นปี้ แต่ในฐานะลูกสะใภ้ นางไม่กล้าขัดแม่สามี ได้แต่มองเจินสือเหนียงอย่างไม่สบายใจและอดตระหนกไม่ได้ ดูไม่ออกว่านางจะเป็นคนลุ่มลึกเช่นนี้
เจินสือเหนียงมีรอยยิ้มบางประดับอยู่บนริมฝีปากตลอดเวลา ใบหน้าสุขุมขณะย่อกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่า “ข้ายังไม่คิดจะรักษาโรคให้ท่าน”
บรรยากาศคล้ายจับตัวแข็ง เจินสือเหนียงถึงขั้นได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดของฮูหยินผู้เฒ่า
แต่ไรมานางเป็นคนพูดหนึ่งไม่มีสอง แม้แต่เซียวอวี้ที่เป็นถึงเสนาบดียังเคารพนบนอบนาง ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวไหนเลยจะเคยเจอคนแบบนี้ นางโกรธจัดจนเปลี่ยนเป็นหัวเราะ “จวนราชมนตรีใช่สถานที่ที่เจ้าจะมากำแหงหรือ” น้ำเสียงทุ้มต่ำกว่าก่อนหน้านี้ แต่กลับแฝงด้วยความเข้มงวดอย่างถึงที่สุด ดวงตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยทอประกายเจิดจ้า
นายหญิงรองตัวสั่น ทางหนึ่งพยายามส่งสายตาให้เจินสือเหนียง บอกเป็นนัยให้นางรีบคุกเข่าโขกศีรษะขออภัย อีกทางหนึ่งครุ่นคิดว่าจะขอร้องแทนนางให้เอาตัวรอดจากสถานการณ์ตึงเครียดนี้อย่างไรดี
“ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจผิดแล้ว” เหนือความคาดหมายของนายหญิงรอง เจินสือเหนียงไม่ได้คุกเข่า เพียงแต่ค้อมตัวเล็กน้อย “ข้าเป็นเพียงคนบ้านนอกคอกนา มีความสามารถอยู่นิดหน่อยเท่านั้น จะกล้าเข้ามาในจวนอันสูงส่งรักษาโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร จนใจที่ราชมนตรีเซียวเชื้อเชิญครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นแก่ความจริงใจที่เขามีต่อฮูหยินผู้เฒ่า ข้าจึงมาด้วยความฝืนใจ” เห็นฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว นางเสพูดเรื่องอื่น “เมื่อครู่ตอนอยู่หน้าประตูได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าด่าว่าข้าเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง ถูกตำหนิโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ ข้ายิ่งหวั่นใจ ไหนเลยจะมีแก่ใจรักษาโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีก แต่เกรงว่าหากหันหลังจากไปจะทำให้ราชมนตรีเซียวกลายเป็นคนอกตัญญู ถึงได้ฝืนใจเข้ามาลองดู บัดนี้ได้พบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ข้าความรู้ตื้นเขิน หากยังไม่จับชีพจรย่อมบอกไม่ได้ว่าจะรักษาโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไร ทำให้ราชมนตรีเซียวต้องผิดหวัง ขอฮูหยินผู้เฒ่าโปรดอนุญาตให้ข้าจากไปด้วย”
พูดจบนางก็ค้อมกายให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวและหันหลังจากไป
หญิงสาวในตระกูลใหญ่ล้วนมีนิสัยอ้อมค้อม เวลาพูดจามักเอ่ยออกมาเพียงสามส่วน แม้ลับหลังอยากแทงอีกฝ่ายสักสามที แต่พบหน้ากันแล้วกลับสนิทชิดเชื้อเหมือนพี่น้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้หญิงที่พูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า เดิมทีถูกจับได้ว่าด่าผู้อื่นลับหลังก็น่าอึดอัดอยู่แล้ว ที่ยังฝืนใจนั่งอยู่ตรงนี้เพราะนางคิดว่าเจินสือเหนียงคงเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ถึงได้ยินก็ทำเป็นหูหนวก ทุกคนรู้ดีแก่ใจและปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป อย่าได้หาเรื่องขายหน้าให้ตนเอง คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้!
ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว หน้าแดงสลับซีดขาว ลอบด่านางในใจว่า เป็นหญิงบ้านนอกจริงๆ ด้วย แม้แต่พูดจายังไม่รู้จักอ้อมค้อม!
แต่พอขบคิดให้ละเอียด ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวผงะโดยไม่รู้ตัว คำพูดนี้ตรงก็จริง แต่กลับรอบคอบไร้ช่องโหว่!
นางไม่รักษาโรคให้ตน แต่ไม่บอกว่าเป็นเพราะหยิ่งยโสถือตัว กลับบอกว่าเป็นเพราะไม่กล้าคาดหวัง บุ่มบ่ามบุกเข้ามาในห้องไม่บอกว่าเป็นเพราะตนเองหยาบกระด้างไม่รู้ธรรมเนียม กลับบอกว่าเป็นเพราะกลัวจะทำให้ราชมนตรีเซียวเป็นลูกอกตัญญู คำว่าความรู้ตื้นเขิน นางใช้เมื่อพบตนแล้ว หาได้ใช้เมื่อตรวจโรคให้ตนแล้ว ความหมายที่สื่อย่อมต่างออกไปมาก!
แต่หากคิดจะเอาเรื่อง คำพูดพวกนี้กลับเป็นความจริงทั้งหมด ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจโต้แย้งได้ ลูกเล่นในการพลิกแพลงของนางเทียบชั้นได้กับขุนนางที่เปี่ยมประสบการณ์ วันนี้หากปล่อยให้นางกลับไปเช่นนี้ ด้วยฝีปากของนาง ชื่อเสียงของจวนราชมนตรีในหมู่ชาวบ้านคงป่นปี้ไม่เหลือ!
“ได้!” ยิ่งสูงส่งยิ่งใส่ใจเรื่องหน้าตา เห็นเจินสือเหนียงเดินไปถึงประตูแล้ว จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ร้องเรียกเสียงดัง “ข้าจะให้เจ้าจับชีพจร”
ในที่สุดนางก็รับปาก!
เจินสือเหนียงหัวใจเต้นตึกตัก แต่ไม่ได้หันกลับไป ร่างกายชะงักเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปผลักประตู
“ท่านหมอเจี่ยนอย่าเพิ่งไป!” นายหญิงรองร้องเรียกอย่างร้อนใจบ้าง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่านายหญิงรองคงคิดแบบเดียวกัน แต่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้คือเหตุการณ์โรคระบาดทำให้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนแพร่สะพัดไปในหมู่ชาวบ้าน หากปล่อยนางให้กลับไปเช่นนี้ ประกอบกับวาทศิลป์อันร้ายกาจของนาง เกรงว่าแต่นี้ไปคงไม่มีหมอชาวบ้านที่ไหนกล้าย่างเท้าเข้ามาในจวนราชมนตรีอีกแล้ว
เจินสือเหนียงหันกลับมาอย่างเชื่องช้า
“แต่เจ้าฟังให้ดี” เห็นนางหันกลับมาในที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวลอบพรูลมหายใจโล่งอก ขึงหน้าพูดเสียงแข็งว่า “หากรักษาข้าไม่ได้ก็อย่าได้คิดจะเอาเงินไปแม้แต่แดงเดียว!”
เจินสือเหนียงยิ้มน้อยๆ เรื่องนี้นางตกลงกับพ่อบ้านกู้แต่แรกแล้ว จวนราชมนตรีรับผิดชอบมารับและส่งนางกลับ หากรักษาฮูหยินผู้เฒ่าไม่หาย นางจะไม่รับเงินแม้แต่แดงเดียว
เจินสือเหนียงตรวจชีพจรและสังเกตเปลือกตา ลิ้น โพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวแล้ว นางขมวดคิ้วมุ่น
ในห้องกว้างขวางเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
“ท่านแม่เป็นโรคอะไร” เห็นเจินสือเหนียงเงียบอยู่นาน นายหญิงรองจึงเอ่ยปากถามทำลายความเงียบ
เจินสือเหนียงส่ายหน้าและส่ายหน้าอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดกันแน่น
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงดูถูก กำลังจะเอ่ยวาจาเหน็บแนมกลับเห็นเจินสือเหนียงลุกขึ้นกะทันหันและถามซีเยวี่ยสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายว่า “เวลานอนฮูหยินผู้เฒ่ากรนเสียงดังหรือไม่”
กรน?
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเปลี่ยนเป็นสีม่วง ไม่รอให้ซีเยวี่ยตอบก็ชิงพูดขึ้นทันที “แต่ไรมาข้าไม่เคยนอนกรน!” น้ำเสียงนางเด็ดขาดเผด็จการยิ่ง
น่าขัน นางถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่น่ายกย่อง เวลานอนจะกรนได้อย่างไร
ซีเยวี่ยขยับปากไปมา สุดท้ายพยักหน้าให้เจินสือเหนียงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“เรื่องนี้สำคัญต่อการวินิจฉัยมาก” สายตาของเจินสือเหนียงมองไปยังสองมือของซีเยวี่ยที่บิดผ้าเช็ดหน้าแน่น “หากโกหกจนส่งผลกระทบต่อการวินิจฉัยของข้า ฮูหยินผู้เฒ่าจะมีอันตรายถึงชีวิต” น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนเคย แต่กลับเจือความกดดันที่มองไม่เห็น
ซีเยวี่ยบิดผ้าอย่างประหม่ากว่าเดิมและแอบเหลือบมองนาง ครั้นปะทะกับแววตากระจ่างใสเหมือนรู้ดีทุกอย่างของเจินสือเหนียง นางก็ลนลาน สายตาหลบวูบไปอีกทาง
เจินสือเหนียงเลื่อนสายตาไปยังซีฮวา ซีชุน ซีชิวทีละคน แต่ละคนยืนนิ่ง ดวงตาจ้องเขม็งที่พื้นราวกับบนพื้นมีก้อนทองแวววาวผุดขึ้นมา อยู่ต่อหน้าหมอไม่ต้องปิดบังเรื่องส่วนตัว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว นี่ไม่ใช่เวลาจะมารักษาหน้า เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจและหันไปหานายหญิงรอง
นายหญิงรองถูกจ้องจนอึดอัด หันไปโบกมือใส่สาวใช้รุ่นเล็กในห้อง “พวกเจ้าออกไปก่อน” เหลือไว้เพียงชุนฮวา ชิวเยวี่ยที่เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่เท่านั้น “ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว ปกติเวลานอนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไร พวกเจ้าตอบมาตามตรง”
มองออกว่าสาวใช้ทั้งสี่มีสีหน้าผิดปกติ ฮูหยินผู้เฒ่าลอบตระหนกในใจ
“เสียงกรนของฮูหยินผู้เฒ่าดังมาก เหมือน…เหมือนผู้ชายเจ้าค่ะ…” ซีเยวี่ยอึกๆ อักๆ ไม่กล้าสบตาฮูหยินผู้เฒ่า
“ข้านอนกรนจริงๆ หรือ” น้ำเสียงอ่อนลงไปหลายส่วน ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามสาวใช้รุ่นใหญ่ทั้งสี่ก็จริง แต่ตากลับมองเจินสือเหนียง
สาวใช้ทั้งสี่พยักหน้าเงียบๆ
“เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ราวกับไม่เห็นความกระอักกระอ่วนของฮูหยินผู้เฒ่า เจินสือเหนียงทำท่าบอกให้นางเงยหน้าขึ้น อาศัยแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างตรวจดูโพรงจมูกของนางอย่างจริงจัง “เสียงกรนดังบ้างหยุดบ้างใช่หรือไม่”
เห็นสีหน้านางเป็นธรรมชาติ ใบหน้าไม่ปรากฏแววเยาะหยัน ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวจึงวางใจและเงยหน้าขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ
เชิญหมอชื่อดังมามากมาย แต่ยังไม่เคยมีใครถามถึงอาการเช่นนี้ ชั่วพริบตาเดียวทุกคนในห้องมองเจินสือเหนียงด้วยแววตาเลื่อมใส ซีเยวี่ยไม่กล้าปิดบังอีก ตอบอย่างขึงขังจริงจัง “น่าจะประมาณสองสามเดือนก่อน วันหนึ่งบ่าวอยู่เวรตอนกลางคืน ได้ยินเสียงกรนดังสนั่นในห้อง คิดว่าเป็นหัวขโมยจึงเรียกซีฮวาให้ถือกระบองเข้าไปดู…” ช่วงท้ายของประโยคเสียงของซีเยวี่ยแผ่วเบาลง
หากเรื่องสตรีนอนกรนเสียงดังแพร่ออกไปย่อมไม่เหมาะสม ทุกคนจึงปิดปากเงียบมาตลอด เห็นฮูหยินผู้เฒ่าหน้าแดง ซีชุนจึงรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “เกี่ยวกับโรคนี้หรือไม่เจ้าคะ”
เจินสือเหนียงถามฮูหยินผู้เฒ่าเซียวว่ามักรู้สึกคัดจมูกใช่หรือไม่ ได้กลิ่นต่างๆ หรือไม่ และรายละเอียดในชีวิตประจำวันอื่นๆ ก่อนจะพยักหน้า “ซีชุนพูดถูก การนอนกรนของฮูหยินผู้เฒ่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นโรคชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยในชาติก่อน…ริดสีดวงจมูก เพียงแต่ติ่งเนื้อค่อนไปทางด้านหลัง อยู่ใกล้ด้านหลังโพรงจมูก มองจากรูจมูกเข้าไปจึงไม่เห็น ดังนั้นจึงไม่มีคนรู้
พอเข้ามาในห้องเจินสือเหนียงก็เห็นใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหมองคล้ำ จึงตัดสินว่านางน่าจะหายใจติดขัด เพราะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานทำให้ปวดศีรษะ หูอื้อ ความจำถดถอย อารมณ์ฉุนเฉียว ระบบทางเดินหายใจมีอวัยวะที่เกี่ยวข้องกันอยู่ไม่กี่อย่าง ได้แก่จมูก คอหอย ลำคอ หลอดลม หลอดลมขั้วปอด และปอด ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวหายใจลำบากแต่ไม่ไอ เสียงปอดเป็นปกติ ย่อมไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับปอดหรือหลอดลมขั้วปอด เช่นนั้นก็เหลือแต่จมูก คอหอย และลำคอ
เจินสือเหนียงสงสัยว่าเป็นโพรงจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือริดสีดวงจมูก ตอนแรกนางตั้งใจตรวจดูโพรงจมูกและตัดโรคพวกนี้ไป โดยเฉพาะโรคริดสีดวงจมูก เพราะลักษณะเด่นที่เห็นชัดที่สุดคือจมูกบวมเพราะถูกติ่งเนื้อดันออกมาจนจมูกเปลี่ยนรูป แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีอาการเหล่านี้เลย เมื่อกี้นางถึงได้ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
หากเป็นเมื่อชาติก่อน มีอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย นางแค่ใช้กล้องส่องตรวจในโพรงจมูกก็เรียบร้อยแล้ว แต่นี่เป็นยุคโบราณ นางไม่มีอะไรทั้งสิ้น พึ่งได้แต่ประสบการณ์ที่สะสมไว้ไม่น้อยกับความรู้พื้นฐานอันเยี่ยมยอด
ท่ามกลางความสับสนงุนงง จู่ๆ นางก็นึกถึงเคสพิเศษเคสหนึ่งที่เคยตรวจเมื่อชาติก่อน
เด็กผู้หญิงคนนั้นอายุเก้าขวบ เวลานอนกรนเสียงดังยิ่งกว่าผู้ใหญ่ การบ้านมักจะทำไม่เสร็จ เวลาไปโรงเรียนมักฉี่รดกระโปรง ไอคิวต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกัน…ภายหลังตรวจพบว่าด้านหลังโพรงจมูกมีติ่งเนื้องอกออกมาทำให้หายใจไม่คล่อง สมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ทำให้สติปัญญาถดถอย
“อะไรนะ” นายหญิงรองกระโดดผลุงทันใด “เจ้าบอกว่าจะเปิดช่องตรงปีกจมูกของฮูหยินผู้เฒ่า เปิดจมูกออกและตัดเนื้อออกมาหรือ” นายหญิงรองลืมความสุขุม แผดเสียงถลึงตาใส่เจินสือเหนียงเหมือนนางยักษ์ คำพูดนี้น่าตื่นตกใจเกินไป จะเป็นไปได้อย่างไร!
“ด้านหลังโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าถูกติ่งเนื้อปิดกั้น ใช้ยาไม่มีประโยชน์แล้ว มีเพียงตัดติ่งเนื้อออกไปเท่านั้น” เนื่องจากไม่มีกล้องส่อง เจินสือเหนียงจึงใช้วิธีง่ายๆ ทำการทดสอบโดยสอดท่อลงไปในจมูก ท่อนิ่มนั้นสอดลงไปไม่ถึงคอหอย นั่นหมายความว่าข้อสันนิษฐานของนางถูกต้อง เจินสือเหนียงพยายามใช้คำพูดที่ทุกคนเข้าใจอธิบายให้ฟัง
แม้ใบหน้าจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจก็ประหม่าไม่น้อย
การตัดติ่งเนื้อในโพรงจมูกเป็นการผ่าตัดเล็กเท่านั้น ชาติก่อนนางเคยทำมาหลายสิบเคสแล้ว ใช้กล้องส่องตัดชิ้นเนื้อออกมา ไม่ต้องเปิดแผล ไม่เจ็บ ผ่าตัดด้วยวิธีส่องกล้อง ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ คนไข้ฟื้นตัวเร็ว อีกทั้งอัตราการกลับมาเป็นซ้ำยังต่ำมาก แต่นี่เป็นสมัยโบราณ ไม่ต้องพูดถึงอุปกรณ์ไฮเทคพวกนั้น แม้แต่เรื่องพื้นฐานอย่างการฆ่าเชื้อ ห้ามเลือด และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็เป็นปัญหา ที่สำคัญกว่านั้นคือติ่งเนื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวงอกอยู่ด้านหลังโพรงจมูก หากจะตัดออกด้วยวิธีการดั้งเดิม การผ่าตัดคงต้องกินเวลาสองสามชั่วโมง ไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย ไม่มียาสลบอย่างดี ไม่มีผู้ช่วยฝีมือยอดเยี่ยมที่ทำงานร่วมกับนางได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างกายอ่อนแอของนางร่างนี้จะทนไหวหรือ
“ขอเพียงรักษาให้หายได้ หมอเจี่ยนรักษาไปเถอะ!” หลังถูกอาการปวดหัวอย่างรุนแรงทรมาน ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวอยากจะตัดหัวออกมาเสียด้วยซ้ำ เห็นเจินสือเหนียงบอกอาการของนางอย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด ใจจึงเชื่อนางไปนานแล้วและรับปากโดยไม่ลังเล ท่าทีเด็ดเดี่ยวยืนกราน
แต่นายหญิงรองกลับไม่กล้าตัดสินใจ “รอนายท่านทั้งหลายกลับมาค่อยตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ”
นายท่านรองเซียวหย่งกลับมาเป็นคนแรก พอได้ยินว่าจะเปิดจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวออกก็กระโดดเหยงทันที “จะได้อย่างไร!” จากนั้นยกตัวอย่างว่า “จักรพรรดิอู่เลี่ยแห่งซีซย่าถูกโอรสลอบสังหารและหลบไม่ทัน กระบี่พลาดไปตัดถูกจมูก ยังไม่ทันรักษาก็ตายเสียก่อน”
จมูกถูกเปิดกับถูกตัดทิ้งไปจะเหมือนกันที่ไหน ยังรอดชีวิตได้สิแปลก!
เจินสือเหนียงรู้สึกสิ้นหวัง นางรู้ว่าข้อเสนอของตนเองออกจะน่าตกใจ หากไม่เคยเห็นกับตา คนโบราณที่ความคิดล้าหลังพวกนี้ย่อมมิอาจยอมรับได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอีกฝ่ายเป็นถึงมารดาของราชมนตรีเซียวผู้มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่ง จะยอมให้นางจับมาทดลองได้อย่างไร นางเตรียมคำพูดไว้มากมาย แต่พอเซียวหย่งได้ยินว่าต้องใช้มีดก็ส่ายหน้ายิก ไม่เปิดโอกาสให้นางอธิบายแม้แต่น้อย เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจและลุกขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อน ก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้ว ค่ารักษาฮูหยินผู้เฒ่าข้าไม่ขอรับสักแดงเดียว”
เดิมทีนางกังวลอยู่แล้วว่าร่างกายตนเองจะรับไม่ไหว เป็นแบบนี้เสียก็ดี เจินสือเหนียงปลอบใจตนเอง เดินเข้าไปในขุมสมบัติแล้วกลับออกมามือเปล่า ความคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับเซียวอวี้ต้องล้มเลิกไปทำให้นางผิดหวังก็จริง แต่เจินสือเหนียงเป็นคนเด็ดเดี่ยวมาแต่ไหนแต่ไร ฝีเท้าที่ก้าวจากมาจึงมั่นคงเฉียบขาด
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ยอม นางปวดหัวจนอยากเอาหัวโขกกำแพงด้วยซ้ำ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอหมอที่ชี้แจงอาการของนางได้อย่างครบถ้วนถ่องแท้ แต่ลูกชายกลับไม่ยอมให้รักษา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตัดสินใจโอดครวญ ร้องจะให้คนเอาเชือกหรือมีดมาสังหารนางเสียเพื่อหาความสงบให้ตนเอง
นายหญิงรองเห็นดังนั้นก็คว้าตัวเจินสือเหนียงไว้และยิ้มพูด “ในเมื่อมาแล้ว ท่านหมอเจี่ยนอย่าเพิ่งรีบร้อนกลับไปเลย ท่านราชมนตรีใกล้จะประชุมเสร็จแล้ว เรื่องนี้รอให้ราชมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจดีกว่า” ไม่รอให้เจินสือเหนียงปฏิเสธ นางหันไปสั่งหงเอ๋อร์ “ส่งท่านหมอเจี่ยนกลับไปพักที่ห้อง”
น่าขัน ขืนปล่อยนางไปอย่างนี้ หากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรไป แพร่ออกไปว่าเป็นเพราะนายท่านรองไม่ยอมให้รักษา มิเท่ากับความผิดตกอยู่กับพวกนางสองสามีภรรยาหรือ! ราชมนตรีเซียวเป็นประมุขของบ้าน เรื่องนี้ให้เขาเป็นคนตัดสินใจดีกว่า จะรักษาก็ดี ไม่รักษาก็ช่าง ขอเพียงเป็นคำสั่งเขา ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะตายหรือจะอยู่ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา!
หลังประชุมเช้าเซียวอวี้ถูกฮ่องเต้เรียกตัวไว้ในห้องทรงอักษร กว่าจะกลับถึงจวนก็เข้ายามโหย่วแล้ว
“นางจะผ่าจมูกของมารดา?” ฟังเซียวหย่งสามีภรรยาเล่าจบ ดวงตาของเซียวอวี้ฉายแววตระหนก หัวคิ้วขมวดมุ่น
“อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่เจ็บก็ทำให้ตายได้แล้ว” เซียวหย่งทำหน้าขุ่นแค้น “ข้าคิดว่าเรื่องนี้เหลวไหลมาก แต่มารดากลับยืนกรานจะรักษา!”
เงียบอยู่นานเซียวอวี้จึงเอ่ยว่า “ใช้มีดผ่าตัดเคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ตำราหวาถัวบันทึกไว้ว่าหากโรคเกิดอยู่ภายใน มิอาจใช้เข็มหรือยาได้ย่อมต้องผ่าตัดและใช้ยาชา…” เซียวอวี้ครุ่นคิด “ ‘คัมภีร์หวงตี้ บรรพหลิงซู’ ก็มีบันทึกวิธีการยับยั้งรักษาโรคเช่นนี้” ด้วยเป็นคนอ่านหนังสือหลากหลาย เซียวอวี้จึงพอรู้เรื่องการรักษาโรคอยู่บ้าง “การผ่าตัดของหมอเจี่ยนฟังดูน่าตกใจ แต่หาใช่มีขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ความเจ็บปวดจากการตัดจมูก…” เขาส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อ เห็นชัดว่ามีท่าทีต่อต้าน
“แต่หากไม่ผ่าตัด อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงในทุกวันของมารดาก็สร้างความเจ็บปวดเช่นกัน” เซียวอวี้ถอนหายใจอีกครั้ง “สุราฤทธิ์แรงใช้แทนยาชาได้ ได้ยินแม่ทัพเสิ่นบอกว่าเวลาทหารแนวหน้าแขนขาขาดและต้องทำความสะอาดบาดแผลที่เน่า ส่วนใหญ่มักดื่มสุราฤทธิ์แรงลงไปก่อน” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าเพียงแต่กังวลว่าวิชาแพทย์ของหมอเจี่ยนจะล้ำเลิศเหมือนที่เล่าลือหรือไม่” เขาเงยหน้าทันใด “ตอนนางเสนอวิธีนี้ บอกหรือไม่ว่ามีความมั่นใจกี่ส่วน”
“เรื่องนี้…” น้ำเสียงของเซียวหย่งชะงัก พอได้ยินว่าจะเปิดจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว เขาก็ร้อนใจ ไม่ยินยอมให้รักษา ไหนเลยจะถามเรื่องพวกนี้เล่า
“เนื่องจากต้องรอพี่ใหญ่กลับมาตัดสินใจ เรื่องนี้จึงยังไม่ได้ถาม” เห็นเซียวหย่งกระอักกระอ่วน นายหญิงรองจึงกล่าวแทรกขึ้น “แต่หมอเจี่ยนผู้นี้มีความสามารถจริง ตอนบ่ายฮูหยินผู้เฒ่าปวดศีรษะรุนแรงและเชิญนางเข้าไป นางฝังเข็มทีเดียวฮูหยินผู้เฒ่าก็ดีขึ้น จนป่านนี้ยังไม่ร้องปวดศีรษะอีกเลย”
ฝังเข็ม? เซียวอวี้ตาเป็นประกาย “หากการฝังเข็มใช้ได้ผล พวกเราจ่ายเงินให้นางมากหน่อย ให้นางอยู่ในจวนคอยฝังเข็มให้มารดาทุกวัน”
“เรื่องนี้ไม่ต้องให้พี่ใหญ่พูด” นายหญิงรองส่ายหน้าจนใจ “เห็นนางฝังเข็มได้ผล ข้ากับนายท่านรองถามนางตอนนั้นแล้ว นางบอกว่าฝังเข็มเป็นเพียงการทำให้เส้นเลือดในสมองปลอดโปร่งชั่วคราว หาใช่การรักษาที่ต้นเหตุ หากจะรักษาโรคของฮูหยินผู้เฒ่าต้องจัดการที่ต้นตอ”
ก็ใช่ เซียวอวี้ใบหน้าหม่นลงเมื่อคิดว่าแรกเริ่มตอนฮูหยินผู้เฒ่าปวดศีรษะ ยาระบายลมในศีรษะและยาแก้ปวดศีรษะยังบรรเทาได้ ทว่าตอนนี้กลับไม่ได้ผลเลย เขาเงียบอยู่นานก่อนจะเงยหน้า “ท่านหมอเจี่ยนอยู่ที่ใด”
“ในห้องรับรองแขก”
“ไปเชิญนางมา”
ไม่นานสาวใช้ก็พาเจินสือเหนียงเข้ามา
นายหญิงรองเข้าไปดึงมือนางอย่างสนิทสนม “ท่านนี้คือท่านราชมนตรี เพิ่งกลับจากวังหลวง อยากถามอาการของฮูหยินผู้เฒ่ากับท่าน” นางหันไปสั่งสาวใช้ “เตรียมที่นั่งให้ท่านหมอเจี่ยนแล้วยกน้ำชา” ท่าทีแตกต่างจากตอนกลางวันเหมือนเป็นคนละคน ทำเอาเจินสือเหนียงหัวใจเต้นรัว
“คารวะใต้เท้าเซียว” เจินสือเหนียงย่อกายให้เซียวอวี้เล็กน้อย ถือโอกาสนี้มองประเมินเขาไปด้วย
เขาสวมชุดแพรยาวสีเขียวใบไผ่ปักลวดลาย ใบหน้าขาวกระจ่างดุจหยก ดวงตารียาวเหมือนสุนัขจิ้งจอก แลดูลึกล้ำกระจ่างใส แตกต่างกับความเย็นชาน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเสิ่นจงชิ่งอย่างสิ้นเชิง หว่างคิ้วของเซียวอวี้ผู้นี้สะท้อนความสูงส่งของบัณฑิต ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและคลายความระแวดระวัง
“อาการป่วยของมารดาต้องผ่าตัดเท่านั้นหรือ” เซียวอวี้ถามเมื่อเห็นนางเข้ามา น้ำเสียงเป็นมิตรและเนิบช้า จิตใจที่ตึงเครียดของเจินสือเหนียงผ่อนคลายลง นางพยักหน้า “นี่เป็นหนทางเดียวที่ข้าคิดได้”
“มารดาอายุมากแล้ว ข้าเกรงว่านางจะทนรับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดไม่ไหว อืม…” เซียวอวี้ก้มหน้าใคร่ครวญ “หากต้องใช้มีด หมอเจี่ยนมีความมั่นใจเท่าไร”
“ห้าส่วน” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงหนักแน่นมั่นคง หากเป็นยุคปัจจุบันนางมีความมั่นใจถึงเก้าส่วน แต่สมัยโบราณไม่มียาปฏิชีวนะ อัตราการติดเชื้อหลังการผ่าตัดสูงกว่ายุคปัจจุบันเป็นสิบเป็นร้อยเท่า แม้นางจะอยากช่วยฮูหยินผู้เฒ่าเซียวมากเพื่อจะได้ผูกไมตรีกับต้นไม้ใหญ่อย่างเซียวอวี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาคุยโม้เรียกความเชื่อใจจากผู้อื่น นางต้องพูดไปตามความจริง
ดวงตาของเซียวหย่งสาดประกายเยียบเย็น “มีความมั่นใจแค่ห้าส่วนเจ้ายังกล้าเสนอ!”
“นี่เป็นหนทางเดียวในการรักษาฮูหยินผู้เฒ่าที่ข้าคิดได้” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปของนางยังคงราบเรียบ ปราศจากความร้อนใจ
เซียวอวี้อดเหลือบมองนางไม่ได้และโบกมือให้เซียวหย่งเงียบ จากนั้นถามเจินสือเหนียง “หากไม่ผ่าตัด อาการป่วยของมารดาจะเป็นอย่างไร” น้ำเสียงยังคงสุขุมดุจเดิม จับกระแสอารมณ์ไม่ออก
เจินสือเหนียงลอบพิจารณาเขาอยู่นาน แต่กลับดูไม่ออกว่าในใจเขากำลังโมโหเหมือนเซียวหย่งหรือไม่ จึงตอบช้าๆ ว่า “หากไม่ตัดทิ้งโดยเร็ว ติ่งเนื้อจะขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ อาการปวดศีรษะและหายใจติดขัดของฮูหยินผู้เฒ่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ” นางส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อ
“จะ…” เสียงของเซียวอวี้ชะงัก “มีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่”
เซียวหย่งกับนายหญิงรองนั่งตัวตรง จับจ้องเจินสือเหนียงตาไม่กะพริบ
ปกติแล้วโรคริดสีดวงจมูกไม่ทำให้คนตาย แต่ว่า… เจินสือเหนียงลังเลเล็กน้อย “หากปล่อยให้ติ่งเนื้อขยายใหญ่ ข้ามิอาจรับรองได้” ติ่งเนื้อของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ใกล้คอหอย หากปล่อยให้โตต่อไป เจินสือเหนียงไม่กล้ารับประกันจริงๆ ว่ามันจะอุดลำคอ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหายใจไม่ออกหรือเปล่า
“นี่ก็ไม่กล้ารับรอง นั่นก็ไม่มีความมั่นใจ!” เซียวหย่งตบโต๊ะอย่างเหลืออด “หมออย่างพวกเจ้ามีไว้ทำอะไร!”
นายหญิงรองรีบดึงเซียวหย่งไว้และคลี่ยิ้มให้เจินสือเหนียง “นายท่านรองอารมณ์ร้อน ท่านหมอเจี่ยนอย่าได้ถือสา” ก่อนจะพูดแทนนางว่า “โรคของฮูหยินผู้เฒ่ารักษายาก หาหมอตั้งเท่าไรก็รักษาไม่หาย วิธีผ่าตัดของท่านหมอเจี่ยนแม้จะมีความมั่นใจอยู่เพียงห้าส่วน แต่นี่เป็นหนทางเดียวในการรักษา” นางยิ้มมองเจินสือเหนียง “…ใช่หรือไม่”
เจินสือเหนียงตกใจ นางคัดค้านการผ่าตัดของข้ามากที่สุด เมื่อกี้ยังให้มู่สี่สาวใช้รุ่นใหญ่มาเตือนข้า ไฉนตอนนี้จึงช่วยพูดแทนข้าเสียเล่า ในใจเต็มไปด้วยความงุนงง แต่เจินสือเหนียงไม่กล้ารีรอ ยิ้มอย่างขออภัยทันที “อภัยที่ข้าความรู้ตื้นเขิน”
เซียวหย่งแค่นเสียงหึสะบัดหน้าไปอีกทาง
เซียวอวี้ตรึกตรองครู่ใหญ่ “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของมารดา ข้าขอปรึกษากับหมอหลวงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” เขาหันไปสั่งสาวใช้ “พาท่านหมอเจี่ยนไปพักผ่อน”
ภายหลังเซียวอวี้เชิญหมอหลวงเวินและหมอหลวงคนอื่นๆ มาในคืนนั้นเลย ภายใต้การยืนกรานที่จะไม่เปิดเผยโฉมหน้าของเจินสือเหนียง สุดท้ายจึงหารืออาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าผ่านม่าน หมอหลวงเวินใช้ท่อนิ่มสอดเข้าไปในโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อทำการทดสอบตามคำชี้แนะของเจินสือเหนียง ไม่นานต่างพร้อมใจกันเห็นด้วยกับการวินิจฉัยของนาง
ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวมีเนื้องอกอยู่ด้านหลังโพรงจมูกจริงๆ
แต่ที่สมาชิกตระกูลเซียวคิดไม่ถึงคือ พอรู้ถึงสาเหตุของโรค วาจาของหมอหลวงเวินและคนอื่นๆ กลับน่าตกใจยิ่งกว่าเจินสือเหนียงเสียอีก “เนื้องอกชนิดนี้เติบโตเร็ว ช้าเร็วลำคอของฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องถูกปิดกั้นทั้งหมด” หมอหลวงเวินยกตัวอย่าง “ชาวบ้านมีโรคชนิดหนึ่งที่ทำให้คอใหญ่ เรียกว่าเนื้องอกเช่นกัน เพียงแต่เกิดบริเวณลำคอ แรกเริ่มคอจะหนาใหญ่ ภายหลังเนื้องอกขยายขนาดขึ้น ถึงขั้นย้อยลงมาบนหน้าอกจนผู้ป่วยทนรับน้ำหนักไม่ไหว เนื้องอกเกิดขึ้นภายนอกยังสร้างปัญหาถึงเพียงนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ในโพรงจมูก…” หมอหลวงเวินส่ายหน้า
คำพูดต่อจากนั้น แม้ไม่เอ่ยออกมาทุกคนก็เข้าใจ
โรคคอใหญ่คือโรคคอพอก เกิดจากการขาดสารไอโอดีน ปัจจุบันด้วยความแพร่หลายของไอโอดีนทำให้พบเห็นโรคนี้ได้น้อย แต่สมัยโบราณกลับมีคนเป็นโรคนี้มาก โรคนี้กับโรคริดสีดวงจมูกเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าการแพทย์ในสมัยโบราณมีข้อจำกัด เห็นว่าเป็นเนื้อที่งอกเกินออกมาเหมือนกัน หมอหลวงเวินจึงจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกัน เนื่องจากไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม เจินสือเหนียงจึงไม่พูด ได้แต่ฟังเงียบๆ อยู่ข้างหลังม่าน
โรคคอใหญ่นี้เซียวอวี้ก็เคยพบเห็น คิดถึงขนาดของเนื้องอกใต้คอและการขยายตัวอย่างรวดเร็วแล้ว เขาสั่นสะท้านขึ้นทันที “เช่นนี้หมายความว่าต้องตัดออกเท่านั้นใช่หรือไม่” เขาเหลือบมองเข้าไปในม่านอย่างละอายใจ ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าเจินสือเหนียงบอกว่าโรคนี้ต้องผ่าตัด แต่กลับไม่รับรองผลนั้นเป็นอุบายอย่างหนึ่ง อยากได้เงินแต่ก็จะปัดความรับผิดชอบออกไปตั้งแต่ต้น
“ใต้เท้าราชมนตรีจะผ่าตัดไม่ได้เด็ดขาด!”
เหนือความคาดหมาย พอหมอหลวงเวินและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี้ของเซียวอวี้ต่างพากันส่ายหน้า
เซียวอวี้สะดุ้งโหยง “ทำไมล่ะ” เขาหันไปมองเจินสือเหนียงที่อยู่ในม่านโดยไม่รู้ตัว ใจคิดว่า นางบอกว่าผ่าตัดได้มิใช่หรือ
“บริเวณมุมปากไปถึงสันจมูกถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมอันตราย ใช้มีดไม่ได้ หากไม่ระวังเกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต”
บรรดาหมอหลวงมองหน้ากัน สุดท้ายหมอหลวงเวินอธิบายว่า “อย่าว่าแต่จมูกเลย แม้แต่สะโพกยังไม่อาจผ่าตัดส่งเดช คราก่อนใต้เท้าเฉียนเป็นฝีที่เท้า ตัดทิ้งไปไม่ถึงครึ่งเดือน บาดแผลก็เน่าจนเสียชีวิต” ครั้นคิดได้ว่าสามวันก่อนเพิ่งไปร่วมพิธีศพของใต้เท้าเฉียน ทุกคนในห้องพลันเงียบกริบ
นั่นเป็นเพราะไม่ได้ฆ่าเชื้อให้ดี บาดแผลติดเชื้อต่างหาก! ฟังคำพูดของหมอหลวงเวินแล้ว เจินสือเหนียงเดาว่าใต้เท้าเฉียนน่าจะติดเชื้อบาดทะยัก นางถอนหายใจเบาๆ “เหตุที่มุมปากไปจนถึงสันจมูกถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมอันตรายเพราะเชื่อมต่อกับตา หัวสมอง และลำคอ ภายในมีหลอดเลือดอยู่มาก หากได้รับบาดเจ็บหรือติดเชื้อ…” คิดได้ว่าสมัยโบราณยังไม่มีคำว่าแบคทีเรียและสารพิษ เจินสือเหนียงชะงัก “จะทำให้โรคลามไปถึงสมองและเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ว่า…” นางแย้ง “นั่นหมายถึงกับคนที่ไม่รู้วิชาแพทย์ สำหรับหมอที่คุ้นเคยกับโครงสร้างของจมูกย่อมทำการผ่าตัดได้”
“หมอเจี่ยนหมายความว่าสามารถตัดทิ้งได้หรือ” หมอหลวงเวินผุดลุกขึ้นทันใด มองเงาเลือนรางแบบบางในม่านอย่างเหลือเชื่อ
เจินสือเหนียงน้ำเสียงมั่นคง ไม่ปรากฏแววร้อนรน “ข้ามีความมั่นใจห้าส่วนว่าจะสามารถตัดเนื้องอกนั้นออกมาได้”
ห้าส่วน? นี่หมายความว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีโอกาสตายครึ่งหนึ่ง!
มองจากมุมของญาติแล้วอัตราส่วนนี้ต่ำมาก หากเป็นกรณีทั่วไปใครก็ไม่กล้าเสี่ยง ฟังเป็นเรื่องขำขันเท่านั้น แต่เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งบอกว่าเนื้อชิ้นนี้ตัดไม่ได้ บัดนี้เจินสือเหนียงบอกว่ามีความมั่นใจห้าส่วนมิเท่ากับตบหน้าพวกเขาหรอกหรือ
บรรดาหมอหลวงหน้าแดงสลับขาว หมอหลวงหลี่ที่เงียบมาตลอดซักถามขึ้น “ต่อให้เข้าใจโครงสร้างจมูก แต่ก็ต้องให้ผู้ป่วยนอนนิ่งให้เจ้าใช้มีด หมอเจี่ยนเคยคิดหรือไม่ว่าความเจ็บปวดจากมีดกรีดสร้างความทรมานมาก ฮูหยินผู้เฒ่าจะอดทนกับความเจ็บปวดนอนนิ่งอยู่ได้อย่างไร” เขามองเงาเลือนรางในม่านด้วยสายตาคาดคั้น “หมอเจี่ยนจะแก้ปัญหาเรื่องความเจ็บนี้อย่างไร”
นี่เป็นเรื่องที่เซียวอวี้กังวลเช่นกัน
พอหมอหลวงหลี่พูดจบ สายตาทุกคู่ก็พุ่งไปยังเงาเลือนรางหลังม่านทันที
“เรื่องนี้…” เจินสือเหนียงลังเลเล็กน้อย “ข้ามียาสูตรลับของบรรพบุรุษที่สามารถทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะได้”
“ยาชา!” ทุกคนตระหนก หมอหลวงเวินโพล่งออกมา “หมอเจี่ยนบอกว่าท่านมียาชาของหมอเทวดาหวาถัวหรือ”
เจินสือเหนียงส่ายหน้า “เป็นตำรับท้องถิ่นของบรรพบุรุษ” ยาชาในกล่องยาของนางดีกว่าของหวาถัวเยอะ นั่นเป็นผลผลิตในอีกพันปีให้หลัง
“ข้าขอพิสูจน์ตำรับยาของหมอเจี่ยนหน่อยได้หรือไม่” หมอหลวงเวินตื่นเต้นจนเสียงสั่นเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องเงาแบบบางหลังม่านโดยไม่กะพริบ
เจินสือเหนียงส่ายหน้า “บรรพบุรุษสั่งไว้ว่าตำรับยานี้มิอาจให้ผู้อื่นเห็น” ส่วนผสมที่ใช้ในการทำยาชาของนางไม่ได้มาจากยาจีนทั้งหมด หากเอาออกมาให้ผู้อื่นดูย่อมก่อให้เกิดปัญหา
หมอหลวงเวินหน้าแดง ในห้องพลันเงียบสนิท นอกม่านห่างไปหลายจั้ง เจินสือเหนียงได้ยินเสียงหอบหายใจฟืดฟาด
หมอหลวงหลี่ผุดลุกขึ้นทันใดและประสานมือให้เซียวอวี้ “ในเมื่อมีบุคคลสูงส่งอยู่ในจวนราชมนตรี ผู้น้อยขอลา” น้ำเสียงนอบน้อม แต่กลับแฝงแววประชดเสียดสี
ขอดูสูตรลับเรียกว่าให้หน้าเจ้า! ก็แค่เด็กสาวที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าปฏิเสธคำขอของรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงต่อหน้าทุกคน สำนักแพทย์หลวงไม่เคยต้องขายหน้าแบบนี้มาก่อน เขาไม่เชื่อว่าหมอหลวงที่มีวิชาแพทย์สูงส่งตั้งหลายคนจะสู้เด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งไม่ได้ นางบอกว่าทำได้ก็ปล่อยให้นางทำไป รอไว้คนตายเมื่อไรย่อมมีผู้เอาความ!
เซียวอวี้กำลังจะพูด แต่หมอหลวงคนอื่นๆ พากันลุกขึ้น หมอหลวงเวินขยับปากอยากพูดอะไร เห็นทุกคนลุกกันหมด เขาจึงลุกตาม
คนพวกนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในสำนักแพทย์หลวง ไม่ว่าใครนางก็มิอาจล่วงเกินได้ เห็นบรรดาหมอหลวงไม่เกรงใจนางเช่นนี้ มือที่กำแน่นของนางสั่นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนข้อได้เปรียบหายไป ไม่ยอมให้นางผ่าตัดไม่เป็นไร กลัวแต่ว่ากลับไปเมืองอู๋ถงครั้งนี้ แม้แต่ยานางก็ขายไม่ได้แล้ว สมัยก่อนเป็นหมอไม่ต้องใช้ใบอนุญาตและไม่มีข้อกำหนดด้านคุณสมบัติใดๆ ก็จริง แต่อีกฝ่ายเป็นถึงหมอหลวงผู้สูงส่ง จะกำจัดหมอชาวบ้านที่ไร้ที่พึ่งพิงอย่างนางใช้แค่ปากก็เพียงพอ
นางไม่อยากสิ้นเปลืองเวลาที่เหลืออย่างจำกัดของตนเองไปกับการต่อสู้กับบรรดาหมอหลวงพวกนี้ เจินสือเหนียงคิดไปต่างๆ นานา กำลังขบคิดว่าจะกอบกู้สถานการณ์อย่างไรก็เห็นเซียวอวี้ประสานมือให้นางอยู่นอกม่าน “โรคของท่านแม่ต้องรบกวนท่านหมอเจี่ยนแล้ว หากต้องการสิ่งใด ท่านหมอเจี่ยนเขียนรายการมาได้เลย ข้าจะให้คนไปจัดเตรียม”
เขาตกลงแล้ว?!
เจินสือเหนียงผงะ ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า หากสามารถรักษาฮูหยินผู้เฒ่าได้ หมอหลวงพวกนั้นย่อมไม่น่ากลัวอีกต่อไป
เซียวหย่งได้ยินเซียวอวี้กล่าวดังนั้นก็พลันหน้าแดงขึ้นทันใด “พี่ใหญ่!”
“นายท่านรอง…” นายหญิงรองกดตัวเขาไว้ “หลงจู๊ชิวจากร้านขายของมารอท่านนานแล้ว” ก่อนจะลากตัวเซียวหย่งออกไปอย่างแนบเนียน
“ทำไมต้องห้ามข้า!” พอพ้นประตูเซียวหย่งก็ถามนายหญิงรองอย่างดุดัน “นางมีความมั่นใจแค่ห้าส่วนเท่านั้น!” แบบนี้ต่างจากการถือมีดฆ่าคนตรงไหน
“พี่ใหญ่ทำไปด้วยความหวังดี” นายหญิงรองถอนหายใจ “หมอหลวงบอกแล้วว่าหากไม่ตัดเนื้องอกทิ้ง ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตายแน่นอน บัดนี้มีโอกาสรอดชีวิตถึงห้าส่วน ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเสี่ยงดูสักตั้ง”
เซียวหย่งยังไม่ยินยอม “บุ่มบ่ามตัดสินใจเช่นนี้ หากมารดาเป็นอะไรไป พี่ใหญ่ยังจะมีหน้าไปพบบิดาอีกหรือ”
นี่แหละสิ่งที่นางต้องการ! หมอหลวงบอกแล้วว่าหากผ่าตัดจะต้องตาย แต่ราชมนตรียังยืนกรานให้หญิงบ้านนอกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้รักษา หากสวรรค์เข้าข้างนาง รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าตายเมื่อไร ราชมนตรีรู้สึกผิดและไว้ทุกข์ ย่อมมิอาจแต่งภรรยาในสามปีห้าปีนี้ เช่นนั้นอำนาจในการจัดการธุระภายในจวนย่อมอยู่ในมือนางอย่างมั่นคง!
ในใจลิงโลดแต่ใบหน้าของนายหญิงรองกลับฉายแววกังวล กล่าวโน้มน้าวว่า “แต่หากไม่กำจัดทิ้ง ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมทรมานเหมือนตายทั้งเป็น สุดท้ายก็ยากจะหนีพ้นความตายอยู่ดี”
คิดดูแล้วก็ใช่ สุดท้ายเซียวหย่งจึงล้มเลิกความคิดที่จะเขียนจดหมายถึงบิดา
วันที่สองหลังเลิกประชุมเช้า เซียวอวี้รีบร้อนกลับจวน นายหญิงรองกำลังจัดเตรียมยาและเครื่องใช้ตามรายการที่เจินสือเหนียงให้มา เห็นเขามาจึงยื่นรายการให้เขาดู “เครื่องมือบางอย่างหาซื้อในท้องตลาดไม่ได้ ข้าติดต่อโรงหล่อเงินให้เร่งผลิตออกมาแล้ว”
ผ้าขาว ผ้าฝ้ายโปร่ง มีด คีมคีบ ไหมทองแบบนิ่ม…
บนใบรายการมีภาพประกอบของเครื่องมือหน้าตาประหลาดสิบกว่าอย่างที่เซียวอวี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งไม่รู้ว่าเอามาทำอะไร แต่เขาเป็นขุนนางในราชสำนักมานานปี จึงมีนิสัยลุ่มลึกไม่แสดงความรู้สึกออกมา แม้ใจสงสัย แต่ปากไม่ได้เอ่ยถาม เพียงแต่ส่งเสียงอืม สายตาเลื่อนไปที่รายการยา ล้วนเป็นยาจีนที่พบเห็นบ่อยๆ ทั้งผลรวงหญ้าซย่าคูเฉ่า พลูคาว ผงโสมซานชี โสมตังกุย หนามเจ้าเจี่ยว และพิมเสน เขาไม่ใช่หมอ แม้จะดูอยู่นานก็ไม่รู้เรื่อง จึงส่งคืนให้นายหญิงรอง “ไปเตรียมการเถอะ”
นายหญิงรองรับมาและกำลังจะมอบให้สาวใช้ แต่ถูกเซียวอวี้เรียกไว้ “ไฉนจึงมีโสมด้วย” เขาขอรายการกลับมาก้มหน้าดูอย่างจริงจังอีกครั้ง บนใบรายการมีตำรับยาทั้งหมดสี่ตำรับ ตำรับสุดท้ายเป็นโสมอย่างเดียว
นายหญิงรองอ่านดูหลายครั้งแล้ว “เป็นโสมล้วนอย่างเดียว ให้ต้มเป็นน้ำแกงสำหรับดื่ม ท่านราชมนตรีคิดว่าไม่เหมาะสมหรือ”
“โสมเป็นของบำรุงที่มีฤทธิ์แรง มารดาอายุมาก ร่างกายอ่อนแอจนมิอาจรับการบำรุงได้ แล้วจะดื่มน้ำแกงโสมได้อย่างไร” ยาชนิดอื่นเขาไม่รู้ แต่โสมเขารู้จัก
นายหญิงรองตกใจ “นายท่านใหญ่พูดเช่นนี้ ข้าถึงนึกได้ว่าคนแก่มักบอกว่าโสมบำรุงคนแข็งแรง ไม่เหมาะกับคนอ่อนแอ หรือว่า…” หัวใจนางกระตุก น้ำเสียงหยุดชะงัก แม้แต่ความรู้พื้นฐานยังไม่รู้ หมอเจี่ยนผู้นี้เป็นหมอเถื่อนชัดๆ!
“ไปเชิญนางมา” เซียวอวี้ไม่เงยหน้า แต่เพ่งพิศตำรับยาในมืออย่างจริงจัง
นายหญิงรองสงบจิตสงบใจและหันไปส่งสายตาข้างหลัง สาวใช้คนหนึ่งวิ่งออกไปทันที
เจินสือเหนียงกำลังสอนหงเอ๋อร์ตัดผ้าฝ้ายอย่างดีออกเป็นแถบยาวประมาณหนึ่งนิ้ว สมัยโบราณไม่มีคีมห้ามเลือด แม้จะวาดรูปสั่งทำไปแล้ว แต่นางกลัวโรงหล่อเงินจะทำไม่ได้หรือทำได้แต่ใช้งานไม่ได้ ถึงเวลาคงได้แต่ใช้ผ้าห้ามเลือด เห็นว่าตัดได้พอประมาณแล้ว จึงสั่งหงเอ๋อร์ว่า “เอาไปต้มในน้ำเดือด”
ต้ม? ไม่กระมัง ไม่ใช่ของกินได้สักหน่อย
หงเอ๋อร์กะพริบตา คิดว่าตนเองฟังผิดไป
เจินสือเหนียงไม่เงยหน้า “จำไว้ว่าเวลาจะสั้นเกินไปไม่ได้ ตั้งเตาแล้วต้องต้มอย่างน้อยสองเค่อ”
ระหว่างพูดสาวใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน “ท่านราชมนตรีเชิญท่านหมอเจี่ยนไปห้องหลักเจ้าค่ะ”
หงเอ๋อร์อยากถามต่อ แต่เห็นเป็นคนของนายหญิงรองนางจึงรีบยกผ้าฝ้ายที่ตัดเสร็จแล้วออกไป
เจินสือเหนียงตามสาวใช้มาที่ห้องหลักของฮูหยินผู้เฒ่า เซียวอวี้ เซียวหย่ง และนายหญิงรองอยู่กันพร้อมหน้า เจินสือเหนียงนั่งลงบนที่นั่งแขก เซียวหย่งกำลังจะเอ่ยปาก แต่ถูกเซียวอวี้ยกมือห้ามไว้และเป็นคนเอ่ยขึ้นแทน “ท่านหมอเจี่ยนเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง คิดจะทำการรักษาเมื่อไหร่”
“ขาดเครื่องมือบางอย่างที่พรุ่งนี้ถึงจะส่งมา โพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องระบายเสมหะ…” เจินสือเหนียงครุ่นคิด “เช้าวันมะรืนแล้วกัน ช่วงเช้าแสงดี” แม้จะส่งจดหมายไปบอกสี่เชวี่ยแล้ว แต่เจินสือเหนียงไม่เคยห่างเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ นางคิดถึงและเป็นห่วงพวกเขาทุกวัน อยากจะรีบผ่าตัดให้เสร็จและกลับบ้านไวๆ
“อืม เช่นนั้นข้าจะลาหยุดวันมะรืน” เซียวอวี้พูดพลางยื่นตำรับยาให้เจินสือเหนียง เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เหตุใดจึงมีตำรับยามากมายเช่นนี้ ใช้อย่างไรบ้าง”
เจินสือเหนียงรับรายการแผ่นนั้นมา “ตำรับที่หนึ่งใช้กิน ตำรับที่สองใช้ภายนอก ตำรับที่สามใช้ล้างมือและล้างเครื่องใช้ระหว่างการผ่าตัด” สมัยโบราณไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ เจินสือเหนียงจึงใช้โสมขม พริกหอม เปลือกหวงป๋อ และสารส้มเผาซึ่งเป็นยาจีนที่มีสรรพคุณลดการอักเสบและฆ่าแบคทีเรียแทนน้ำยาฆ่าเชื้อ พอพูดถึงตำรับที่สี่ นางหยุดชะงัก
“ตำรับที่สี่เป็นโสมล้วน หมอเจี่ยนจะ…” เห็นนางหยุด นายหญิงรองจึงพูดต่อ
เจินสือเหนียงยิ้ม “โสมนั้นข้าใช้เอง”
“ท่านใช้!” นายหญิงรองร้องเสียงแหลม โสมมีถิ่นกำเนิดทางตอนเหนือ ตอนใต้ไม่มี โสมธรรมดาอายุสามปีอย่างน้อยก็มีราคาสิบกว่าตำลึง นี่เป็นการทุจริตชัดๆ! มีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ เป็นครั้งแรกที่นางเจอหมอที่ฉ้อโกงอย่างเปิดเผย ยังไม่ทันไรก็ขโมยโสมไปหนึ่งต้นเสียแล้ว หากมิใช่เพราะท่านราชมนตรีตาแหลมย่อมถูกนางตบตาไปแล้ว!
“ใช่” เจินสือเหนียงตอบเสียงเรียบราวกับไม่เห็นสายตาดุดันของนายหญิงรอง
ดวงตาเซียวอวี้ฉายประกายเหยียดหยัน แต่ถูกกลบไปอย่างรวดเร็ว เห็นเซียวหย่งทำหน้าถมึงทึงเหมือนจะเอาเรื่อง จึงโบกมือยิ้มว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้โสมก็ไม่ต้องต้ม หากท่านหมอเจี่ยนรักษามารดาจนหายดี ข้าจะให้คนส่งโสมไปให้ที่บ้าน” โรคของมารดายังต้องอาศัยบุคคลผู้นี้รักษา โบราณว่าล่วงเกินวิญญูชนดีกว่าล่วงเกินคนต่ำช้า* เขาเป็นถึงราชมนตรี แค่โสมต้นเดียวเขาให้ได้ เพียงแต่ของขวัญชิ้นนี้ต้องให้อย่างเปิดเผย!
“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงส่ายหน้า “วันมะรืนต้มไปพร้อมกันเลย”
นางถูกเปิดโปงซึ่งหน้า ใบหน้าจึงรักษาไว้ไม่อยู่แล้วกระมัง! เซียวอวี้นิ่วหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น สั่งนายหญิงรองว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้น้องสะใภ้ทำตามความต้องการของหมอเจี่ยนเถิด” เขาโบกมือให้เจินสือเหนียง “ท่านหมอเจี่ยนไปพักผ่อนเถอะ”
เดิมทีอยากถามอาการป่วยของมารดา แต่เซียวอวี้พลันรู้สึกรังเกียจ คร้านจะพูดกับนางอีกแม้แต่คำเดียว
แสงในห้องนอนมืดเกินไป ด้วยการเรียกร้องของเจินสือเหนียง เช้าวันที่สามฮูหยินผู้เฒ่าจึงถูกเคลื่อนย้ายไปยังโถงรับแขก ม่านหน้าต่างถูกถอดออกหมด แสงแดดเจิดจ้าส่องผ่านกระจกใสเข้ามา สว่างเป็นพิเศษ ใกล้เคียงกับไฟผ่าตัดในชาติก่อน เจินสือเหนียงพอใจมาก หยิบยาชาที่ทำสำเร็จรูปไว้แล้วออกมาจากกล่องยา ฮูหยินผู้เฒ่ากินแล้วหมดสติไปตั้งแต่ยังไม่พ้นหนึ่งเค่อ เจินสือเหนียงใช้ผ้าขาวที่ตัดไว้แล้วคลุมร่างฮูหยินผู้เฒ่า เหลือไว้เพียงบริเวณที่จะผ่าตัด ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่ทำขึ้นเองล้างมือ หยิบมีดผ่าตัดที่ฆ่าเชื้อแล้วขึ้นมาและวาดตำแหน่งไว้ตรงมุมจมูกของฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นกรีดมีดลงไปอย่างมั่นคง
ครั้งแรกที่ทำการผ่าตัดในสมัยโบราณอาจเกิดเหตุขัดข้องต่างๆ เจินสือเหนียงคิดไว้หมดแล้วและหาแผนการรับมือไว้เรียบร้อย คิดไม่ถึงว่าพอกรีดมีดลงไปก็ยังเกิดเหตุไม่คาดฝันอยู่ดี
การผ่าตัดต้องมีผู้ช่วย เจินสือเหนียงอบรมสาวใช้รุ่นใหญ่ทั้งสี่ของฮูหยินผู้เฒ่าไปแล้ว แนะนำเครื่องไม้เครื่องมือที่โรงหล่อเงินผลิตออกมาให้พวกนางรู้จักทีละชิ้น เพื่อจะได้ง่ายเวลาส่งให้นางตอนผ่าตัด คิดไม่ถึงว่าเตรียมพร้อมไว้อย่างดี พอถึงเวลาจริง เห็นปีกจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าถูกกรีด เลือดแดงฉานซึมออกมา ซีฮวาซีเยวี่ยจะร้องว่า “มารดาข้า!” ก่อนจะเป็นลมไป
เซียวอวี้กับนายหญิงรองที่เฝ้าอยู่นอกประตูพุ่งเข้ามา “มารดา!” เห็นฮูหยินผู้เฒ่าถูกคลุมด้วยผ้าขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนคนตายในโลงก็ไม่ปาน ส่วนเจินสือเหนียงถือมีดผ่าตัดสีเงินวาววับที่มีเลือดหยดติ๋งๆ นายหญิงรองร้องโหยหวน ก่อนจะเอนหงายไปข้างหลัง บ่าวหญิงสูงวัยข้างหลังรีบเข้ามาประคอง “นายหญิงรอง!”
คนที่เบียดอยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด เห็นนายหญิงรองเป็นลมก็คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ไหวแล้ว พากันร้องไห้คร่ำครวญ ห้องผ่าตัดตกอยู่ในความโกลาหล
“ออกไป ออกไปให้หมด!” เจินสือเหนียงหันมาไล่ น้ำเสียงเฉียบขาดอย่างเห็นได้น้อยครั้ง ที่นี่เพิ่งจะฆ่าเชื้อไป
เสียงร้องโวยวายเงียบลงทันใด ทุกคนทำอะไรไม่ถูก ต่างยืนอึ้งอยู่ที่เดิมมองหน้ากันไปมา สุดท้ายหันไปมองเซียวอวี้อย่างพร้อมเพรียง
“หากไม่อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไร ทุกคนออกไปให้หมด!” เจินสือเหนียงมองเซียวอวี้ น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
เซียวอวี้ได้สติ หันไปมองซีฮวา ซีเยวี่ยที่ลุกขึ้นจากพื้นในสภาพแข้งขาอ่อนและสั่งทุกคนว่า “ทุกคนออกไปรอข้างนอก”
“ซีฮวา ซีเยวี่ยกลัวเลือด ให้ซีชิว ซีชุนอยู่แทน!” เจินสือเหนียงสั่งอย่างเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ก่อนจะหันกลับไปยุ่งต่อ ไม่สามารถให้เลือดและไม่มีถังออกซิเจนในการช่วยชีวิตยามคับขัน อีกทั้งเปิดแผลออกมาแล้ว เสียเวลาหนึ่งเค่อก็เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนึ่งส่วน!
“บะ…บ่าวก็กลัวเลือดเหมือนกัน” เดิมทียังอกสั่นขวัญแขวน พอได้ยินเจินสือเหนียงจะให้พวกนางอยู่ต่อ ซีชิวตกใจขาสั่น ซีชุนเป็นลมไปทันที
เจินสือเหนียงปวดหัว จำต้องหยุดมืออีกครั้ง “เลือดออกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” น้ำเสียงจริงใจเจือความร้อนใจ “ปีกจมูกของฮูหยินผู้เฒ่ากรีดออกมาแล้ว จะหยุดไม่ได้ ข้าต้องการผู้ช่วยหนึ่งคน” เห็นซีชิวส่ายหัว นางจึงหลอกล่อ “ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่ามองเวลาข้าทำ มองแค่เครื่องมือในถาดเงินก็พอ คอยฟังคำสั่งข้าและส่งของให้โดยไม่ต้องเงยหน้าย่อมไม่น่ากลัว”
เห็นทุกคนจ้องตนเอง ซีชิวตัวสั่นระริก หางตาเหลือบเห็นซีชุนยังเป็นลมอยู่ข้างๆ จึงตัดสินใจเหลือกตาขึ้น แกล้งตายแบบนางด้วยอีกคน
“ให้ข้าลองดู” ขณะกำลังปวดหัว เซียวอวี้ก้าวออกมา
“ท่าน?” เจินสือเหนียงผงะ “เป็นผู้ช่วยต้องรู้จักเครื่องมือพวกนี้” หากผู้ช่วยเป็นใครก็ได้ นางคงไม่ต้องปวดหัวแบบนี้ เรียกบ่าวหญิงสูงวัยใจกล้าหน่อยเข้ามาก็สิ้นเรื่อง
“ข้าเคยเห็นใบรายการ” เซียวอวี้ม้วนแขนเสื้อทำท่าจะหยิบเครื่องมือในถาดเงิน “ท่านหมอเจี่ยนต้องการอะไรบอกมาได้เลย” ในใบรายการมีภาพประกอบ แต่ไรมาเขาความจำเป็นเลิศ สิ่งที่ผ่านตาแล้วไม่เคยลืม
“อย่าแตะ!” เจินสือเหนียงสะดุ้งโหยง รีบร้องห้ามเขาและชี้น้ำยาฆ่าเชื้อในอ่างไม่ไกลออกไปนัก “ท่านล้างมือให้สะอาดก่อน อย่าลืมว่าต้องใช้แปรงขัดซอกเล็บทั้งสิบให้สะอาด” พูดจบก็หันไปยุ่งง่วนต่อ
นางรังเกียจที่มือเขาสกปรก! ในฐานะขุนนางใหญ่และพระอาจารย์ผู้ช่วยที่อ่อนเยาว์ที่สุดของต้าโจว แม้แต่ราชเลขาเห็นเขาแล้วยังต้องเกรงใจ ไม่เคยมีใครออกคำสั่งกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน อีกทั้งยังเป็นสตรีคนหนึ่ง!
เซียวอวี้ก้มหน้ามองสองมือขาวกระจ่างสะอาดสะอ้านของตนเอง นิ้วมือทั้งสิบตัดเล็บเรียบร้อย สกปรกตรงไหน ดวงตาจิ้งจอกหรี่ลงน้อยๆ หากเป็นคนที่คุ้นเคยกับเซียวอวี้ดีต่างรู้ว่าเขาโมโหแล้ว น่าเสียดายที่เจินสือเหนียงไม่มีตาหลัง
ได้ยินข้างหลังเงียบ นางจึงเอ่ยเร่ง “เร็วเข้า!” นางอยู่ในภาวะตึงเครียดทั้งกายใจ คำพูดและการกระทำคล่องแคล่วรวดเร็วเหมือนตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเมื่อชาติก่อน ลืมไปสนิทว่านี่เป็นสมัยโบราณ ยามออกคำสั่งจึงสั้นกระชับเฉียบขาด
เซียวอวี้จ้องนางอยู่นานกว่าจะได้สติ สายตาเลื่อนไปหยุดที่ฮูหยินผู้เฒ่าที่นอนอยู่ใต้มีดผ่าตัดของนาง จู่ๆ เขาก็สะดุ้งกายราวกับถูกตัวต่อต่อย ปราดเข้าไปทางน้ำยาฆ่าเชื้อที่ทำจากสมุนไพรจีนในฉับพลัน
คีมห้ามเลือด คีม มีดผ่าตัด ผ้าโปร่ง บ่วงคล้อง…
ยามเผชิญหน้ากับช่องผ่าตัดของเจินสือเหนียงที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวและเต็มไปด้วยเลือด แม้แต่เซียวอวี้เองยังอกสั่นขวัญแขวน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษที่ผ่านโลกมามาก จึงตั้งสติได้โดยเร็วและทำตามคำสั่งสั้นกระชับของนาง ส่งเครื่องมือผ่าตัดให้นางทีละอย่าง
ไม่มีกล้องส่องโพรงจมูก เพื่อลดอาการบาดเจ็บให้น้อยที่สุด เจินสือเหนียงจึงใช้ไหมทองแบบนิ่มทำเป็นบ่วงคล้องที่ใช้ครั้งเดียวเลียนแบบเครื่องมือผ่าตัดริดสีดวงจมูกที่นิยมใช้บ่อยๆ ในชาติก่อน แต่ไม่มีคนคอยช่วยดึง การคล้องติ่งเนื้อขนาดใหญ่ในพื้นที่เล็กแคบจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เจินสือเหนียงระมัดระวังอย่างยิ่ง
ทรายละเอียดไหลลงมาตามท่อส่งของกาน้ำหยดทีละนิด หน้าผากของเจินสือเหนียงเต็มไปด้วยเหงื่อ นางกะพริบตา ออกแรงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสลัดหยาดเหงื่อที่บดบังสายตาออกไป
ในที่สุดก็คล้องได้! มือหนึ่งจับไหมทองแบบนิ่มที่โผล่มาจากปลายอีกด้านของบ่วงคล้อง…เคลื่อนลงไป…พยายามรัดให้แน่น…สำเร็จ!
เจินสือเหนียงพรูลมหายใจยาวๆ พอสมาธิหย่อนลง นางก็รู้สึกหน้ามืด “น้ำแกงโสม” นางร้องบอก
น้ำแกงโสม? เซียวอวี้มองถาดเงินตามความเคยชิน มีน้ำแกงโสมที่ไหนกัน เขามองหาอยู่สองรอบจึงตระหนัก น้ำแกงโสมไม่ใช่เครื่องมือ พอเงยหน้าก็เห็นน้ำแกงโสมใสบริสุทธิ์ตั้งอยู่บนชั้น รีบยกขึ้นและยื่นไปให้ รออยู่นานก็ไม่มีคนรับ เขาจึงเงยหน้า
เจินสือเหนียงกำลังดึงบ่วงคล้องในมือให้แน่นอย่างตั้งอกตั้งใจ ไหนเลยจะมีมือมารับน้ำแกงโสม อีกอย่าง มือนางเต็มไปด้วยเลือด คิดดูแล้วเซียวอวี้จึงตัดสินใจยกชามน้ำแกงไปจรดปากนาง
เจินสือเหนียงดื่มอั้กๆ ไปกว่าครึ่งชาม หลับตาสักครู่ รู้สึกว่าหัวใจเต้นสม่ำเสมอแล้วจึงสูดหายใจลึกๆ สองที ถือบ่วงคล้องไว้ในมือข้างเดียวและยื่นมือออกไป “กรรไกร…คีม…” นางใช้คีมค่อยๆ หนีบติ่งเนื้อสีแดงออกมา ยัดผ้าโปร่งห้ามเลือดเข้าไป ปล่อยท่อระบาย…ในที่สุดก็สำเร็จ! นางเงยหน้ามองกาน้ำหยด ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง
“เสร็จแล้วหรือ” เห็นเจินสือเหนียงใช้แถบผ้าเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดบนแก้มของฮูหยินผู้เฒ่า เลิกผ้าคลุมสีขาวออกและเอียงศีรษะฮูหยินผู้เฒ่าไปอีกด้านหนึ่ง เซียวอวี้เอ่ยถาม “มารดาจะเป็นอะไรหรือไม่” น้ำเสียงเจือความกระวนกระวาย ฮูหยินผู้เฒ่าหลับไม่ฟื้นเลย ไม่รู้เป็นเพราะยาชาหรืออะไร แบบนี้นับว่าสำเร็จหรือไม่
“อืม” เจินสือเหนียงใช้คีมคีบแถบผ้าโปร่งเปื้อนเลือดบนถาดทีละชิ้น “ดูอาการอีกสองวัน ถ้าบาดแผลไม่ติดเชื้อก็ไม่เป็นไร…ยี่สิบหก ยี่สิบเจ็ด…” นางก้มตัวหยิบผ้าชิ้นหนึ่งที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา ยี่สิบแปด ในโพรงจมูกมีอยู่สองชิ้น…จำนวนผ้าถูกต้องแล้ว!
เจินสือเหนียงรู้สึกร่างกายเบาหวิว ไม่มีแรงจะนับเครื่องมืออย่างอื่นอีก คิดได้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การผ่าท้อง นอกจากแถบผ้าแล้ว อัตราความเสี่ยงที่จะลืมเครื่องมืออื่นๆ ไว้ในโพรงจมูกแทบจะเป็นศูนย์ แต่การนับเครื่องมือให้ครบเป็นนิสัยอันเคร่งครัดที่ติดมาจากชาติก่อน นางจึงหันไปสั่ง “เรียกคนเข้ามาตรวจนับเครื่องมือตามรายการ เอาไปล้างทำความสะอาดแล้วต้มด้วยน้ำเดือดอีกสองเค่อ” น้ำเสียงคล่องแคล่วเฉียบขาด “จำให้แม่น จะต้องตรวจดูให้ครบตามจำนวนที่ระบุในใบรายการ ขาดไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว!”
ตาจิ้งจอกของเซียวอวี้อดหรี่ลงไม่ได้ นางเห็นเขาเป็นบ่าวจริงๆ หรืออย่างไร!
แค่ผ้าไม่กี่ชิ้นหายไปซื้อใหม่ก็ได้ จวนราชมนตรีไม่ขาดแคลนผ้าไม่กี่ชิ้นนี้หรอก ไฉนต้องนับอย่างจริงจังขนาดนี้ เซียวอวี้ที่ยืนอย่างเคร่งเครียดมาเกือบสองชั่วยามเต็มรู้สึกเหนื่อยจนขาสั่น เห็นเจินสือเหนียงนับแถบผ้าไม่หยุดก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ พอได้ยินนางออกคำสั่งกับเขาอีกแล้วจึงเงยหน้าด้วยความเหลืออด แต่พอเห็นใบหน้าซีดขาวราวกระดาษก็ผงะ คำพูดที่มาถึงปากถูกกลืนกลับไปทันที ก่อนจะตะโกนออกไปด้านนอก “ใครอยู่ข้างนอกบ้าง!”
คนที่เข้ามาก่อนคือบ่าวหญิงสูงวัยใจกล้าสองสามคน เห็นผ้าขาวบนตัวฮูหยินผู้เฒ่าถูกดึงออกแล้ว บาดแผลตรงปีกจมูกก็ปิดไว้เรียบร้อย จึงไม่ตกใจถึงเพียงนั้นอีก นายหญิงรองและคนอื่นๆ ทยอยกันเข้ามา
หงเอ๋อร์เดินไปหาเจินสือเหนียง กำลังจะเอ่ยปากกลับเห็นร่างกายของเจินสือเหนียงเอนมาที่นางทั้งหมด อดตกใจไม่ได้ “ไฉนท่านหมอเจี่ยนจึง…”
“ชู่ว์…” เจินสือเหนียงปิดปากหงเอ๋อร์ “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าประคองข้ากลับไปพักผ่อนสักครู่หนึ่งก่อน”
เวลาเกือบสองชั่วยาม แค่ยืนเฉยๆ พวกนางยังเหนื่อย แล้วหมอเจี่ยนจะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
หงเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองตื่นตกใจเกินไป เหลียวซ้ายแลขวา โชคดีที่ทุกคนต่างล้อมอยู่รอบแท่นสูงของฮูหยินผู้เฒ่า ไม่มีใครสนใจพวกนาง หงเอ๋อร์จึงเอ่ยเสียงค่อย “ห้องอุ่นทางตะวันออกไม่มีคน บ่าวประคองท่านไปพักผ่อนที่นั่นสักครู่นะเจ้าคะ”
หลังกำชับสาวใช้เสร็จ เซียวอวี้เงยหน้า เห็นเจินสือเหนียงถูกหงเอ๋อร์ประคองออกไปในสภาพเท้าเกือบจะลากพื้น เขายืดตัวตรงพลางครุ่นคิด
“ท่านหมอเจี่ยนไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ” พอถึงห้องอุ่นทางตะวันออก หงเอ๋อร์ช่วยเจินสือเหนียงถอดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดและหันไปรินน้ำ
“ข้าร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่เคยต้องยืนนานขนาดนี้” นางดื่มน้ำจากมือของหงเอ๋อร์ไปกว่าครึ่ง รู้สึกลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่ฝืนยิ้มกับหงเอ๋อร์
“ฝ่ายครัวเตรียมโจ๊กเห็ดหูหนูขาวใส่สาลี่ไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวจะไปตักให้ท่านหนึ่งชามนะเจ้าคะ” หงเอ๋อร์ก้มตัวถอดรองเท้าให้เจินสือเหนียง
“อืม” เจินสือเหนียงพยักหน้า “ข้านอนสักพัก ไว้โจ๊กมาแล้วค่อยเรียกข้า” กำลังจะหลับตาลง คิดอะไรได้จึงลืมตาร้องเรียกหงเอ๋อร์ไว้ “บอกนายหญิงรองว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังกินข้าวไม่ได้ อย่าให้ดื่มโจ๊กเด็ดขาด!”
เดิมทีคิดจะพักผ่อนครู่เดียว คิดไม่ถึงว่ากลับนอนไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม
นางค่อยๆ ลืมตา มองความหรูหรางดงามรอบด้าน เห็นการตกแต่งที่สวยประดุจแดนสวรรค์แล้วงุนงง นานทีเดียวถึงตระหนักว่าตนเองอยู่ในจวนราชมนตรี นางดีดตัวลุกขึ้นทันที “สวรรค์ ข้านอนไปนานขนาดนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
หงเอ๋อร์พิงเตียงงีบหลับอยู่ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็ลืมตาอย่างดีใจ “ในที่สุดท่านหมอเจี่ยนก็ฟื้นแล้ว!” เห็นเจินสือเหนียงมองตนอย่างงุนงงจึงอธิบายว่า “ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ทำเอาทุกคนตกใจแทบแย่เจ้าค่ะ”
“ข้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน?” น้ำเสียงไม่อยากเชื่อเจือความมึนงง คิดถึงก่อนหน้านี้ที่ตนเองเพิ่งหมดสติไปสองวันสองคืน เจินสือเหนียงรู้สึกหดหู่ เห็นทีร่างกายนี้คงใกล้จะหมดสภาพเต็มที!
“หมอหลวงเวินบอกว่าท่านเป็นโรคหยินพร่องเลือดพร่อง…” คิดถึงคำพูดของหมอหลวงเวินที่บอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน น้ำเสียงของหงเอ๋อร์ก็ชะงัก ลุกพรวดทันใด “ท่านราชมนตรีให้ฝ่ายครัวตุ๋นโจ๊กรังนกไว้ให้ท่าน บ่าวจะไปยกมาให้นะเจ้าคะ”
เจินสือเหนียงคว้าตัวนางไว้ “ช่วยข้าล้างหน้าหวีผมเร็ว ข้าจะไปดูอาการฮูหยินผู้เฒ่าก่อน”
หลังผ่าตัดยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นช่วงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง แต่นางกลับหลับไปเสียได้! มือที่หยิบเสื้อผ้าสั่นเล็กน้อย เจินสือเหนียงที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดไม่เคยกระวนกระวายถึงเพียงนี้ ทั้งที่รู้ว่าร่างกายตนเองไม่ไหว ทั้งที่รู้ว่าฝืนทำการผ่าตัดครั้งนี้ไม่ได้ แต่ยังดึงดันจะทำ…หากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรไป ชาตินี้นางคงยากจะสบายใจ!
“ท่านหมอเจี่ยนไม่ต้องร้อนใจ หมอหลวงเวินเพิ่งกลับไป ก่อนหน้านี้หมอหลวงเวินช่วยท่านเฝ้าดูอาการของฮูหยินผู้เฒ่าตลอดเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ปลอบเมื่อเห็นอาการประหม่าของนาง
“หมอหลวงเวินเพิ่งกลับไป?” เจินสือเหนียงเงยหน้าด้วยความยินดี “บาดแผลของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง แก้มบวมหรือไม่ มีไข้หรือเปล่า” หากมีอาการบวมหรือมีไข้แสดงว่าบาดแผลติดเชื้อ ที่นี่ไม่มียาปฏิชีวนะ ติดเชื้อหลังผ่าตัดเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิต
“เมื่อคืนบวมนิดหน่อย หมอหลวงเวินทำตามคำสั่งท่านและใช้ยาตามตำรับของท่าน ใช้น้ำแข็งประคบและให้ดื่มยา วันนี้ยุบลงแล้ว หมอหลวงเวินบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” นางคิดอะไรได้จึงพูดต่อ “ตำรับยาที่ใช้ภายนอกของท่านหมอหลวงเวินไม่รู้วิธีใช้ ท่านราชมนตรีจึงไม่ได้ใช้” เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย เซียวอวี้นับถือวิชาแพทย์ของนางจากใจจริง
“อ้อ…” เจินสือเหนียงพรูลมหายใจ “เรื่องนั้นไม่รีบร้อน”
นั่นคือตำรับยาหมิงฝานส่าน นำสารส้ม รากกันซุ่ย ไป๋เจี้ยงตัน กำมะถันแดงไปบดและผสมรวมกันด้วยน้ำมันหอม ใช้ทาภายนอก ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีผ้าชุบยาอุดอยู่ในโพรงจมูก ตอนนี้ยังใช้ยานั้นไม่ได้
หลังกินข้าวและไปดูอาการของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวแล้ว เจินสือเหนียงถูกเชิญไปที่โถงหน้า
“ขอบคุณแม่นางเจี่ยนมากที่ช่วยชีวิตท่านแม่ข้า” พอเข้าไปเซียวอวี้ก็คารวะนางอย่างเต็มพิธี คำเรียกขานเปลี่ยนเป็นแม่นางเจี่ยน ทำเอาเจินสือเหนียงสะดุ้งเฮือก รีบหลบไปด้านข้าง “ใต้เท้าราชมนตรีเกรงใจแล้ว ข้ารับไม่ไหวหรอก”
“เจ้ารับไหว!” เซียวอวี้มองนางอย่างลึกซึ้ง
เจินสือเหนียงรู้สึกละอาย เพราะตนเองไม่ได้อยากได้ความดีความชอบและการยกย่องที่มากมายเช่นนี้ เพียงแค่ไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวต้องตายก็นับว่าโชคดีแล้ว นางหรือจะกล้าเรียกตนเองว่าวีรบุรุษได้
หลังนั่งลง เซียวอวี้พิจารณาเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามว่า “ในฐานะหมอ แม่นางเจี่ยนต้องรู้อยู่แล้วว่าโสมเป็นยาที่มีฤทธิ์แรง บำรุงคนแข็งแรง แต่ไม่เป็นประโยชน์กับคนอ่อนแอ แล้วไยจึงต้มดื่มเองเล่า” หลังจากให้หมอหลวงเวินจับชีพจรให้นาง เซียวอวี้สงสัยเรื่องนี้มาตลอด สำหรับคนอื่นโสมอาจเป็นของบำรุงชั้นดี แต่สำหรับนางกลับเป็นยาพิษที่เอาชีวิตได้!
แน่นอนว่าเพื่อคบหาสมาคมกับท่านน่ะสิ! ร่างกายนางอ่อนแอ เดิมทีนางไม่ควรทำการผ่าตัดครั้งนี้ นี่หาใช่การเคี่ยวเออเจียว ทำเสียก็แค่ขาดทุนไม่เท่าไร แต่เป็นการผ่าตัด หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อยย่อมหมายถึงชีวิตคน เมื่อตัดสินใจจะทำแล้ว นางจึงจำต้องเสี่ยงด้วยชีวิต พอคิดว่าตนเองหลับไปอย่างไม่ได้เรื่องในช่วงเวลาสำคัญ เจินสือเหนียงยังนึกกลัวไม่หาย
ใจคิดเช่นนี้ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดตรงๆ ยิ้มตอบว่า “คิดว่าใต้เท้าคงทราบแล้ว ร่างกายข้าทนความเหนื่อยไม่ไหว เดิมทีไม่ควรฝืน แต่ได้รับการขอร้องอย่างจริงใจจากใต้เท้า ข้าไม่กล้าปฏิเสธและกลัวจะทำให้ท่านผิดหวัง จึงได้แต่ใช้โสมบำรุงร่างกายและฝืนอดทน” นางพรั่งพรูลมหายใจด้วยโล่งอก “อมิตาภพุทธ โชคดีที่ไม่เกิดข้อผิดพลาด”
นางถึงกับดื่มยาพิษดับกระหาย! คิดถึงการเข้าใจผิดนางก่อนหน้านี้ เซียวอวี้รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง คนไข้จ่ายเงิน หมอรักษาโรคเป็นเรื่องถูกต้องสมควร แต่หากได้รับการบังคับขู่เข็ญและต้องใช้ชีวิตตนเองไปช่วยผู้อื่น บุญคุณครั้งนี้ย่อมใหญ่หลวง…
“แม่นางเจี่ยนจิตใจกว้างขวางเปี่ยมด้วยคุณธรรม นับเป็นสตรีที่มีความองอาจเยี่ยงบุรุษคนหนึ่ง” เซียวอวี้เงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยอย่างประทับใจว่า “ท่านแม่ชอบท่านมาก หากไม่รังเกียจ แม่นางเจี่ยนอยู่ในจวนราชมนตรีเป็นหมอประจำตัวของท่านแม่เถอะ” เขามองนางอย่างจริงใจ “ได้หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากับใต้เท้าราชมนตรีเป็นคนสุภาพมีคุณธรรม ดีกับบ่าวไพร่อย่างยิ่ง ได้ทำงานอยู่ในจวนราชมนตรีนับเป็นบุญวาสนาที่เรียกร้องไม่ได้ ได้ยินคำพูดของเซียวอวี้แล้ว หงเอ๋อร์มองเจินสือเหนียงด้วยดวงตาเปล่งประกาย นางดีใจกับเจินสือเหนียงจากใจจริง
เหนือความคาดหมาย เจินสือเหนียงกลับส่ายหน้าอย่างสุภาพ “ขอบคุณในความปรารถนาดีของใต้เท้า แต่บ้านข้ามีการงานยิบย่อยมากมาย มิอาจปลีกตัวได้จริงๆ” นางไม่รังเกียจที่ต้องปิดบังชื่อแซ่และเป็นหมอส่วนตัวอยู่ในจวนราชมนตรี ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องดิ้นรนเหมือนมอดที่แค่อ้าปากก็มีกิน แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เล่าจะทำอย่างไร
หงเอ๋อร์ร้อนใจจนแอบกระตุกชายเสื้อเจินสือเหนียง ใต้เท้าราชมนตรีอายุอ่อนเยาว์แต่มีความสามารถไม่ธรรมดา นิสัยจึงหยิ่งทระนง ได้รับการยอมรับนับถือจากเขาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไฉนนางจึงปฏิเสธ
เซียวอวี้ผงะไปเช่นกัน เขารู้สึกเลื่อมใสเจินสือเหนียงจากใจจริง ถึงได้เอ่ยปากรั้งตัวนางไว้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ปากบอกว่าเพื่อให้นางตรวจโรคให้มารดา อันที่จริงเขาอยากใช้กำลังอันน้อยนิดของตนต่อชีวิตให้นางต่างหาก เป็นหมอแต่กลับป่วยหนักเช่นนี้ ไม่ใช่รักษาไม่เป็น แต่เพราะไม่มีเงินจะรักษา นางมีความสามารถอันน่าทึ่งเช่นนี้ แต่ชีวิตกลับสั้นนัก ทำให้เขานึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าความหวังดีจะถูกปฏิเสธ!
ครั้นได้สติ เซียวอวี้ยิ้มน้อยๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ฝืนใจ ภายหน้าหากแม่นางเจี่ยนมีอะไรสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลังแน่นอน”
นางรอประโยคนี้ของเขานี่แหละ! เจินสือเหนียงลังเลครู่หนึ่ง “ข้ามีเรื่องอยากขอร้องให้ใต้เท้าช่วยจริงๆ นั่นแหละ” ระหว่างพูดเจินสือเหนียงใบหน้าร้อนผ่าว โบราณว่าทำคุณไม่ควรหวังผลตอบแทน นางเพิ่งจะทำคุณไปก็เรียกร้องให้ผู้อื่นตอบแทนทันที เซียวอวี้ต้องคิดว่านางเป็นคนต่ำช้าน่ารังเกียจแน่นอน ทว่านางไม่มีเวลาจะรอต่อไปอีก หลายเดือนแล้วค่อยเอ่ยปากกับเขา
“แม่นางเจี่ยนมีเรื่องอะไรโปรดพูดมาได้เลย” เซียวอวี้ไม่คิดมาก เขาชอบที่เจินสือเหนียงขอร้องเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้
“เอ่อ…” เจินสือเหนียงเลื่อนสายตาไปที่กล่องยาในมือหงเอ๋อร์ “ข้าใช้เวลายามว่างปรุงยาลูกกลอนขึ้นมา ใต้เท้าจะช่วยแนะนำยาของข้าเข้าไปในสำนักแพทย์หลวงได้หรือไม่” หากยาลูกกลอนของนางเปิดตัวในสำนักแพทย์หลวงได้ นางย่อมสามารถเปิดโรงผลิตยาเป็นของตนเอง
“สำนักแพทย์หลวง?” เซียวอวี้หัวเราะอย่างสบายใจ “ต่อให้แม่นางเจี่ยนไม่พูดถึง ข้าก็จะพูดอยู่แล้ว หมอหลวงเวินเอ่ยชมวิชาแพทย์ของท่านไม่ขาดปาก อยากรู้จักท่านจากใจจริง พรุ่งนี้ข้าจะเชิญเขามาที่นี่ แม่นางเจี่ยนคุยกับเขาโดยตรงได้เลย เขาเต็มใจอย่างยิ่ง” กล่าวจบกลับเห็นเจินสือเหนียงส่ายหน้า เขาอดประหลาดใจไม่ได้ “ไฉนแม่นางเจี่ยนจึงไม่อยากพบเขา”
“เอ่อ…” เจินสือเหนียงตอบอย่างคลุมเครือ “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงสตรี แอบเป็นหมอนับว่าขัดต่อขนบธรรมเนียมแล้ว ยังจะคบหาสมาคมกับหมอหลวงอีกได้อย่างไร”
หากรู้สึกว่าขัดต่อขนบธรรมเนียม นางก็ไม่ควรเป็นหมอตั้งแต่แรก! เหตุผลนี้ขาดน้ำหนักเกินไปหรือไม่
เซียวอวี้เหลือบมองนางอย่างครุ่นคิด “เมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางเจี่ยนเขียนราคา ชื่อ และสรรพคุณของยาลงในกระดาษเถิด พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งไปยังสำนักแพทย์หลวง”
“ขอบคุณใต้เท้า” เจินสือเหนียงคารวะเขาอย่างเป็นทางการด้วยท่าทีจริงจัง “แต่ใต้เท้าโปรดอย่าเปิดเผยว่าโอสถพวกนี้เป็นของข้า” นางขอร้องเขา “ใต้เท้าโปรดวางใจ โอสถเหล่านี้ล้วนเป็นของชั้นดี หากไม่เชื่อสามารถให้หมอหลวงทั้งหลายลองใช้ก่อน ถ้าไม่ได้ผล ข้าไม่ขอรับเงินสักแดง”
“ยาลูกกลอนฝีมือท่าน ข้าเชื่อว่าไม่มีปัญหาแน่ เพียงแต่…” เซียวอวี้แย้งขึ้น “แม่นางเจี่ยนมีฝีมือในการรักษาโรคล้ำเลิศ ชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว ไฉนยาลูกกลอนนี้จึงไม่ทำเหมือนเออเจียวสกุลเจี่ยน ใช้ชื่อเสียงที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์” เขาส่ายหน้า “หากไม่ใช้ชื่อตระกูลเจี่ยน แม่นางเจี่ยนคิดจะส่งยาลูกกลอนเข้าไปในสำนักแพทย์หลวงคงลำบากไม่น้อย”
ไม่ลำบากย่อมไม่มาขอร้องท่าน! เจินสือเหนียงหัวเราะในใจ แต่ใบหน้ากลับฉายความลำบากใจ “ใต้เท้าราชมนตรีกล่าวถูกต้อง แต่ร่างกายข้าไม่อาจเหน็ดเหนื่อยต่อไปได้อีกแล้ว หากผู้อื่นรู้ว่าข้าปรุงยาได้ เกรงว่า…” นางส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อ
นางไม่ระวังทำให้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนโด่งดังเกินไป โอกาสที่เสิ่นจงชิ่งจะรู้ความจริงมีมากเหลือเกิน วิธีปิดบังหลบซ่อนมีมากมาย นางต้องรีบสร้างตัวแทนใหม่โดยเร็วที่สุด ปิดบังฐานะของหมอเจี่ยนอย่างแนบเนียนในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ให้เสิ่นจงชิ่งจับพิรุธนางได้
ส่วนเซียวอวี้กลับคิดในใจว่านางชื่อเสียงโด่งดังแต่ฐานะกลับต้อยต่ำ ยังไม่อาจปฏิเสธผู้มีอำนาจอย่างเขาได้ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป นางคงต้องเหน็ดเหนื่อยจนตายแน่ จึงมิสู้ปิดบังชื่อแซ่อยู่อย่างสันโดษ เขาไม่รู้ว่าเจินสือเหนียงกำลังเตรียมพร้อมล่วงหน้า พอนึกได้ว่าตนเองถูกนางปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับยังให้พ่อบ้านกู้นำรถม้าไปรับตัวนางมา เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย น้ำเสียงเจือแววกังวล “หากไม่มีชื่อเสียงอันโด่งดังสนับสนุน เกรงว่ายาลูกกลอนของแม่นางเจี่ยนคงยากจะเป็นที่รู้จักในช่วงเวลาสั้นๆ”
“สุราดีไม่กลัวตรอกลึก!” เจินสือเหนียงยิ้มอย่างมั่นใจ “ขอเพียงสำนักแพทย์หลวงยอมแนะนำยาของข้าก็พอแล้ว” ขอเพียงยาของนางได้ถูกนำไปใช้ในสำนักแพทย์หลวง จะต้องประสบความสำเร็จแน่!
ยามจับจ้องใบหน้าที่เปิดเผยมั่นใจประดุจดอกท้อเดือนสามของนาง ดวงตาของเซียวอวี้เปล่งประกายระยับ “ได้!” เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น