ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8
บทที่ 8
นายหญิงรองมองสาวใช้รุ่นใหญ่จินสี่อย่างตกตะลึง “นางรักษาฮูหยินผู้เฒ่าจนหายจริงๆ หรือ” ทั้งที่มีความมั่นใจอยู่เพียงห้าส่วน ไฉนจึงรักษาจนหายได้ล่ะ นางเพิ่งรับช่วงดูแลธุระภายในจวนสามเดือนเท่านั้น ยังไม่ทันจะคุ้นเคยกับเรื่องต่างๆ เลย
“ท่านหมอเจี่ยนเพิ่งจะดึงผ้าในโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าออกมา บอกว่าพักฟื้นอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ” จินสี่ผงกศีรษะ
“ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้บ่นว่าปวดศีรษะอีกหรือ” นายหญิงรองยังคงไม่ถอดใจ
“บอกแต่ว่าเจ็บแผลนิดหน่อยเจ้าค่ะ” จินสี่ส่ายหน้า “เพิ่งดื่มโจ๊กรังนกไปหนึ่งชาม ดูสดชื่นแจ่มใสกว่าเมื่อก่อนมาก”
นายหญิงรองกวาดถ้วยชาลงบนพื้นทันที “นังแพศยา! กล้าหลอกลวงข้า!” หากไม่เพราะอีกฝ่ายบอกว่ามีความมั่นใจเพียงห้าส่วน ไยตนต้องช่วยนางโน้มน้าวราชมนตรีกับนายท่านรองทุกวิถีทาง เดิมทีคิดจะยิงธนูนัดเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ยืมมือนางสังหารฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้เซียวอวี้ต้องติดอยู่กับความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้
“บ่าวเห็นนางไม่เหมือนพูดโกหกนะเจ้าคะ” จินสี่มองนายหญิงรองอย่างอกสั่นขวัญแขวน มีความมั่นใจห้าส่วนก็เท่ากับมีโอกาสที่จะรักษาหายครึ่งหนึ่ง จะเรียกว่าหลอกลวงได้อย่างไร หาไม่ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของท่านราชมนตรีจะยอมให้นางลงมือหรือ
“เจ้ายังจะพูดแทนนาง!” ดวงตาของนายหญิงรองสาดประกายเยียบเย็น
จินสี่รีบคุกเข่าลงทันที “บ่าวสมควรตาย!”
ระหว่างพูดมู่สี่ผลักประตูเข้ามา “ฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพมาเจ้าค่ะ”
“ไม่พบ!” นายหญิงรองกำลังโมโห เอ่ยคำพูดไปแล้วรู้สึกไม่ถูกต้องจึงเสริมว่า “ช้าก่อน พานางไปพบเจิ้งหมัวมัว” เจิ้งหมัวมัวเป็นผู้ดูแลสูงวัยที่มีหน้าที่ต้อนรับแขกผู้หญิงในจวนราชมนตรีโดยเฉพาะ
เป็นแค่อนุ ไม่หัดดูฐานะตนเองเสียบ้าง ยังคิดจะสมาคมกับนางที่เป็นนายหญิงของจวนราชมนตรี!
เจิ้งหมัวมัวได้รับคำสั่งก็รีบรุดมาหา “นายหญิงรองทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพผู้นี้แม้มีฐานะเป็นอนุก็จริง แต่จัดการธุระในจวนแม่ทัพมาห้าปีแล้ว เป็นที่รักใคร่ของแม่ทัพเสิ่นอย่างยิ่ง แต่ก่อนตอนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้จัดการธุระในจวน ล้วนให้นายหญิงใหญ่เป็นคนต้อนรับนาง นี่ถือเป็นกรณีพิเศษ”
นายหญิงรองนิ่วหน้า เรื่องนี้ใช่ว่านางไม่รู้ แต่นางมักรู้สึกว่าให้ตนซึ่งเป็นนายหญิงไปต้อนรับอนุของจวนแม่ทัพในห้องโถงหลัก เรื่องแพร่ออกไปมักถูกสงสัยว่าต้องการประจบเอาใจจวนแม่ทัพ นางได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานฉู่ซินอี๋ไปเยือนจวนอัครเสนาบดี คนที่ออกหน้าต้อนรับเป็นเพียงผู้ดูแลหญิงของจวนเท่านั้น ในแวดวงของสตรีชั้นสูง เรื่องพวกนี้แพร่ออกไปไวที่สุด
“อัครเสนาบดีเฉาเป็นขุนนางที่รับใช้องค์จักรพรรดิมาถึงสามสมัย ทั้งยังเป็นหัวหน้าสำนักราชเลขา พวกเราเทียบไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เจิ้งหมัวมัวลดเสียงเบา “บ่าวได้ยินคนของจวนแม่ทัพบอกว่า เพื่อยกฉู่อี๋เหนียงคนนี้ขึ้นเป็นภรรยาเอก แม่ทัพเสิ่นกำลังตกลงหย่า นายหญิงรองเข้าจวนมาภายหลัง ไม่ทราบว่าในอดีตจวนแม่ทัพแต่งฉู่อี๋เหนียงผู้นี้เข้ามาด้วยหกพิธี มีความตั้งใจจะยกเป็นภรรยาเอกแต่แรกอยู่แล้ว” นางเห็นนายหญิงรองยังลังเล จึงโน้มน้าวต่อ “หากจะพูดให้ละเอียด นายหญิงใหญ่ของเราเคยเป็นสหายสนิทกับเจินซื่อผู้นั้นด้วยซ้ำ ตามหลักแล้วไม่ต้องให้หน้าฉู่อี๋เหนียงผู้นี้เลย แต่ที่ผ่านมาจวนของเราก็ยังไว้หน้านางอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ”
บ้านเดิมของนายหญิงรองอยู่ในเมืองซินอัน เพิ่งแต่งเข้ามาเมื่อสี่ปีก่อน นางไม่รู้เรื่องใหญ่ที่เคยดังครึกโครมไปทั่วเมืองซั่งจิงเรื่องนี้ ฟังแล้วหัวเราะเสียงเย็น “ข้ากลับได้ยินมาว่าแม่ทัพเสิ่นตกลงหย่าขาดเพื่อแต่งคุณหนูสิบแห่งจวนอันชิ่งโหว” หากเป็นเช่นนี้จริง การต้อนรับฉู่ซินอี๋เหมือนเป็นแขกสำคัญย่อมเป็นการล่วงเกินจวนอันชิ่งโหว
อันชิ่งโหวเป็นพระสัสสุระที่มีอำนาจมหาศาล แค่กระทืบเท้าหน่อยเดียวก็สะเทือนไปทั่วทั้งเมืองซั่งจิง เป็นท่านโหวที่แม้แต่ฮ่องเต้เองยังต้องไว้หน้า
ข้างนอกมีข่าวลือเช่นนี้จริง ฉู่ซินอี๋เป็นที่รักใคร่เพียงใดก็มิอาจสู้อำนาจของตระกูลฝ่ายฮองเฮาที่คิดจะสนับสนุนเสิ่นจงชิ่งได้ อีกฝ่ายยอมยกบุตรสาวให้แต่งเป็นเอกภรรยาคนใหม่ของเขาก็นับว่าลดเกียรติมากแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธโอกาสนี้ เจิ้งหมัวมัวฟังแล้วก็เกิดความลังเล
“แต่ท่านราชมนตรีกับแม่ทัพเสิ่นเป็นสหายรักกัน หากไม่ต้อนรับเกรงว่าจะชี้แจงกับท่านราชมนตรีไม่ได้นะเจ้าคะ” จินสี่เอ่ยเตือน
นายหญิงรองนิ่วหน้าอย่างจริงจัง นานทีเดียวจึงเงยหน้าสั่งเจิ้งหมัวมัวว่า “เจ้าพาคุณหนูใหญ่ไปต้อนรับนางที่ห้องโถงหลัก บอกว่าข้าไม่อยู่”
คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวคนโตของเซียวหย่งที่เกิดจากอนุ ให้นางออกหน้า ทั้งไม่เสียหน้าและไม่ลดฐานะของจวนราชมนตรี นี่เป็นความคิดที่ดี!
เจิ้งหมัวมัวยิ้มพยักหน้า “นายหญิงรองความคิดล้ำเลิศ บ่าวจะไปเชิญคุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
พอเอาผ้าโปร่งห้ามเลือดออกจากโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่า เจินสือเหนียงก็อยากกลับบ้าน แต่เซียวอวี้ยืนกรานให้นางรอจนกว่าบาดแผลจะสมานตัวค่อยไป อีกฝ่ายเป็นถึงราชมนตรีที่มีอำนาจล้นเหลือ ต่อให้คิดถึงลูกชายเพียงใด นางก็ไม่อาจหนีจากไปดื้อๆ จำต้องอยู่ต่อ
เจินสือเหนียงไปเปลี่ยนยาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวแต่เช้า หลังจากนั้นมีเวลาว่างจึงหา ‘หนังสือแผนที่ต้าโจว’ จากในห้องหนังสือของเซียวอวี้มาเปิดดู
มาที่นี่ห้าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเขตแดนของต้าโจว ต้าโจวตั้งอยู่แถบเจียงหนาน ทิศตะวันออกติดทะเล ทิศเหนือมีแคว้นเยียนและฉี ทิศใต้มีแคว้นอี๋และเยวี่ย
มิน่าฮ่องเต้ถึงให้ความสำคัญกับเสิ่นจงชิ่งถึงเพียงนี้ ถึงกับมาต้อนรับเขาที่ประตูอู่เหมินด้วยองค์เองตอนเขาได้รับชัยชนะกลับมา ที่แท้เขาเป็นวีรบุรุษที่ทำศึกขยายดินแดนให้ต้าโจว ในเวลาห้าปีไม่เพียงปราบปรามวอโค่วทางทิศตะวันออก ยังรวมเอาแคว้นหนานอี๋และหนานเยวี่ยที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาอยู่ในแผนที่ด้วย ยังผลให้ดินแดนทางตอนใต้ทั้งสองต้องยอมจำนนให้ต้าโจว ข้าอยู่ในยุคที่แคว้นต่างๆ ล้วนมีอำนาจแข็งแกร่งหรอกหรือนี่!
ห้าปีมานี้นางคิดมาตลอดว่ามิตินี้เป็นยุครุ่งเรืองเหมือนสมัยราชวงศ์ถังและคังซี
เจินสือเหนียงวางหนังสือและเดินไปที่หน้าต่าง ใช้นิ้วมือปาดน้ำค้างแข็งสีขาวบนหน้าต่างออกไปทีละวง เผยให้เห็นแผ่นกระจกใสกระจ่าง
เสิ่นจงชิ่งเพิ่งปราบปรามแคว้นหนานเยวี่ย ทหารกำลังฮึกเหิม ต้าโจวเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามไม่น่าล่วงเกิน แต่ข้างนอกกลับลือกันทั่วว่าองค์หญิงหกจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายสองแห่งแคว้นฉีเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เป็นความจริงหรือ เพราะอะไรเล่า คิดถึงตรงนี้เจินสือเหนียงพลันสะดุ้ง
“วังหลวงพระราชทานมาให้ ท่านหมอเจี่ยนลองชิมดูสิเจ้าคะ” ความคิดในหัวกำลังสับสนยุ่งเหยิง หงเอ๋อร์ก็ยกจานขนมแป้งนึ่งผลไม้แห้งเข้ามาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
โดยปกติของพระราชทานจากวังหลวงแม้แต่คุณหนูหรือคุณชายที่เกิดจากอนุยังไม่ได้รับส่วนแบ่ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมอบให้ท่านหมอเจี่ยน เห็นได้ว่าเจ้านายที่นางปรนนิบัติอยู่นี้สูงศักดิ์เพียงใด พอคิดว่าสองสามวันมานี้สาวใช้จากเรือนอื่นๆ ต่างแย่งกันมอบของขวัญให้ตน แววตาที่หงเอ๋อร์มองเจินสือเหนียงก็เปี่ยมด้วยความเคารพเลื่อมใส
“อืม อร่อย” นางล้างมือและหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปาก นุ่มฟูหอมหวาน นิ่มแต่ไม่เหนียว เจินสือเหนียงหรี่ตา “ของในวังไม่เหมือนของชาวบ้านทั่วไปจริงๆ ด้วย เจ้าลองชิมดูสิ”
“บ่าวไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์พยายามกลืนน้ำลาย ดวงตากระจ่างวาววับจ้องขนมในจานเขม็ง
เจินสือเหนียงสงสัยว่าหากนางยังจ้องแบบนี้ต่อไป ลูกตาของนางจะหล่นลงไปในขนมหรือไม่ จึงเลื่อนจานขนมไปตรงหน้านาง กำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก สาวใช้ก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน “ฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพมาขอให้ท่านหมอเจี่ยนตรวจโรคให้เจ้าค่ะ”
ฉู่ซินอี๋มาที่นี่หรือ!
ปากที่กำลังเคี้ยวขนมหยุดชะงัก ถนนมักคับแคบเมื่อพบศัตรูจริงๆ
“คารวะคุณหนูใหญ่ คารวะฉู่อี๋เหนียงเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์เพิ่งเดินมาถึงประตู เจิ้งหมัวมัวกับคุณหนูใหญ่ก็พาฉู่ซินอี๋เข้ามาในเรือนแล้ว หงเอ๋อร์รีบย่อกายคารวะทุกคน “ท่านหมอเจี่ยนไม่อยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ”
“ไม่อยู่?” เจิ้งหมัวมัวยิ้มเชิญฉู่ซินอี๋เข้าไปในเรือน “ถูกเรือนไหนเชิญตัวไปตรวจโรคอีกแล้วล่ะ” พวกนางเพิ่งไปสืบดูที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า ซีชุนบอกว่าหมอเจี่ยนกลับไปแล้ว
หงเอ๋อร์ก้มหน้าอย่างร้อนตัว “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เจิ้งหมัวมัวหัวใจสะดุด หันไปมองฉู่ซินอี๋ “บังเอิญเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านดูสิ บ่าวจะ…”
“แป้งนึ่งผลไม้แห้ง!” ยังพูดไม่จบก็ได้ยินคุณหนูใหญ่ร้องออกมากะทันหัน “นี่เป็นของที่วังหลวงพระราชทานให้ท่านย่านี่” น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ของพระราชทานจากวังหลวงเจ้านายตัวจริงอย่างพวกนางยังไม่ได้รับแบ่ง แต่ท่านย่ากลับยกให้หมอชั้นต่ำคนหนึ่ง นางวิเศษวิโสมาจากไหนกัน
สายตาหยุดมองที่จานแก้วใสแวววาว ฉู่ซินอี๋หน้าเปลี่ยนสีทันใด เจิ้งหมัวมัวมองตามสายตาของฉู่ซินอี๋ไปยังขนมแป้งนึ่งผลไม้แห้งที่ถูกกัดไปหนึ่งคำ ใบหน้าพลันถอดสี ครู่หนึ่งจึงได้สติตวาดหงเอ๋อร์ “ไม่รู้ไยไม่ไปตามหา! ไม่เห็นหรือไรว่ามีแขกสำคัญ” คิดถึงนิสัยแปลกประหลาดของเจินสือเหนียงแล้ว เสียงของเจิ้งหมัวมัวจึงอ่อนลง “บอกท่านหมอเจี่ยนว่าฉู่อี๋เหนียงเป็นคนที่แม่ทัพเสิ่นประคับประคองอยู่ในอุ้งมือ หากรักษาโรคนางจนหายได้ แค่วาจาเพียงคำเดียวก็อาจทำให้นางได้ค้าขายกับกองทัพ มีเงินพอให้นางใช้ไปได้ชั่วชีวิต”
นี่หาใช่คำพูดเกินจริง นางเคยได้ยินนายท่านรองเซียวหย่งบอกว่า ยาสูตรลับของหมอเจี่ยนที่มีฤทธิ์คล้ายยาชาเป็นของที่ประเมินค่ามิได้ แม่ทัพเสิ่นเคยตั้งรางวัลไว้สูงก็ยังหาซื้อไม่ได้
“บ่าวจะไปตามหาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์รับคำและหมุนตัวจากไป
“ไม่ต้องแล้วล่ะ” ฉู่ซินอี๋คืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นดังเดิม “ข้าแค่ได้ยินว่าวิชาแพทย์ของนางล้ำเลิศ อยากจะพบสักหน่อยเท่านั้นเอง”
“แล้วอาการป่วยของท่าน…” เจิ้งหมัวมัวลังเลเล็กน้อย
“แค่โรคเล็กน้อยน่ะ หมอที่ไหนก็รักษาได้!” น้ำเสียงของฉู่ซินอี๋เจือความหยิ่งยโสและให้ชุนหงประคองเดินออกไป “เราไปกันเถอะ” ถึงอย่างไรการไม่ตั้งครรภ์ก็เป็นโรคที่บอกใครไม่ได้ ฉู่ซินอี๋บอกเจิ้งหมัวมัวเพียงว่าตนเองมักปวดศีรษะบ่อยๆ เท่านั้น
“ฉู่อี๋เหนียงเดินระวังด้วย” คุณหนูใหญ่พูดจบก็นั่งลงข้างขนมแป้งนึ่งผลไม้แห้ง ท่านแม่บอกเสมอว่าอี๋เหนียงมีฐานะสูงกว่าบ่าวหน่อยหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบ่าว ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องให้เกียรติตามไปส่ง
เห็นคุณหนูใหญ่ไม่มาส่งพวกนาง แถมยังทำท่ายโสโอหัง แม้แต่ชุนหงเองยังหน้าเปลี่ยนสี เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เจิ้งหมัวมัวเดินตามอย่างเก้อๆ ใจคิดว่าคุณหนูใหญ่ถูกนายหญิงรองอบรมจนเสียนิสัยแล้ว ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ มิสู้อย่าเชิญนางมาจะดีกว่า หากฉู่อี๋เหนียงผู้นี้นำความไปฟ้องเสิ่นจงชิ่ง จวนแม่ทัพย่อมเกิดความขัดแย้งกับจวนราชมนตรีไม่น้อย
เห็นฉู่ซินอี๋หน้าบึ้งไม่พูดจา เจิ้งหมัวมัวยิ่งคิดยิ่งตระหนก กลอกตาไปมาและรีบก้าวตามไป “ได้ยินว่าท่านแม่ทัพเสิ่นจะแต่งคุณหนูสิบของอันชิ่งโหว เป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ”
ฉู่ซินอี๋ชะงักทันที “เจิ้งหมัวมัวได้ยินมาจากที่ไหนกัน” นางหันไปมองเจิ้งหมัวมัวตรงๆ
“ข้างนอกล้วนลือกันเช่นนี้ ว่ากันว่าจะหมั้นหมายต้นปีหน้า…” ใบหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของเจิ้งหมัวมัวแฝงแววประจบเอาใจ “ฉู่อี๋เหนียงเป็นผู้จัดการธุระในจวนแม่ทัพ ไม่รู้หรือเจ้าคะ”
มิน่าหมู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงขยันไปมาหาสู่จวนอันชิ่งโหว มิน่าคนพวกนี้ถึงไม่กระตือรือร้นกับนางเหมือนแต่ก่อน คิดถึงเรื่องที่ตนเองถูกกีดกันออกจากแวดวงของสตรีชั้นสูงในช่วงที่ผ่านมาแล้ว มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของฉู่ซินอี๋กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
นี่ไม่ใช่แค่ข่าวลือไม่มีมูลแน่! จะต้องเป็นเพราะยายแก่นั่นไปตกลงอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าของจวนอันชิ่งโหว รอให้เสิ่นจงชิ่งตกลงหย่าขาดเรียบร้อยเมื่อไรค่อยจัดการหมั้นหมายสู่ขอ น่าขันที่นางฉู่ซินอี๋กลับไม่รู้เรื่องอะไร คอยเร่งเร้าเสิ่นจงชิ่งให้รีบตกลงหย่า ฝันว่าจะได้นั่งตำแหน่งประมุขหญิงของบ้าน คิดไม่ถึงว่านางกำลังตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ยายแก่ที่ไม่ยอมตายสักทีคนนี้ กล้าทำลายชื่อเสียงนางลับหลัง!
โทสะขุมหนึ่งพุ่งขึ้นมา ฉู่ซินอี๋ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดถึงจะไม่เต้นผางร้องด่าออกมาได้ “ท่านแม่ทัพมีภรรยาเอกอยู่แล้ว พักรักษาตัวอยู่ในชนบท” น้ำเสียงเยียบเย็นแข็งกร้าวเล็กน้อย “เจิ้งหมัวมัวอย่าได้พูดเหลวไหล”
“ที่แท้เป็นแค่ข่าวลือหรอกหรือ บ่าวว่าแล้วเชียว” เจิ้งหมัวมัวปรบมือ แสดงทีท่าว่าเข้าใจทันที “นายหญิงรองของพวกเรายังบ่นอยู่ว่าไหนว่าเป็นเพื่อนรักกัน ท่านแม่ทัพกลับปิดปากแน่นสนิท เรื่องใหญ่ขนาดนี้ท่านราชมนตรียังไม่รู้แม้แต่น้อย” เห็นฉู่ซินอี๋หน้าตาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก นางจึงพูดประจบต่อว่า “ท่านอย่าโกรธที่ข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปไวเลย ต้องโทษที่ท่านแม่ทัพเสิ่นโดดเด่นเกินไป ไม่ว่าแม่นางคนไหนเห็นแล้วล้วนมิอาจละสายตา”
คำพูดติดตลกทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา บรรยากาศตึงเครียดคลี่คลายทันใด
หลังยืนส่งรถม้าของจวนแม่ทัพจนห่างออกไปแล้ว เจิ้งหมัวมัวก้มหน้ามองเศษเงินที่ชุนหงยัดให้และพรูลมหายใจออกมาเหยียดยาว นางไม่สนหรอกว่าจวนแม่ทัพจะวุ่นวายโกลาหลเพียงใด ที่สำคัญคือจวนราชมนตรีจะล่วงเกินจวนแม่ทัพไม่ได้เด็ดขาด
พอรถม้าออกจากจวนราชมนตรี ใบหน้าฉู่ซินอี๋พลันบึ้งตึง นางเขวี้ยงเตาพก \ลงบนพื้นรถ “ยายแก่หนังเหนียว!” ก้อนถ่านสีแดงกระเด็นหล่นไปบนผ้าปักลายสีเขียวใบหญ้าและติดไฟพรึบ ส่งเสียงฉี่ฉ่าเหมือนงูพิษ
“หยุดรถ!”
“อี๋เหนียงระวังถูกลวกเจ้าค่ะ!”
ชุนหง ชุนหลันหวีดร้องอย่างตกใจพร้อมกัน โชคดีที่ดับไฟได้ ชุนหงมองใบหน้าถมึงทึงของผู้เป็นนายอย่างอกสั่นขวัญแขวน “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ได้ยินว่าดอกเหมยที่อุทยานหนานย่วนบานแล้ว อี๋เหนียงจะถือโอกาสไปชมหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
นางกำลังโกรธจัด ชุนหงเกรงว่ากลับจวนไปตอนนี้ อี๋เหนียงของนางจะไปหาเรื่องทะเลาะกับฮูหยินผู้เฒ่าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนั้นเสิ่นจงชิ่งออกไปทำศึกข้างนอกจึงไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่จวน
“กลับจวน!” ฉู่ซินอี๋เอ่ยเสียงเย็น นางอยากจะรีบก้าวเข้าไปในจวนและฉีกเนื้อฮูหยินผู้เฒ่าเป็นชิ้นๆ
“ท่านแม่ทัพเกลียดนายหญิงใหญ่ก็เพราะนางชอบเถียงฮูหยินผู้เฒ่า ต่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าว่าเป็นหญิงบ้านนอก” ครั้นเห็นประตูจวนแม่ทัพอยู่ข้างหน้า ชุนหงจึงโน้มน้าวอย่างระมัดระวัง
ฉู่ซินอี๋ตระหนักได้และสั่นสะท้านทันที คิดในใจว่า นั่นสิ เรื่องทั้งหมดเป็นการตกลงอย่างลับๆ เท่านั้น ข้ากลับไปคาดคั้นนางอย่างโกรธเกรี้ยวเช่นนี้จะต้องถูกตอกหน้ากลับมาแน่ นอกจากไม่ได้ประโยชน์ใดๆ แล้ว ยังจะทำให้ท่านแม่ทัพรังเกียจ แม้จะกำจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้ ต่อให้อาละวาดอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่กล้าทำอะไรนาง แต่หากเสิ่นจงชิ่งรู้ว่านางล่วงเกินฮูหยินผู้เฒ่า เกรงว่าคงไม่ต้องหวังให้เขายกนางเป็นภรรยาเอกอีก
เห็นนางลังเล ชุนหงจึงรีบชะโงกหน้าออกไปบอกให้คนขับหยุดรถ
“ไปจวนสกุลฉู่” ฉู่ซินอี๋ถอนหายใจแรงๆ
ปกติหากไม่ได้รับอนุญาตจากประมุขหญิงของบ้าน ฉู่ซินอี๋ไม่สามารถกลับบ้านเดิมตามอำเภอใจได้ แต่ประมุขหญิงของจวนแม่ทัพถูกทอดทิ้งไปนานแล้ว เสิ่นจงชิ่งเองก็ตามใจฉู่ซินอี๋มาตลอด คนขับรถฟังแล้วจึงลังเลเพียงครู่เดียวก่อนจะสะบัดแส้หันรถม้ากลับ
“อี๋เอ๋อร์มาได้อย่างไร” ฉู่เซิงตกใจที่เห็นบุตรสาวกลับบ้านกะทันหัน จึงเอ่ยถามขึ้น “แม่ทัพเสิ่นเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เป็นเพราะความคิดบิดาทั้งนั้นแหละ!” ฉู่ซินอี๋น้ำตาพรั่งพรู “ตอนแรกหากแต่งกับคุณชายไต้ แม้จะยากจนหน่อย แต่ก็ได้เป็นนายหญิงที่มีเกียรติของบ้าน ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้ที่ต้องเป็นน้อย ถูกทุกคนหยามเหยียดยังไม่พอ แม้แต่หมอชาวบ้านชั้นต่ำยังรังแกลูก!”
คุณชายไต้มีนามว่าไต้ซั่ว เคยเป็นคู่หมายของฉู่ซินอี๋ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ สกุลไต้เป็นพ่อค้ามาทุกสมัย แม้ไม่มีอำนาจในราชสำนัก แต่นับเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ในอำเภอหย่งอัน หากแต่งให้เขาเรื่องอื่นไม่พูดถึง อย่างน้อยก็ร่ำรวยไปตลอดทั้งชาติ แต่เจ็ดปีที่แล้วฉู่เซิงได้ยินว่าฮ่องเต้ที่ยังเป็นองค์รัชทายาทโปรดปรานเสิ่นจงชิ่งที่เข้าสอบขุนนางฝ่ายบู๊จนได้เป็นจวี่เหริน* ด้วยมั่นใจว่าเขาต้องมีอนาคตไกลแน่ จึงให้บุตรสาวเข้าไปสานสัมพันธ์กับเขาแบบไม่ตั้งใจ จนภายหลังเสิ่นจงชิ่งให้สัญญาว่าจะแต่งฉู่ซินอี๋เป็นภรรยา ฉู่เซิงจึงเป็นฝ่ายออกหน้าปฏิเสธการแต่งงานกับสกุลไต้
สกุลไต้ไม่ได้อยู่ในเมืองซั่งจิง ตอนนั้นเสิ่นจงชิ่งยังไม่ได้เป็นจ้วงหยวน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง เรื่องปฏิเสธการแต่งงานฉู่เซิงก็ทำอย่างลับๆ คนที่รู้เรื่องจึงน้อยมาก คิดไม่ถึงว่าพอเสิ่นจงชิ่งมีชื่อเสียงจะถูกวางแผนให้ต้องแต่งกับเจินสือเหนียง สองปีให้หลังฉู่ซินอี๋จึงแต่งเข้าจวนจ้วงหยวนในฐานะอนุ ดังนั้นจวบจนบัดนี้แม้แต่ไต้ซั่วเองยังไม่รู้ว่าตอนแรกที่ฉู่ซินอี๋ปฏิเสธตนเพราะต้องการโผไปเกาะผู้มีอำนาจอย่างเสิ่นจงชิ่ง
ผ่านไปไม่กี่ปี เสิ่นจงชิ่งก็เลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นหกเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีชื่อเสียง ฉู่เซิงรู้สึกภาคภูมิใจในสายตาอันแหลมคมของตนเองมาตลอด ได้ยินบุตรสาวตัดพ้อเช่นนี้จึงตกใจ “ใครกล้ารังแกลูกสาวข้า ข้าจะไปมัดตัวมันมาโขกศีรษะขอขมาเจ้า” เขาหันไปเรียกพ่อบ้านทันที “ไหลฝู!”
“นายท่านอย่าเพิ่งโกรธเจ้าค่ะ คุณหนูแค่กำลังโมโห จึงบ่นออกมาเท่านั้น” ชุนหง ชุนหลันรีบคุกเข่าลง ตอนนี้ท่านหมอเจี่ยนเป็นแขกคนสำคัญของจวนราชมนตรี หาใช่คนที่ผู้รวมฎีกาขั้นห้าจะล่วงเกินได้
ฉู่เซิงแค่ทำท่าโมโหเอาใจบุตรสาวเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าไปจับคนจริง เห็นสาวใช้คุกเข่าก็นิ่วหน้า แกล้งถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ชุนหงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนราชมนตรีให้ฟัง “ของพระราชทานจากวังหลวง สาวใช้ใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าแอบกิน หมอเจี่ยนต้องกำลังกินอยู่แน่ พอได้ยินว่าอี๋เหนียงของเรามาก็รีบหลบหน้า” คิดถึงท่าทียโสโอหังของคุณหนูใหญ่จวนราชมนตรีแล้วเอ่ยว่า “ไม่แน่นางอาจถูกใครยุยง จึงจงใจฉีกหน้าอี๋เหนียงต่อหน้าทุกคน”
“ราชมนตรีเซียวเป็นคนเปิดเผย ไม่มีทางปล่อยให้ครอบครัวกระทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้” ด้วยไม่อยากให้ฉู่ซินอี๋ผูกใจเจ็บกับจวนราชมนตรี ฉู่เซิงฟังแล้วจึงพูดกลบเกลื่อน “ได้ยินคนในสำนักแพทย์หลวงบอกว่าหมอเจี่ยนผู้นี้หยิ่งยโสมาก กระทั่งหมอหลวงไปพบยังไม่ยอมพบหน้า เอาอย่างการว่าราชการหลังม่าน แค่ม่านผืนเดียวจะไปปิดอะไรได้ ให้ตายเถอะ หากนางมีความละอายแก่ใจ รู้หลักชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันก็ไม่ควรออกมาเป็นหมอรักษาโรคเช่นนี้!”
“บิดา!” ฉู่ซินอี๋ร้องเรียก
เห็นบุตรสาวโกรธจนหน้าแดง ฉู่เซิงจึงตระหนักว่าตนเองหยาบคายมากไปหน่อย อดรู้สึกเก้อไม่ได้ น้ำเสียงจึงนุ่มนวลขึ้น “แต่บังเอิญว่านางรักษาฮูหยินผู้เฒ่าเซียวได้ กำลังเป็นที่ชื่นชมของทุกคน ช่วงนี้อี๋เอ๋อร์อย่าเพิ่งไปหาเรื่องนางเลย” เขายิ้มน้อยๆ “อี๋เอ๋อร์วางใจเถอะ รอให้นางกลับบ้านนอกเมื่อไร บิดาย่อมมีวิธีทำให้หมอหลวงจัดการนาง ช่วยเจ้าระบายความแค้นครั้งนี้แน่นอน!”
“แค่หมอชาวบ้านชั้นต่ำคนหนึ่ง ไม่คู่ควรให้ลูกโมโหหรอกเจ้าค่ะ” ฉู่ซินอี๋เบะปากอย่างยโส “ลูกเสียใจที่ชั่วชีวิตนี้ต้องเป็นน้อยไปตลอดต่างหาก” น้ำตาที่เพิ่งแห้งไปรินไหลอีกครั้ง “ตอนแรกลูกไม่อยากเป็นอนุ แต่บิดาจะให้ลูกแต่งให้ได้ ยังบอกว่าไม่ถึงห้าปีเขาต้องยกลูกเป็นภรรยาเอกแน่ บัดนี้เป็นอย่างไรเล่า” นางเชิดหน้ามองบิดาด้วยสายตาตำหนิ
ฉู่เซิงถอนหายใจอย่างครุ่นคิด “อี๋เอ๋อร์อย่ากังวลไป แม่ทัพเสิ่นเป็นบุรุษที่ห้าวหาญผึ่งผาย ปกติเขายึดมั่นในคำสัญญามากที่สุด เขาผิดคำพูดของตนเองและให้เจ้าเป็นอนุ ชีวิตนี้เขาต้องรู้สึกติดค้างเจ้ามากเป็นแน่ ขอเพียงเจ้ารอคอยโอกาสอย่างอดทน ช้าเร็วเขาต้องแต่งตั้งเจ้าเป็นภรรยาเอกแน่นอน” แม้ไม่ได้เป็นภรรยาเอก เขาก็ต้องให้นางอยู่อย่างมีเกียรติและร่ำรวยไปตลอดชีวิต
คิดถึงการตามอกตามใจนางตลอดหลายปีมานี้ของเสิ่นจงชิ่ง ฉู่ซินอี๋รู้ว่าบิดาพูดถูก โทสะจึงลดลง “รอ รอ รอ…” จู่ๆ นางก็กัดฟัน “บิดาให้ลูกรออยู่นั่นแหละ ขืนรอต่อไป บิดาคงได้แต่รอให้ลูกถูกประมุขหญิงของบ้านทรมานจนตาย รอเก็บศพของลูกแล้วกัน!” คุณหนูสิบจวนอันชิ่งโหวไม่ใช่เจินสือเหนียงที่ไร้ที่พึ่งพิง หากอีกฝ่ายแต่งเข้ามาจริง จะปล่อยให้นางใช้อำนาจบาตรใหญ่ในจวนแม่ทัพได้อย่างไร
“อะไรกัน” ฉู่เซิงนั่งตัวตรงทันที “แม่ทัพเสิ่นตัดสินใจรับเจินซื่อกลับมาแล้วหรือ” ดวงตาเจนจัดมากประสบการณ์สาดประกายเย็นเยียบ
“ไม่ใช่นาง!” ฉู่ซินอี๋ส่ายหน้า “เป็นยาย…เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่แอบไปตกลงกับจวนอันชิ่งโหวลับๆ” นางเล่าสิ่งที่เจิ้งหมัวมัวพูดพลางร้องไห้ “หากปล่อยให้คุณหนูสิบแต่งเข้ามาจริง ลูกจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร” ฉู่ซินอี๋มั่นใจว่าตนเองมีอุบาย แต่คุณหนูสิบเป็นถึงน้องสาวแท้ๆ ของฮองเฮา แค่พระเสาวนีย์ของฮองเฮาก็ประทานความตายให้นางได้อย่างเปิดเผยแล้ว
“ที่แท้เป็นเรื่องนี้เอง” ฉู่เซิงค่อยๆ นั่งลง ยื่นมือไปยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่ร้อนใจ
“บิดา!” ฉู่ซินอี๋ร้องเสียงแหลม
“เรื่องนี้ข้าได้ยินมาก่อนแล้ว” ฉู่เซิงแค่นเสียง “อี๋เอ๋อร์วางใจเถอะ แม่สามีของเจ้าความคิดตื้นเขิน งานแต่งงานครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จลงได้หรอก!” เขาเอ่ยเสียงดังกังวาน จิบน้ำชาอีกคำอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ทำไมล่ะเจ้าคะ” ฉู่ซินอี๋ยืดตัวตาเป็นประกาย
ฉู่เซิงโบกมือไล่ชุนหงและคนอื่นๆ ออกไป “อี๋เอ๋อร์ลองบอกพ่อซิว่าพระนางเสิ่นเฟยเข้าวังไม่ถึงสองปีก็ได้ข้ามขั้นเป็นชายาชั้นเฟย นี่เป็นเพราะอะไร”
ฉู่ซินอี๋กะพริบตา “แน่นอนว่าเพราะท่านแม่ทัพสร้างคุณความชอบ อีกทั้งพระนางเสิ่นเฟยเองก็ทรงพระครรภ์”
คนหนึ่งในครอบครัวเป็นขุนนาง คนอื่นๆ ย่อมได้รับความเกรงใจไปด้วย เสิ่นจงชิ่งสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ฮ่องเต้ย่อมต้องดีกับน้องสาวเขาเป็นเท่าตัว
“อี๋เอ๋อร์ผิดแล้ว” ฉู่เซิงส่ายหน้า “หากเพราะสร้างคุณความชอบ ฮ่องเต้ทรงอยากให้กำลังใจแม่ทัพเสิ่น แค่พระราชทานเงินทองและโปรดปรานพระนางเสิ่นเฟยให้มากหน่อยก็พอ พระนางเสิ่นเฟยแค่ตั้งครรภ์เท่านั้น ยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายก็มีราชโองการแต่งตั้งนางเป็นชายาชั้นเฟยจนกลายเป็นเป้าศัตรูของทุกคน” เขามองฉู่ซินอี๋ด้วยแววตาลึกล้ำ “อี๋เอ๋อร์ลองคิดดู มีฮองเฮากับพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานอยู่ เด็กคนนี้จะได้คลอดออกมาอย่างราบรื่นหรือ”
แน่นอนว่าไม่มีทาง! หาไม่ป่านนี้เสิ่นจงชิ่งคงมีทายาทเต็มไปหมดแล้ว จะมีบุตรสาวเพียงคนเดียวได้อย่างไร
แม้ไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่การแก่งแย่งชิงดีในครอบครัวฉู่ซินอี๋เข้าใจแจ่มแจ้ง แววตาของนางหม่นลง “เช่นนี้จะทำอย่างไรดี” นางมองบิดาอย่างไม่สบายใจ “หากพระนางเสิ่นเฟยไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ท่านแม่ทัพย่อมได้รับผลกระทบ…” สตรีในตำหนักในจะได้รับความโปรดปรานหรือไม่หาได้ขึ้นอยู่กับเรื่องความรัก แต่อยู่ที่ฮ่องเต้ต้องการหรือไม่!
ฉู่เซิงยิ้มน้อยๆ “เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้ไม่มีเด็กแล้ว พระนางเสิ่นเฟยก็ไม่มีทางถูกทอดทิ้ง ฮ่องเต้มีแต่จะทรงรักใคร่และสงสารนางมากยิ่งขึ้น” น้ำเสียงมั่นใจกังวานและทรงพลัง “มีพระโอรสถึงสิบองค์แล้ว ฮ่องเต้หาได้ต้องการพระโอรส แต่ทรงต้องการอำนาจที่จะมาหยุดยั้งอำนาจของอันชิ่งโหวต่างหาก!” ราชสำนักจะมีขั้วอำนาจเดียวไม่ได้ ต้องมีหลายขั้วอำนาจถ่วงดุลกัน ฮ่องเต้จึงจะหมดกังวล
“ฮ่องเต้ทรงต้องการใช้ท่านแม่ทัพมาคานอำนาจกับอันชิ่งโหว!” ฉู่ซินอี๋หน้าซีด ก่อนที่ปากจะพึมพำขึ้นว่า “พระนางเสิ่นเฟยโชคร้ายแท้งลูก ฮองเฮาทรงตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด หลังจากนั้น…ท่านแม่ทัพกับอันชิ่งโหวหันมาเป็นศัตรูต่อกัน” นี่แหละคือสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงต้องการ!
“ต่อให้ไม่เป็นศัตรู อย่างน้อยอันชิ่งโหวกับแม่ทัพเสิ่นก็ไม่มีทางเป็นพันธมิตรกัน” ฉู่เซิงพอใจมากที่ชี้แนะเพียงนิดบุตรสาวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง “ตอนแรกเพื่อกำจัดเจิ้นกั๋วกงสวีปั๋ว ฮ่องเต้ทรงอาศัยอำนาจของพระสัสสุระเซวียอี้ผลักดันเขาเข้าสภาขุนนางและเลื่อนขั้นให้เป็นโหวโดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้ใด ผ่านไปหกปีอันชิ่งโหวมีลูกศิษย์กระจายอยู่ทั่ว มีพรรคพวกมากมาย อำนาจคุกคามองค์ฮ่องเต้” เขามองฉู่ซินอี๋ “ในบรรดาพระโอรสทั้งสิบ ฮ่องเต้โปรดองค์ชายห้ามากที่สุด แต่กลับรั้งรอไม่แต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทเสียที เพราะอะไร”
ฉู่ซินอี๋โพล่งออกมา “องค์ชายห้าไม่ได้ทรงถือกำเนิดจากฮองเฮา ฮ่องเต้ทรงเกรงว่าอันชิ่งโหวจะไม่พอใจ” องค์ชายห้าประสูติจากเจิ้งกุ้ยเฟย ปีนี้อายุเจ็ดขวบ มีความสามารถโดดเด่น เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ยิ่งนัก
“ใช่!” ฉู่เซิงพยักหน้า “ฮ่องเต้ทรงเกรงว่าหากไม่แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาท อันชิ่งโหวจะก่อกบฏ”
“อันชิ่งโหวคิดจะก่อกบฏหรือ” ฉู่ซินอี๋ปากสั่นระริก
“เขาขาดแค่กำลังทหารเท่านั้น!”
ฉู่ซินอี๋ตระหนักทันที “ดังนั้นอันชิ่งโหวจึงไม่เสียดายหากต้องยกบุตรสาวให้แต่งเป็นภรรยาคนต่อไปของท่านแม่ทัพ จุดประสงค์เพราะต้องการกำลังทหารในมือท่านแม่ทัพ!” นางคว้าตัวฉู่เซิง “บิดารีบคิดหาวิธีการเร็วเข้า จะให้ท่านแม่ทัพแต่งคุณหนูสิบไม่ได้เด็ดขาด!” นางชะงัก “และก็ไม่อาจให้ท่านแม่ทัพปะทะกับอันชิ่งโหวอย่างรุนแรงด้วย!”
จู่ๆ ฉู่ซินอี๋พลันตระหนักว่าเสิ่นจงชิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างฮ่องเต้กับอันชิ่งโหว หากไม่ระวังอาจถูกบดขยี้จนแหลกเหลว นางเองก็จะประสบหายนะตามไปด้วย
“นี่เป็นโอกาสอันดีที่อี๋เอ๋อร์จะขึ้นเป็นภรรยาเอก” ฉู่เซิงหัวเราะขึ้น “แม่ทัพเสิ่นเป็นทหารที่เก่งกาจหาตัวจับยาก แต่หาใช่คนที่เชี่ยวชาญกลอุบายทางการเมือง ยิ่งไม่รู้ถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนในครอบครัวและราชสำนัก ถึงได้ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปตกลงกับฮูหยินอันชิ่งโหวอย่างลับๆ เรื่องการแต่งงานที่จะนำภัยมาสู่ชีวิต”
ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่แต่ในบ้านจะรู้เรื่องอะไร แค่ลมพัดวูบหนึ่งในราชสำนักก็ทำให้เบื้องล่างเกิดคลื่นลูกมหึมาได้แล้ว!
“บิดายังจะยิ้มอีก!” หากเสิ่นจงชิ่งเป็นอะไรไป นางเป็นคนแรกที่จะรับเคราะห์ ฉู่ซินอี๋ร้อนใจ จ้องมองบิดาด้วยดวงตาคาดหวัง “สถานการณ์อันตรายเช่นนี้จะเป็นโอกาสของลูกได้อย่างไร”
“เรื่องการแต่งงานถูกอันชิ่งโหวแอบป่าวประกาศออกไปแล้ว หากแม่ทัพเสิ่นต้องการขจัดความหวาดระแวงของฮ่องเต้มีอยู่สองวิธีเท่านั้น” ฉู่เซิงเก็บรอยยิ้ม “หนึ่งคือไม่ตกลงหย่า ถึงอย่างไรคุณหนูสิบก็เป็นถึงธิดาของจวนโหว ไม่มีทางยอมลดตัวเป็นน้อยแน่ แผนของอันชิ่งโหวที่จะเกี่ยวดองกับจวนแม่ทัพด้วยการแต่งงานย่อมไม่มีทางสำเร็จลงได้ สองคือตกลงหย่าแล้วไม่แต่งงานใหม่ เลือกอนุสักคนมาเป็นภรรยาเอก”
ตามความต้องการของเสิ่นจงชิ่ง หากจะยกอนุสักคนเป็นภรรยาเอก คนผู้นั้นต้องเป็นนางแน่! ฉู่ซินอี๋ตาเป็นประกาย แต่แล้วก็หม่นลง “บิดาเอาแต่พูดเล่น ฮูหยินผู้เฒ่าตกลงเรื่องการแต่งงานกับจวนโหวอย่างลับๆ ไปแล้ว หากท่านแม่ทัพตกลงหย่าขาดจริง ด้วยอำนาจของอันชิ่งโหวจะยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนใจได้อย่างไร”
“หากเขาไม่แต่งงานใหม่ย่อมไม่นับเป็นการเปลี่ยนใจ” ฉู่เซิงเอ่ยอย่างดุดัน “หลังจากตกลงหย่าขาด ขอเพียงมีคนชี้แนะ แม่ทัพเสิ่นจะต้องทูลขอพระอนุญาตแต่งตั้งเจ้าเป็นภรรยาเอกแต่โดยดีแน่!”
“เช่นนี้ลูกก็สามารถหลอกใช้ฮูหยินผู้เฒ่าเกลี้ยกล่อมแม่ทัพเสิ่นให้ตกลงหย่าน่ะสิ” พอคิดว่าฝันที่วาดไว้หลายปีกำลังจะกลายเป็นจริง หัวใจของฉู่ซินอี๋ก็เต้นระรัว
“อี๋เอ๋อร์ต้องลงมือให้เร็วหน่อย!” ฉู่เซิงพยักหน้า “หากช้าไป แม่ทัพเสิ่นรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าแอบไปผูกไมตรีกับอันชิ่งโหวลับหลังเขา มองเห็นผลได้ผลเสียแล้ว เกรงว่าเขาจะไม่ยอมตกลงหย่า”
ฮ่องเต้กับอันชิ่งโหวล้วนเป็นบุคคลร้ายกาจ หากเสิ่นจงชิ่งเป็นอิสระเมื่อใดย่อมต้องอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย หากไม่ระวังย่อมนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตนเอง วิธีที่ดีที่สุดคือไม่ตกลงหย่า ไม่ไปล่วงเกินทั้งสองฝ่าย หากเขาเป็นเสิ่นจงชิ่ง เขาจะเลือกวิธีนี้
“ลูกจะกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” ดวงตาฉู่ซินอี๋ทอประกายเด็ดเดี่ยว
“เสิ่นจงชิ่งชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง อี๋เอ๋อร์อย่าปะทะกับเขาตรงๆ เป็นอันขาด” ฉู่เซิงพูดพลางลุกขึ้น “เขาเป็นคนกตัญญูอย่างยิ่ง ขอเพียงอี๋เอ๋อร์เกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่าให้ได้ เรื่องทุกอย่างให้นางเป็นคนออกหน้า เรื่องนี้ย่อมไร้ข้อผิดพลาด”
หากยายแก่หนังเหนียวนั่นชอบนาง คงไม่แอบไปคุยเรื่องการแต่งงานกับอันชิ่งโหวหรอก! คิดถึงตรงนี้แล้วฉู่ซินอี๋รู้สึกหมดหวัง “ลูกดีต่อนางเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์”
“อี๋เอ๋อร์อย่าพูดเหลวไหล!” ฉู่เซิงตวาดเสียงเฉียบ จากนั้นสั่งสอนด้วยความหวังดี “คนเราเมื่อแก่ย่อมหวังให้ลูกหลานกตัญญู ผลิตลูกหลานให้เต็มบ้าน ขอเพียงอี๋เอ๋อร์ไปคารวะนางทุกเช้าเย็นและอ่อนน้อมถ่อมตนหน่อย โน้มน้าวนางดีๆ ไม่มีหรอกที่นางจะไม่ใจอ่อน” เขาพูดต่อ “กว่าจะได้กลับบ้านสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย อี๋เอ๋อร์ไปหามารดาหน่อยเถอะ” เรื่องพวกนี้ให้มารดาเป็นผู้ชี้แนะย่อมดีกว่า
ฉู่ซินอี๋กัดฟัน นานทีเดียวจึงพูดอย่างดึงดัน “นางสงสัยว่าข้าเป็นคนทำร้ายเม่าเกอ”
เม่าเกอเป็นบุตรชายคนเดียวของเสิ่นจงชิ่ง คลอดออกมาไม่ถึงสามเดือนก็ตายด้วยโรคกลัวความหนาว
ฉู่เซิงอึ้งงันไปครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงถอนหายใจ “ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าวู่วาม เจ้าก็ไม่ฟัง” พอคิดว่าหลายปีมานี้เสิ่นจงชิ่งมีบุตรยาก ฉู่เซิงถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “อี๋เอ๋อร์ยังไม่เข้าใจผู้ชาย ลูกชายเยอะจะกลัวอะไร ถึงจะเยอะแค่ไหน เขาก็ต้องรักลูกที่เกิดจากผู้หญิงที่เขาชอบมากที่สุด”
ฉู่ซินอี๋เบ้ปาก “ตอนนี้บิดาพูดอะไรก็สายไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางชอบหน้าลูกอีกแล้วล่ะ”
ดวงตาฉู่เซิงทอประกายโหดเหี้ยม ก่อนจะส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” เขาเงยหน้าขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรอี๋เอ๋อร์อย่าวู่วามเด็ดขาด กลับไปต้องกตัญญูกับแม่สามี เชื่อฟังท่านแม่ทัพ เรื่องอื่น…” เขาหรี่ตาลง “รอให้เจ้าได้เป็นภรรยาเอกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ยังไม่ถึงเวลาอะไร ฉู่ซินอี๋สงสัย กำลังจะถามก็เห็นบิดาเรียกคนเข้ามา นางขานรับและให้ชุนหงประคองไปยังเรือนยั่งยืนเพื่อพบมารดา
ร่างกายกลัวความหนาว พอเข้าฤดูหนาวเจินสือเหนียงจะไม่ค่อยออกไปไหน วันนี้เพื่อหลบฉู่ซินอี๋ นางถึงกับออกมาข้างนอกอย่างที่ไม่เคยทำ ศาลาหอเก๋ง ต้นไม้สะพานทอประกายเจิดจ้าใต้แสงแดด ฟังเสียงพื้นรองเท้าย่ำลงบนหิมะจนส่งเสียงดังตึกตักแล้วเจินสือเหนียงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เดินมุ่งหน้าไปยังศาลารับลมที่สร้างอยู่บนเนินเขา
เพื่อประจบฉู่ซินอี๋ เจิ้งหมัวมัวต้องส่งคนออกมาตามหานางแน่ ไปหลบอยู่ที่นั่นสักพักดีกว่า
พอถึงหน้าศาลา เจินสือเหนียงถึงพบว่าศาลาแปดเหลี่ยมที่สร้างอย่างวิจิตรงดงามนี้ไม่ได้เป็นศาลาแบบเปิด แต่ตรงมุมติดบานกระจกแผ่นใหญ่ไว้ทุกมุม กระจ่างใสแวววาว มองจากที่ไกลๆ แล้วเหมือนไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอยู่ หากมิใช่เพราะนางเป็นคนระวังมาแต่ไหนแต่ไรและสังเกตดูให้ดี คงได้เดินชนกระจกจนหัวร้างข้างแตกไปแล้ว
เจินสือเหนียงลูบหน้าผากอย่างโล่งใจ กำลังจะยื่นมือผลักเข้าไป กลับเหลือบเห็นเซียวอวี้นั่งจิบชาอยู่บนม้านั่งหินกลางศาลาเสียก่อน ด้านหลังเป็นเสาสีแดงสดที่บดบังเขาไว้ได้พอดี เป็นสาเหตุที่ว่าไฉนตลอดทางที่เดินมานางจึงไม่เห็นว่าในศาลามีคนอยู่
เหตุใดเขาจึงอยู่ที่นี่ เจินสือเหนียงหดมือกลับทันที กำลังจะหันหลังจากไปเงียบๆ เซียวอวี้ก็หันกลับมาเสียก่อน “แม่นางเจี่ยน?” เขาลุกขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ใต้เท้าเซียว” เจินสือเหนียงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูเดินเข้ามา อดร้องอุทานขึ้นไม่ได้ “ในนี้อุ่นจัง” ภายในพื้นที่เล็กๆ นี้กลับอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
เซียวอวี้ยิ้มพลางชี้เสากลมสีแดงแปดต้นในศาลา “เสาพวกนี้ล้วนจุดไฟอยู่ข้างใน” เขาชี้ไปที่พื้น “ใต้ศาลาทำเป็นช่องปิดที่เชื่อมกับเสา ฤดูหนาวจะใส่ฟืนเข้าไปและค่อยๆ จุด ได้ผลดียิ่งกว่าเตาอุ่นเสียอีก” เขามองป้ายที่ติดอยู่บนศาลา “มารดาชอบที่นี่มากที่สุด ศาลาเหมยเป็นชื่อที่นางตั้งเอง”
“มิน่าตอนขึ้นมาข้าเห็นหิมะรอบด้านละลายหมด” เจินสือเหนียงยื่นมือไปลูบเสา ร้อนระอุจริงๆ ด้วย อดคิดในใจไม่ได้ คนมีเงินช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ แค่ชมดอกเหมยก็ต้องสร้างศาลาอุ่นเช่นนี้ เจินสือเหนียงมองออกไปนอกศาลา “ดอกเหมยอยู่ไหนหรือ” ตลอดทางที่เดินมา นางไม่เห็นดอกเหมยสักดอก
“เชิญแม่นางเจี่ยนดื่มน้ำชา” ดูเหมือนเซียวอวี้จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อเห็นนาง เขารินน้ำชาให้นางด้วยตนเองและเชิญนางนั่งลง
เจินสือเหนียงนั่งลงบนม้าหินด้านข้าง อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ม้านั่งนี่ก็อุ่น” ก่อนหน้านี้นางยังลังเลไม่กล้านั่งลงไป
“ล้วนเป็นผนังอุ่นทั้งนั้น” เซียวอวี้ยิ้มพยักหน้า
เจินสือเหนียงยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง พอเงยหน้าก็อดตะลึงไม่ได้ เนินเขาด้านหลังเต็มไปด้วยดอกเหมยสามสิบกว่าต้นตั้งตระหง่านอยู่อย่างประปราย แลดูเหมือนป่าเหมยขนาดย่อมๆ ในช่วงหนาวจัดเช่นนี้ดอกเหมยบางส่วนเบ่งบานแล้ว บ้างมีสีแดงสดสวย บ้างมีสีขาวดุจหิมะ เจินสือเหนียงถึงขั้นได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาปะทะจมูก เป็นไปได้อย่างไร ศาลานี้เป็นศาลาปิดมิใช่หรือ นางหันไปมองอย่างประหลาดใจ
ตรงมุมศาลาด้านข้างมีแจกันกระเบื้องลายครามที่ปักดอกเหมยขาวกระจ่างไว้หนึ่งก้าน ดูกลมกลืนไปกับหิมะนอกศาลา หากมิใช่เพราะได้กลิ่นหอมนางคงจะยังไม่สังเกตเห็น ทำให้อดคิดถึงบทกลอนท่อนหนึ่งไม่ได้ “เห็นแต่ไกลรู้ว่ามิใช่หิมะ เพราะกลิ่นหอมอ่อนโชยพัดมา”
เซียวอวี้มองนางอย่างประหลาดใจ “แม่นางเจี่ยนชอบดอกเหมยมากหรือ”
เจินสือเหนียงลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปที่ข้างกระจก “ข้าไม่ได้เห็นดอกเหมยมานานมากแล้ว”
ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ได้ชมเหมยคือตอนไปเที่ยวสวนเซียงซานกับเพื่อนๆ ที่นั่นมีป่าเหมยบริเวณหนึ่งที่ปลูกต้นล่าเหมยไว้ ห่างไปสิบเมตรยังได้กลิ่นหอมของเหมยที่โชยมา พอคิดว่าชีวิตนี้คงกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เจินสือเหนียงพลันรู้สึกหดหู่ อารมณ์ที่ดีอยู่เมื่อครู่นี้หายไปสิ้น
“แม่นางเจี่ยนถือกำเนิดในตระกูลบัณฑิตหรือ” เซียวอวี้เดินมาข้างหลังนางเงียบๆ มองตามสายตานางออกไปข้างนอก “ไฉนจึงรู้วิชาแพทย์” หากถือกำเนิดในตระกูลแพทย์ไม่น่าจะเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นนี้ แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นหมอหลวงในสำนักแพทย์หลวงท่องกลอนเลย เป็นเพราะตระกูลล่มสลายอย่างนั้นหรือ เซียวอวี้มองคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันน้อยๆ ของนางพลางคาดเดา
“ป่วยมานานจนกลายเป็นหมอเสียเอง” เจินสือเหนียงตอบเลี่ยงๆ “ตัวข้าเป็นโรคจึงชอบอ่านตำราแพทย์ บังเอิญเจอตำราเล่มหนึ่งที่ข้างในบันทึกการรักษาโรคประหลาดไว้มากมาย”
“แม่นางเจี่ยนชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดหรือ” เซียวอวี้แอบประหลาดใจ นางช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ หนังสือเบ็ดเตล็ดจำนวนมากถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มหนังสือต้องห้าม สตรีในตระกูลใหญ่จะถูกห้ามไม่ให้อ่านหนังสือประเภทนี้ อย่างมากก็อ่านได้แค่ ‘ตำราสอนหญิง’ และ ‘คำสอนสตรี’ ซึ่งจัดอยู่ในสี่ตำราสำหรับสตรีเท่านั้น
ต้องชอบอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีให้อ่าน สมัยโบราณไม่มีทีวี ไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่ละวันพอทำงานเสร็จ ค่ำคืนยาวนานได้แต่อ่านหนังสือฆ่าเวลา น่าเสียดายที่นางไม่มีเงิน ซื้อหนังสือแพทย์แผนจีนจากร้านหนังสือเก่ามาไม่กี่เล่มก็นับว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว เจินสือเหนียงอดยิ้มขื่นไม่ได้เมื่อคิดถึงตำราแพทย์ข้างหมอนที่ถูกนางพลิกจนเปื่อย แม้แต่ภาพเส้นชีพจรในร่างกายที่ชาติก่อนเห็นแล้วปวดหัว ตอนนี้นางยังท่องจำได้หมด
“ชอบ” นางหันไปมองเซียวอวี้ “ขอบคุณใต้เท้าที่ให้ข้าอ่าน ‘หนังสือแผนที่ต้าโจว’ ข้า…” กล่าวถึงประโยคนี้น้ำเสียงนางพลันลังเลและแผ่วเบาลงเล็กน้อย “ขอยืมกลับไปอ่านได้หรือไม่”
“พูดถึง ‘หนังสือแผนที่ต้าโจว’ เล่มนั้น แม่นางเจี่ยนโชคดีได้อ่านเป็นคนแรกๆ” เซียวอวี้ยิ้มแย้ม “หนังสือเล่มนั้นสำนักราชบัณฑิตเพิ่งรวบรวมและจัดทำขึ้นเป็นฉบับร่างฉบับแรก ทั้งยังเป็นฉบับภายในที่ไม่เผยแพร่ ฝ่าบาทยังไม่ได้ทอดพระเนตรเลยด้วยซ้ำ อืม…” เขาครุ่นคิด “หากแม่นางเจี่ยนชอบก็รออีกสักพัก รอให้ตรวจสอบเรียบร้อยและฝ่าบาททรงอนุมัติแล้ว ข้าจะให้พ่อบ้านกู้ส่งไปให้”
“ขอบคุณใต้เท้า” เจินสือเหนียงพยักหน้าขอบคุณและเข้าใจทันที “แม่ทัพเสิ่นเพิ่งปราบปรามหนานเยวี่ยและได้รับชัยชนะกลับมาเพียงไม่นาน หนังสือก็ถูกเขียนออกมาแล้ว” ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าสมัยโบราณส่งข่าวสารกันอย่างรวดเร็วเหมือนการถ่ายทอดสดในยุคปัจจุบันจริงๆ หรือ เบื้องบนเพิ่งจะเปิดประชุม ประชาชนทั้งประเทศก็รู้เนื้อหาการประชุมทั้งหมดแล้ว
“ปราบปรามวอโค่ว โจมตีหนานอี๋ ยึดครองหนานเยวี่ย เพียงไม่กี่ปีอาณาเขตของต้าโจวก็ขยายขึ้นเกือบเท่าตัว” เซียวอวี้ยิ้มพยักหน้า “แม่ทัพเสิ่นผู้นี้มีความสามารถทางการทหารโดยแท้ เป็นบุคคลที่ร้อยปีจึงจะได้พบเห็นสักครั้ง การวัดเขตแดนของต้าโจว จัดทำแผนที่ใหม่ และสดุดีผลงานของแม่ทัพเสิ่นครั้งนี้ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งด้วยองค์เองให้เร่งดำเนินการ” หาไม่แล้วไหนเลยจะจัดทำขึ้นอย่างรวดเร็วปานนี้ได้
“เป็นเพราะฝ่าบาททรงรู้จักใช้คนต่างหาก” เจินสือเหนียงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ก็แค่ชนะศึกไม่กี่หน ทำไมถึงเรียกว่าคนเก่งที่ร้อยปีจะพบเห็นสักครั้ง หากจะพูดถึงคนที่ร้อยปีจะได้พบเห็นสักครั้ง นางที่รู้วิชาแพทย์สมัยใหม่ที่คนโบราณไม่เคยพบเห็นต่างหาก ถึงจะเรียกว่าหมอเทวดาที่ร้อยปีจะได้พบสักหน
เจินสือเหนียงไม่ชอบใจที่ในหนังสือยกย่องเสิ่นจงชิ่งเหมือนเป็นเทพเจ้า “ประวัติศาสตร์ต้าโจวไม่ขาดราชาที่ปราดเปรื่อง แต่ราชาที่ขยายเขตแดนแคว้นโจว หากไม่นับฮ่องเต้ผู้บุกเบิกราชวงศ์แล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนับเป็นพระองค์แรก คุณความดียิ่งใหญ่เช่นนี้ควรเป็นของฮ่องเต้ถึงจะถูก…” น้ำเสียงนางพลันชะงัก ไฉนในหนังสือจึงไม่เอ่ยถึงฮ่องเต้สักตัวอักษรเลยล่ะ!
“ตอนหนังสือส่งมาข้าพลิกดูผ่านๆ เท่านั้น รู้สึกไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่นึกไม่ออกว่าตรงไหน ภายหลังงานยุ่งจึงวางทิ้งไว้” สำนักราชบัณฑิตส่งหนังสือฉบับร่างมาให้ตามธรรมเนียมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้เขาตรวจสอบอย่างแท้จริง ฟังคำพูดของเจินสือเหนียงแล้ว ใบหน้าเซียวอวี้ขรึมลง ก่อนจะพยักหน้า “แม่นางเจี่ยนกล่าวถูกต้อง คุณความชอบอันยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดานี้ควรเป็นของฮ่องเต้” เขาส่ายหน้า “ยกย่องความดีของแม่ทัพเสิ่นมากเกินไปเช่นนี้ เห็นทีคงมีผู้ใดจงใจ” ระหว่างพูดหน้าผากของเซียวอวี้มีเหงื่อผุดซึมบางๆ
คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี้จะพูดเช่นนี้ เจินสือเหนียงแอบด่าตนเองว่าปากมาก เรื่องในราชสำนักอยู่ไกลตัวนางมาก นางพูดเช่นนี้เหมือนตั้งใจเตือน คล้ายเป็นห่วงเป็นใยเสิ่นจงชิ่ง พอตระหนักได้จึงรีบคิดว่าจะพูดกลบเกลื่อนอย่างไร กลับได้ยินเซียวอวี้พูดอย่างจริงใจว่า “หากจะว่ากันตามจริง ถ้าไม่มีฝ่าบาทก็คงไม่มีข้ากับแม่ทัพเสิ่นในวันนี้”
จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าจำไม่ผิดเสิ่นจงชิ่งกับเซียวอวี้คนหนึ่งบู๊คนหนึ่งบุ๋น ล้วนเป็นจ้วงหยวนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงแต่งตั้งเอง ในใจสงสัย แต่เจินสือเหนียงไม่ได้ถามออกมา นางชื่นชมทิวทัศน์งดงามข้างนอกด้วยสีหน้าสงบต่อไปเงียบๆ
“แม่นางเจี่ยนเชิญนั่ง” เซียวอวี้หันกลับมานั่งบนม้าหิน จับกาน้ำชาพบว่ายังอุ่น จึงรินชาให้ตนเองและนาง “เจ็ดปีก่อนฮ่องเต้ยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท คืนก่อนวันสอบขุนนางทรงปลอมตัวมาปะปนอยู่กับกลุ่มผู้เข้าสอบ พบข้ากับแม่ทัพเสิ่นสนทนาเรื่องต่างๆ อยู่ในหอสุราพอดี” เซียวอวี้ยิ้มส่ายหน้า “ตอนนั้นยังเด็กจึงกล้าพูดทุกอย่าง องค์รัชทายาทออกโจทย์ว่าหากภายในมีเจิ้นกั๋วกงกุมอำนาจอยู่ ภายนอกมีวอโค่วรุกราน แคว้นรอบด้านต่างจ้องจะจู่โจม ภัยในและภัยนอกเช่นนี้ ฮ่องเต้ควรจะจัดการอย่างไร”
เรื่องนี้ตัดสินใจลำบาก เจินสือเหนียงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง
“การขจัดภัยนอกย่อมต้องจัดการภายในก่อน” พอคิดว่าคำพูดประโยคนี้เปลี่ยนแปลงชะตาของเขากับเสิ่นจงชิ่ง เซียวอวี้หน้าแดงเล็กน้อย “ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นองค์รัชทายาท ข้าจึงอธิบายแผนลดทอนอำนาจของเจิ้นกั๋วกง จากนั้น ‘รวมแคว้นเยียนฉี โดดเดี่ยวอี๋เยวี่ย’ ใช้กลยุทธ์แบ่งแยกแล้วค่อยกลืนกิน” เซียวอวี้ย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต แววตาอ่อนโยนลง “องค์รัชทายาทถามว่า เยียนฉีทางตอนเหนือกับอี๋เยวี่ยทางตอนใต้จ้องจะรุกรานต้าโจวอยู่แล้ว อาศัยความห้าวหาญเก่งการศึกของเจิ้นกั๋วกง พวกเขาถึงไม่กล้าวู่วาม หากลดอำนาจทหารของเจิ้นกั๋วกงจะมิใช่การฆ่าตัวตายหรือ คำพูดแต่ละคำทำเอาข้าเถียงไม่ออก” เหมือนย้อนกลับไปในอดีต เซียวอวี้เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ทอดสายตามองไปทั่วต้าโจว ไม่ว่าจะการนำทัพ ทำศึก หรือวางแผนการรบไม่มีผู้ใดเก่งกาจไปกว่าเจิ้นกั๋วกง มีเพียงเขาที่สามารถกำราบแคว้นข้างเคียงให้สงบได้ แม้จะเปิดสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายบู๊อย่างจริงจังแล้ว แต่จะเฟ้นหาเจิ้นกั๋วกงคนที่สองที่ห้าวหาญเก่งกาจหาใช่เรื่องง่าย”
“ภายหลังล่ะ” ที่ผ่านมาเซียวอวี้เป็นคนสุขุมมั่นใจและควบคุมสถานการณ์ได้เสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่เจินสือเหนียงได้ยินเขาพูดว่าเถียงไม่ออก จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“องค์รัชทายาทหันไปถามแม่ทัพเสิ่นว่าเจ้าเข้าสอบขุนนางฝ่ายบู๊ ลองพูดดูซิว่าจะรับมือการรุกรานของอี๋เยวี่ยอย่างไร แม่ทัพเสิ่นใช้ถ้วยชามบนโต๊ะแทนทหารและวางแผนการศึกให้ดู ก่อนอื่นต้องดูว่าแม่ทัพของหนานอี๋เป็นใคร เชี่ยวชาญอะไร หากจะโจมตีต้องโยกย้ายกำลังทหารและจัดกระบวนทัพอย่างไร” เซียวอวี้คิดแล้วรู้สึกประทับใจ “องค์รัชทายาทฟังอย่างตั้งใจ ตอนนั้นข้าถึงรู้ว่าแม่ทัพเสิ่นเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางการทหารที่หายากคนหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านภูมิประเทศ เขาไปแค่หนเดียวก็จำได้ไม่ลืม ทั้งยังสามารถเสนอกลยุทธ์การศึกที่เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศนั้นๆ ได้”
“แสดงว่าองค์รัชทายาทแต่งตั้งเขาเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊” อยากบ่มเพาะเขามาแทนที่เจิ้นกั๋วกง
พอคิดว่าหกปีก่อนเจิ้นกั๋วกงเสียชีวิตด้วยโทษกบฏ นั่นเป็นช่วงเวลาหลังจากเสิ่นจงชิ่งได้เป็นจ้วงหยวน เจินสือเหนียงหัวใจสะท้าน คำพูดสุดท้ายถูกกลืนกลับลงไป
“พูดดีเพียงใดก็เป็นเพียงทฤษฎี อีกทั้งองค์รัชทายาทในตอนนั้นยังไม่ได้เป็นผู้บริหารบ้านเมือง” เซียวอวี้ส่ายหน้า “เป็นเพราะแม่ทัพเสิ่นแสดงความสามารถในสนามสอบอย่างโดดเด่น สร้างความประทับใจให้อดีตฮ่องเต้ จึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ น่าเสียดายที่…” พอคิดว่าด้วยหวาดเกรงพรสวรรค์ทางการทหารของเขา เสิ่นจงชิ่งถึงได้ถูกเจิ้นกั๋วกงกับเสนาบดีเจินร่วมมือกันวางแผน บังคับให้แต่งงานกับบุตรสาวของเสนาบดีผู้มีนิสัยหยิ่งยโสเอาแต่ใจ บัดนี้จะหย่าก็ไม่ได้ ชีวิตของวีรบุรุษต้องอยู่อย่างเงียบเหงาอ้างว้าง เซียวอวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดต่อ
น่าเสียดายอะไร เจินสือเหนียงสงสัย แต่เห็นเซียวอวี้เงียบไป นางเองก็ไม่อยากคุยเรื่องของเสิ่นจงชิ่งอีก จึงเปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินว่าฮ่องเต้จะให้องค์หญิงหกแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉี เป็นความจริงหรือ”
“คนในราชสำนักส่วนใหญ่คัดค้านการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ กำลังถกเถียงกันไม่สิ้นสุด” เซียวอวี้พูดพลางเกิดความคิด จู่ๆ ก็เงยหน้าถามด้วยความอยากรู้ “แม่นางเจี่ยนเห็นว่าอย่างไร”
“แม่ทัพเสิ่นกำลังจะยกทัพไปตีแคว้นเยียนใช่หรือไม่” นางลังเลก่อนจะพูดความคิดของตนเองออกมา ต้าโจวเพิ่งปราบปรามวอโค่วและยึดครองอี๋เยวี่ย กองทัพกำลังฮึกเหิม กำลังทหารอยู่เหนือแคว้นเยียนและฉี ไม่มีทางใช้องค์หญิงแต่งงานแลกความสันติแน่ บัดนี้กลับเกิดการถกเถียงไม่สิ้นสุด เห็นชัดว่าฮ่องเต้ทรงเห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้ เพียงแต่ราชสำนักมีผู้คัดค้านมาก ถึงไม่ได้ข้อสรุปเสียที
ฮ่องเต้เป็นราชาผู้ปราดเปรื่อง หาใช่คนขี้ขลาดตาขาว เหตุผลเดียวที่ทรงสนับสนุนการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ก็เพราะหลังปราบอี๋เยวี่ยแล้ว ทรงมีความคิดจะรวมแคว้น แม้กำลังทหารของแคว้นเยียนและฉีจะสู้ต้าโจวไม่ได้ แต่สามแคว้นคานอำนาจกันย่อมอยู่ในจุดสมดุล หากต้าโจวคิดจะก่อสงครามโจมตีแคว้นเยียน แคว้นฉีย่อมมาช่วย โจมตีแคว้นฉี แคว้นเยียนย่อมมาช่วย การยึดครองทั้งสองแคว้นในเวลาเดียวกันจึงเป็นไปไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือให้องค์หญิงสมรสเชื่อมสัมพันธ์เพื่อเป็นพันธมิตรกับแคว้นใดแคว้นหนึ่ง
เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย นางแค่ยื้อเวลาตกลงหย่ากับเขาจนกว่าเขาจะออกไปทำสงครามอีกครั้ง นางก็จะมีเวลาอีกหนึ่งถึงสองปีที่จะทำให้ยาลูกกลอนของนางเป็นที่รู้จักในสำนักแพทย์หลวงและเปิดโรงผลิตยาได้อย่างราบรื่น สร้างอนาคตที่ดีให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของตนเอง เจินสือเหนียงในใจประหม่า แต่ดวงตากลับมองเซียวอวี้เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขุนนางใหญ่หลายคนในราชสำนักยังมองสถานการณ์ไม่ออก คล้อยตามอันชิ่งโหวคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ แต่นางมองปราดเดียวกลับรู้พระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้!
เซียวอวี้หัวใจกระตุก เงยหน้าเพ่งพิศเจินสือเหนียงอย่างละเอียด เขาไม่เคยมองนางอย่างละเอียดเช่นนี้มาก่อนเลย นางงดงามมาก ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางๆ อยู่เสมอ แววตาสุภาพอ่อนโยนแฝงความสงบงดงามไว้ แค่ได้นั่งอยู่เฉยๆ กับนาง ไม่ต้องพูดจาก็ทำให้คนสบายใจได้และคลายความระแวดระวังโดยไม่รู้ตัว เขาถึงกับพูดเรื่องในอดีตมากมายที่ไม่เคยพูดกับใครออกมา นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิต!
เซียวอวี้ตระหนก เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “เพิ่งจะปราบปรามอี๋เยวี่ย การทำศึกต่อเนื่องหลายปีทำให้คลังหลวงพร่องลง คราวนี้แม่ทัพเสิ่นน่าจะต้องพักผ่อนอีกสามถึงห้าปี…” ไม่ได้บอกว่าจะตีแคว้นเยียนหรือไม่
หลายปีมานี้อันชิ่งโหวอาศัยที่ตนมีความดีความชอบในการกำจัดเจิ้นกั๋วกงและสนับสนุนองค์รัชทายาทให้ขึ้นครองราชย์ อีกทั้งอำนาจของฮองเฮาและองค์ชายใหญ่ทำให้อำนาจของเขาแผ่ไพศาล หากยังไม่กำจัดเขา ฮ่องเต้ไม่มีทางยกทัพออกไปทำศึกกับแคว้นอื่นง่ายๆ แน่
บรรยากาศเงียบลง ด้วยรู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาจากนอกศาลา เจินสือเหนียงจึงเงยหน้า เห็นหงเอ๋อร์กวักมือเรียกนางอยู่ข้างนอกก็รีบลุกขึ้น “ข้าต้องไปเปลี่ยนยาให้ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”
เซียวอวี้เองก็รู้สึกโล่งอก ถือโอกาสลุกขึ้นส่งนางออกจากศาลาเหมย
นางอยู่ที่นี่อีกสองวันจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าหายใจเป็นปกติ เซียวอวี้ถึงให้พ่อบ้านกู้ส่งนางกลับเมืองอู๋ถง
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กำลังเล่นลูกข่างอยู่บนพื้น ดวงหน้าเล็กแดงก่ำเพราะความหนาวเย็น พอเห็นเจินสือเหนียงลงจากรถม้าก็โยนเชือกทิ้งวิ่งเข้าไปหา “ท่านแม่ ท่านแม่!” เจี่ยนอู่กอดเอวเจินสือเหนียงร้องไห้โฮ เห็นน้องชายร้องไห้ เจี่ยนเหวินจึงร้องตามบ้าง ทำเอาผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาหยุดมอง
“ท่านแม่กลับมาเป็นเรื่องน่าดีใจ เหวินเกอ อู่เกออย่าร้องไห้สิ” ชิวจวี๋รีบดึงทั้งสองออกมาปลอบและมองเจินสือเหนียง “คุณหนูไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่ท่านจากไป เหวินเกอ อู่เกอชะเง้อคอรอท่านทุกวัน พอกินข้าวเสร็จก็ยืนรออยู่ตรงนี้ เห็นรถม้าก็ร้องว่าท่านแม่กลับมาแล้ว…” ชิวจวี๋เล่าแล้วรู้สึกแสบจมูก ก้มหน้าออกแรงดึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ “ข้างนอกหนาว เหวินเกอ อู่เกออย่าเพิ่งเกาะแกะท่านแม่ เข้าไปในบ้านก่อน”
ไม่เคยต้องจากลูกนานขนาดนี้มาก่อน เจินสือเหนียงก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน นางกอดเด็กทั้งสองแน่นไม่ยอมปล่อยมือ
หงเอ๋อร์เห็นแล้วรีบหยิบขนมไหมน้ำตาลกล่องหนึ่งออกมา “เด็กๆ มากินขนมดีกว่า” นางเปิดกล่องพร้อมยื่นมือออกไป
ถึงอย่างไรก็เป็นเด็ก พอได้ยินว่ามีขนม เหวินเกอ อู่เกอเช็ดน้ำตาและเงยหน้ามองมารดา เห็นมารดาไม่ว่าอะไรจึงรับไป “ขอบคุณพี่สาว!”
“เอ๊ะ!” เห็นใบหน้านุ่มเนียนของอู่เกอแล้ว พ่อบ้านกู้อุทานอย่างประหลาดใจ “เจ้าชื่ออะไร ไฉนจึงคุ้นตาถึงเพียงนี้” เขาพึมพำกับตนเอง “เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” เขาเอียงศีรษะครุ่นคิด
พ่อบ้านกู้ต้องเคยเห็นเสิ่นจงชิ่งแน่ๆ! เดิมทีเจินสือเหนียงไม่ได้ใส่ใจ แต่พอได้ยินพ่อบ้านกู้พูด เจินสือเหนียงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึม “ชื่อเหวินเกอ อู่เกอ” นางยิ้มแนะนำ แต่ไม่ได้ให้ทั้งสองไปแสดงความเคารพและดึงพวกเขาที่กำลังจ้องขนมในกล่องด้วยความแปลกใจเข้ามาในอกอย่างแนบเนียน จากนั้นปิดฝากล่อง “รีบไปบอกอาสี่เชวี่ยและให้อาเขยมารับแม่”
“อื้ม!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กอดกล่องขนมและวิ่งจากไป
เจินสือเหนียงเห็นพ่อบ้านกู้ยังคงมองแผ่นหลังของเหวินเกอ อู่เกอและนิ่วหน้า นางจึงพูดขึ้นว่า “ถึงบ้านข้าแล้ว พ่อบ้านกู้กลับไปเถอะ”
พ่อบ้านกู้ถูกขัดจังหวะความคิดและหันกลับมา “บ้านของท่านหมอเจี่ยนอยู่ที่ใด ข้าจะช่วยขนของไปให้” ขากลับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวตกรางวัลเป็นขนมและรังนกให้นาง แต่เซียวอวี้จงใจให้เป็นผ้าแพร ไก่ป่า เนื้อหมู และข้าวของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ต้องการให้พ่อบ้านกู้ถือโอกาสนี้สืบหาที่อยู่ที่ชัดเจนของเจินสือเหนียง
“ขอบคุณพ่อบ้านกู้” เจินสือเหนียงปฏิเสธอย่างแนบเนียน “แต่ตรอกเล็กเกินไป รถม้าเข้าไม่ได้”
พ่อบ้านกู้ยังจะยืนกราน แต่หลี่ฉางเหอพาน้องชายหลี่ฉางไห่ลากเลื่อนมาแล้ว ด้วยจนใจจึงได้แต่สั่งให้คนขับรถม้าขนของลงมา
หลังกินข้าวเย็น สี่เชวี่ยนอนค้างที่บ้านบรรพบุรุษเป็นกรณีพิเศษ กล่อมเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หลับแล้วก็นั่งคุยกับเจินสือเหนียงเสียงค่อย
“ได้ยินว่าฮูหยินของใต้เท้าเซียวเพิ่งเสียชีวิต” ไม่รู้ภรรยาหลี่ฉีสืบข่าวนี้มาจากที่ไหน หมู่นี้คอยพูดอยู่ข้างหูสี่เชวี่ยไม่หยุดเหมือนแมลงวันบินวน ดูท่าคงต้องการยุให้เจินสือเหนียงแต่งเป็นภรรยาคนต่อไปของเซียวอวี้เป็นแน่ เรื่องนี้ทำเอาสี่เชวี่ยรู้สึกหนาวสันหลังวาบ
“อืม” เจินสือเหนียงพยักหน้า “เป็นคุณหนูรองของใต้เท้าลู่รองเสนาบดีกรมทหาร แต่งเข้ามาเมื่อสี่ปีก่อน ปีที่แล้วคลอดเฟิงเกอและเสียชีวิต”
ใต้เท้าลู่? สี่เชวี่ยผุดลุกขึ้นนั่งทันที “ลู่เหิงหรือ”
“ระวังจะกระทบกระเทือนครรภ์” เจินสือเหนียงตกใจรีบประคองนางไว้ “ใช่แล้ว ทำไมหรือ” นางมองสี่เชวี่ยอย่างไม่เข้าใจ
“อมิตาภพุทธ…” สี่เชวี่ยประสานมือร้อง “คุณหนูลืมไปหมดแล้วจริงๆ คุณหนูรองของใต้เท้าลู่นามว่าลู่อิง เคยเป็นเพื่อนรักของท่าน ก่อนออกเรือนท่านมักไปเล่นกับนาง…ตอนนั้นนางเป็นคนเกลี้ยกล่อมไม่ให้ท่านแต่งกับแม่ทัพเสิ่น บอกว่าแม่ทัพเสิ่นมีหญิงในดวงใจแล้ว ไม่มีทางดีต่อท่านหรอก” ครั้นคิดว่าคำพูดของลู่อิงทั้งหมดเป็นความจริง สี่เชวี่ยก็ทอดถอนใจ
เจินสือเหนียงเหงื่อแตกพลั่ก บังเอิญเหลือเกินที่นางเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ในห้องพลันเงียบสนิทลง ก่อนที่สี่เชวี่ยจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครา
“เตาพกของคุณหนูในอดีตประณีตกว่านี้มาก” สี่เชวี่ยหยิบเตาพกลงยาลายนกกระเรียนที่เซียวอวี้ตกรางวัลให้ขึ้นมาดู “ตอนนั้นเตาพกที่คุณหนูใช้แต่ละวันล้วนไม่เหมือนกัน ประชันขันแข่งกับคุณหนูรองสกุลลู่”
ชีวิตฟุ้งเฟ้อเช่นนั้นนางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เจินสือเหนียงไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้ สายตาจึงหยุดที่ท้องของสี่เชวี่ย “หมู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกอะไรบ้างหรือไม่” นางยื่นมือไปจับแขนสี่เชวี่ย “ข้าอยู่จวนราชมนตรีก็กังวลแต่ว่าเจ้าท้องโตและยังต้องดูแลเด็กสองคนจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“บ่าวสบายดีเจ้าค่ะ เหวินเกอ อู่เกอไม่เคยตื๊อบ่าว เกาะติดชิวจวี๋แจ” มองดวงหน้าเล็กแดงเรื่อของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยามหลับแล้ว สี่เชวี่ยพลันนึกอะไรได้ “คุณหนู!”
“มีอะไรหรือ” ได้ยินเสียงที่เพี้ยนไปของนาง เจินสือเหนียงหยุดจับชีพจรและเงยหน้าขึ้น
“เมื่อวานท่านแม่ทัพเห็นเหวินเกอ อู่เกอแล้ว”
“อะไรนะ!” เจินสือเหนียงเสียงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พลิกตัวอยู่ข้างหลังก็รีบหันไปลูบหลังพวกเขาเบาๆ ก่อนจะหันมาถามเสียงค่อย “เขารู้สึกแปลกใจอะไรหรือเปล่า เขาว่าอย่างไรบ้าง” นางเสียงสั่น
ให้ตายนางก็ไม่มีทางยกลูกให้เขา!
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ…” สี่เชวี่ยส่ายหน้า “ได้ยินเสียงเคาะประตู เหวินเกอ อู่เกอคิดว่าเป็นท่านจึงรีบวิ่งไปเปิด โชคดีที่เหวินเกอ อู่เกอมีไหวพริบ พอเห็นว่าเป็นท่านแม่ทัพก็หันหลังวิ่งไปหลังบ้านเหมือนนัดกันไว้” นางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น “ตอนนั้นบ่าวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ทันสังเกตสีหน้าของท่านแม่ทัพ แต่ชิวจวี๋บอกว่าเขาจ้องแผ่นหลังของเหวินเกอ อู่เกออยู่นาน”
“แค่เห็นผ่านๆ แวบเดียวใช่ไหม” เจินสือเหนียงพึมพำ เงยหน้าถามทันใด “ตอนนั้นท่านแม่ทัพถามอะไรหรือไม่”
“เขาไม่ได้ถามอะไร แต่หรงเซิงถามว่าเป็นเด็กที่ไหน บ่าวบอกว่าเป็นเด็กข้างบ้าน”
“เขาไม่ได้แปลกใจ!” ครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้ว เจินสือเหนียงยิ้มออกมา หาไม่ด้วยนิสัยเผด็จการของเขาจะต้องสืบถามความจริงจนถึงที่สุดแน่ อย่างน้อยก็ต้องวิ่งตามเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และถามให้ชัดเจน เขามีวิชายุทธ์ล้ำเลิศ หากคิดจะดูหน้าเด็กให้ชัดๆ เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จะหนีเขาพ้นได้อย่างไร
สี่เชวี่ยรู้สึกไม่สบายใจมาตลอด จนเมื่อเห็นเจินสือเหนียงยิ้มอย่างมั่นใจถึงโล่งอก
“เขามาทำไม” เจินสือเหนียงถาม “แล้วกลับไปเมื่อไหร่”
“บ่าวไม่กล้าถาม ท่านแม่ทัพเห็นท่านไม่อยู่ก็ถามว่าไปไหน บ่าวบอกว่าเมืองข้างเคียงมีหมอเทวดา ท่านจึงไปหา เขาค้างคืนที่โรงเตี๊ยมในเมืองคืนหนึ่ง เมื่อเช้ามาที่นี่อีกครั้ง เห็นท่านยังไม่กลับมาจึงกลับไปแล้ว” สี่เชวี่ยยื่นมือไปห่มผ้าที่เหวินเกอถีบออกให้ดีๆ “ชิวจวี๋ซุ่มดูอยู่นอกโรงเตี๊ยม เห็นท่านแม่ทัพออกจากเมืองไปราวยามซื่อ*”
เจินสือเหนียงขมวดคิ้วแน่น ถึงจะอยากจัดการนางมากเพียงไร แต่อย่างน้อยก็ควรให้นางได้ฉลองปีใหม่อย่างสงบ จะสิ้นปีอยู่แล้ว เขายังมาทำไมอีก
“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ฉู่ซินอี๋ลุกพรวดขึ้นทันใด “เขาอยู่ไหน สีหน้าเป็นอย่างไรบ้าง” นางถามชุนหงที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง พลางก้าวออกไปข้างนอก
“หน้าบึ้งตลอดเลยเจ้าค่ะ” ชุนหงก้าวตามอยู่ข้างหลังและช่วยจัดเสื้อผ้าให้ฉู่ซินอี๋ “พอกลับมาก็ไปห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้แสดงว่าไม่ราบรื่นน่ะสิ” ฉู่ซินอี๋ชะงักเท้าทันที
แม้เสิ่นจงชิ่งจะไม่ได้บอกนาง แต่นางรู้ว่าภายใต้การเร่งเร้าของฮูหยินผู้เฒ่า เขาไปเมืองอู๋ถงครั้งนี้ก็เพื่อตกลงหย่าขาดกับเจินสือเหนียง
“หรือว่านังแพศยานั่นไม่ยอมตกลง” ฉู่ซินอี๋หันหลังกลับและนั่งลง เรื่องนี้นางต้องขบคิดให้ดีก่อน การตกลงหย่าไม่เหมือนการเขียนหนังสือหย่า จะต้องให้ฝ่ายหญิงประทับรอยนิ้วมือถึงจะมีผล
“เรื่องนี้ยังต้องพูดหรือเจ้าคะ ท่านแม่ทัพทั้งหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม ใครที่คว้าได้แล้วย่อมไม่มีทางปล่อย” ชุนหงแค่นเสียง “หาไม่ตอนแรกนางคงไม่ใช้วิธีสกปรกแบบนั้นหลอกล่อท่านแม่ทัพ”
“นั่นสิ” ฉู่ซินอี๋พยักหน้า ก่อนจะนึกอะไรได้จึงพลันส่ายหน้าทันที “ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางไม่เกรงกลัวอำนาจของจวนแม่ทัพ กล้าไม่ตกลงหย่า!” เป็นแค่บุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เพราะบารมีของเสิ่นจงชิ่ง หากทำให้เขาโมโหจนสังหารนาง ใครจะกล้าว่าอะไร เสิ่นจงชิ่งเดินทางไปเจรจาด้วยความน่าเกรงขาม แต่กลับไม่ได้ตกลงหย่าขาด มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเสิ่นจงชิ่งเองไม่อยากตกลงหย่า!
คิดเช่นนี้แล้ว ใบหน้าของฉู่ซินอี๋เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ยิ่ง
“แต่ไรมาท่านแม่ทัพชอบคนอ่อน ไม่ชอบคนแข็ง” ชุนหงเข้าใจทันที “จะต้องเป็นเพราะนางร้องห่มร้องไห้คุกเข่าอ้อนวอนเป็นแน่ ทำให้ท่านแม่ทัพใจอ่อน”
เจินสือเหนียงในความทรงจำหยาบคายร้ายกาจ ไม่เคยก้มหน้ารับผิด แม้จะถูกไล่ออกจากจวนจ้วงหยวนก็ยังหยิ่งยโสโอหัง คำพูดของชุนหงฉู่ซินอี๋ไม่เคยคิดถึงมาก่อน นางมองชุนหงนิ่งๆ “นางรู้จักก้มหัวแล้วหรือ”
“อี๋เหนียงไม่ได้ยินท่านแม่ทัพบอกหรือเจ้าคะว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอย่างลำบาก” ชุนหงหยัน “ชีวิตยากจนข้นแค้นแบบนั้น เอวที่แข็งเพียงใดย่อมหักงอได้!”
ชุนหงพูดแบบไม่คิดอะไร ฉู่ซินอี๋กลับบังเกิดความหวาดหวั่น ถึงอย่างไรก็เป็นโฉมงามล่มเมือง หากเจินสือเหนียงรู้จักก้มหน้าอดทน ถ้าเสิ่นจงชิ่งตระหนักถึงแผนการลับหลังของฮูหยินผู้เฒ่าและไม่ยอมตกลงหย่า ยากจะรับรองได้ว่าพวกเขาจะไม่…ฉู่ซินอี๋ส่ายหน้า ไม่กล้าคิดต่อ
จู่ๆ นางก็กัดฟันอย่างขุ่นแค้น “ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าบุตรสาวขุนนางต้องโทษที่ไร้ที่พึ่งพิงกล้าดีขนาดไหน ถึงไม่ยอมตกลงหย่า!”
ปล่อยทิ้งไว้นานย่อมเกิดปัญหาตามมา เพื่อให้ตนเองได้ขึ้นเป็นนายหญิงของจวน นางต้องบีบให้เจินสือเหนียงตกลงหย่าโดยเร็วที่สุด เสิ่นจงชิ่งทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นนางคงต้องออกโรงด้วยตนเองแล้ว!
หิมะตกติดต่อกันหลายวัน อากาศแห้งและหนาวเย็นเจือกลิ่นอายความสดชื่น อากาศแบบนี้เหมาะจะทำถังหูลู่มากที่สุด
เห็นน้ำเชื่อมในหม้อค่อยๆ เหนียวข้น เจินสือเหนียงใช้ตะเกียบจุ่มลงไปและแช่ลงในน้ำเย็นสะบัดไปมา ก่อนจะยื่นมาที่ปากลองกัดดู กรอบๆ ไม่ติดฟันแม้แต่น้อย นางหันไปเรียกชิวจวี๋ “ยกซานจามาได้แล้ว!”
“เจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋วางไม้ที่เสียบซานจาได้ครึ่งหนึ่งและยกถาดซานจาที่เสียบไม้แล้วเดินออกมา “คุณหนูทำถังหูลู่ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” ชิวจวี๋ถามอย่างเปรี้ยวปากจนน้ำลายแทบหก
“เจ้าคอยดูก็รู้เองนั่นแหละ” เจินสือเหนียงยิ้มคนน้ำเชื่อมในหม้อ “หรี่ไฟลงหน่อย” นางพูดพลางยื่นมือไปหยิบซานจาไม้หนึ่งกลิ้งในหม้ออย่างรวดเร็ว จากนั้นสะบัดลงบนแผ่นไม้ที่ทาน้ำมันไว้แล้ว ก่อนจะหยิบอีกไม้ขึ้นมาทำแบบเดียวกัน
ชิวจวี๋ก้มลงหยิบฟืนสองสามท่อนออกจากท้องเตา เงยหน้าขึ้นเห็นเจินสือเหนียงกลิ้งซานจาไปหลายไม้แล้ว แต่ละไม้สีแดงสด เปล่งประกายแวววาว ชิวจวี๋เห็นแล้วน้ำลายหก “เสร็จแล้วหรือเจ้าคะ ง่ายถึงเพียงนี้เชียว” นางพูดต่อ “คุณหนูทำเป็นทำไมปีก่อนไม่ทำล่ะเจ้าคะ” ฤดูหนาวปีก่อนๆ นางกับเจี่ยนอู่เห็นบ้านอื่นกินถังหูลู่แล้วอยากกินแทบแย่
ปีก่อนๆ? ปีก่อนๆ มีเงินเหลือทำสิ่งนี้เสียที่ไหน นี่ยังต้องขอบคุณเซียวอวี้ที่วันก่อนส่งข้าวของมาให้มากมาย พอดีมีซานจาถุงหนึ่ง เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เห็นแล้วร้องว่าถังหูลู่อร่อย อยากกินถังหูลู่ นางจึงจัดแจงทำ
“เจ้าคิดว่าทำง่ายๆ หรือ” เห็นชิวจวี๋จ้องนางเขม็ง เจินสือเหนียงจึงยิ้มพูด “ข้าจะบอกให้ ไฟของน้ำเชื่อมกะยากที่สุด หากเบาไปน้ำตาลจะติดฟันและแข็งเหมือนก้อนหิน แรงไปรสชาติจะขม ปีก่อนๆ ห่วงเรื่องปากท้องก็หมดเวลาแล้ว ยังจะทำของสิ่งนี้อีกหรือ” นางชี้น้ำเชื่อมสีดำครึ่งหม้อที่ถูกวางทิ้งอยู่ข้างเตา “ข้าเพิ่งเคี่ยวไหม้ไปหม้อหนึ่ง” หากเป็นปีก่อนๆ นางต้องปวดใจตายแน่ น้ำตาลทรายขาวพวกนี้ต้องใช้เงินซื้อมาทั้งนั้น
ชิวจวี๋แลบลิ้น “ให้บ่าวลองบ้างนะเจ้าคะ” เห็นเจินสือเหนียงทำง่ายๆ ชิวจวี๋จึงอยากลองดูบ้าง
“อืม” เจินสือเหนียงเบี่ยงตัวหลบให้นางเข้ามา “ตอนกลิ้งบนน้ำเชื่อมต้องเร็ว หาไม่น้ำเชื่อมจะแข็ง หุ้มไม่อยู่ ตอนวางลงบนแผ่นไม้ต้องสะบัดแรงๆ แบบนี้น้ำตาลใต้ถังหูลู่ถึงจะเชื่อมเป็นแผ่นเดียวกัน ทั้งสวยและอร่อย” นางยื่นมือไปหยิบงามาโรยใส่ถังหูลู่ที่เคลือบน้ำตาลแล้วอย่างสม่ำเสมอ
ชิวจวี๋ทำตามอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ทำอย่างไรน้ำเชื่อมก็หุ้มซานจาไม่อยู่ “บ่าวโง่เหลือเกิน!” มองถังหูลู่สองไม้ของตนเองที่มีหนังแต่ไร้ขนแล้วหัวเราะคิก
“ท่านแม่ ท่านแม่!” เสียงของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ดังขึ้น “แย่แล้ว แย่แล้ว! หน้าบ้านมีคนมากมาย อาสี่เชวี่ยบอกให้ท่านไปซ่อนตัว!” เสียงร้องที่เพี้ยนไปเจือความหวาดหวั่นเหมือนหายนะครั้งใหญ่มาเยือน
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ซุกซนมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งยังใจกล้า ยามซนขึ้นมาแทบจะเจาะท้องฟ้าให้เป็นรู นี่เป็นครั้งแรกที่เจินสือเหนียงเห็นพวกเขาร้อนใจจนเสียงเปลี่ยน หัวใจพลันสะดุด รีบสะบัดถังหูลู่ในมือที่เพิ่งกลิ้งกับน้ำเชื่อมลงบนแผ่นไม้ สั่งชิวจวี๋ว่า “ดับไฟเสียและยกหม้อไปวางบนพื้นหิมะให้เย็น ระวังอย่าลวกถูกมือล่ะ”
นางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนและหันไปหาเด็กสองคนที่โผเข้ามา ดึงพวกเขาไปอีกทางให้อยู่ห่างจากหม้อน้ำเชื่อมร้อนระอุและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ฉู่อี๋เหนียงมา…”
“อาสี่เชวี่ยบอกให้ท่านแม่…”
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พูดพร้อมกันและเงียบพร้อมกัน ต่างจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
เจินสือเหนียงมองเจี่ยนเหวินและเจี่ยนอู่ ก่อนเอ่ยว่า “เหวินเกอพูดก่อน”
“ข้างนอกมีคนมามากมาย อาสี่เชวี่ยบอกว่าเป็นฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพ นางมาหาเรื่องท่านแม่ ให้ข้ามาบอกให้ท่านแม่ไปซ่อนตัว” เจี่ยนเหวินพูดรวดเดียวจบและลากเจินสือเหนียงไปข้างนอก “ท่านแม่รีบหนีออกไปทางประตูหลังบ้าน ข้ากับน้องชายจะไปตามอาเขย!”
ทั้งสองได้รับการอบรมบ่มสอนจากเจินสือเหนียงตั้งแต่เด็ก แม้จะซุกซน แต่เจี่ยนเหวินยึดหลักสู้ไม่ได้ย่อมต้องหนี คนฉลาดต้องรู้จักหลบเลี่ยงสถานการณ์ที่ตนเสียเปรียบ โดยเฉพาะยามที่ศัตรูมีจำนวนเยอะกว่า เขาจะไม่ยอมเป็นกวางโง่ที่วิ่งเข้าหาอันตรายเด็ดขาด ต้องหาวิธีพลิกสถานการณ์ รักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ก่อนแล้วไปขนกำลังเสริมมาช่วย
“มีใครบ้าง” เจินสือเหนียงถอดผ้ากันเปื้อนพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า ที่นี่อยู่ห่างจากจวนแม่ทัพ นางตั้งใจใช้ชีวิตอย่างสันโดษไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ไฉนคนพวกนี้จึงไม่ยอมละเว้นนาง
“มีทั้งหมดหกคน เป็นผู้หญิงหมดเลย!” เจี่ยนอู่เสริม “ยังมีผู้ชายสองคนเฝ้ารถม้าอยู่หน้าประตูด้วย”
“พวกเขาเห็นพวกเจ้าหรือเปล่า”
“พออาสี่เชวี่ยได้ยินพวกเขาบอกชื่อแซ่ก็ให้ข้ากับพี่ชายไปหลบก่อน พวกเราแอบเห็นจากมุมกำแพงว่าพอพวกนางเข้ามาก็ให้อาสี่เชวี่ยคุกเข่า…”
“อะไรนะ!” เจินสือเหนียงร้องเสียงหลง “พวกนางให้อาสี่เชวี่ยคุกเข่าบนพื้นหิมะหรือ”
“อาสี่เชวี่ยรีบคุกเข่าลงไปทันที” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ผงกศีรษะพร้อมกัน
“ชิวจวี๋ รีบตามข้าไปดู!” อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ให้สี่เชวี่ยคุกเข่าบนพื้นหิมะหาใช่เรื่องเล่นๆ นางรีบดันหลังเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พลางกล่าว “พวกเจ้ารีบไปตามอาเขยมาที่นี่!”
ชิวจวี๋เพิ่งเก็บเตาเสร็จ กำลังยกถังหูลู่ที่ทำเสร็จออกไปข้างนอก ได้ยินแล้วจึงวางถังหูลู่ไว้บนชั้นกลางลานบ้านและหันกลับมาประคองเจินสือเหนียง
“ถังหูลู่!” เจี่ยนอู่ยื่นมือจะคว้า แต่ถูกเจินสือเหนียงห้ามไว้ “ร้อนเกินไป กินตอนนี้จะปวดฟันจนฟันหัก รอให้เย็นแล้วค่อยกิน” นางใช้มือดันทั้งสองให้เดินออกไปข้างนอก “พวกเจ้าไปหาอาเขยของสี่เชวี่ยก่อน กลับมาค่อยมานั่งกินที่ลานนี้ ห้ามไปหน้าบ้านเด็ดขาด!”
“ข้ารู้แล้ว” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หันไปมองถังหูลู่สีแดงสดบนชั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ กลืนน้ำลายและวิ่งหายไปทันที
พอเดินผ่านประตูเล็กออกมา เจินสือเหนียงก็ต้องตกใจ นางเห็นผู้หญิงแต่งกายฉูดฉาดยืนล้อมสี่เชวี่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพลางชี้นิ้วต่อว่า ใครบางคนตวาดนาง จากนั้นสาวใช้ไหล่เล็กเอวบางคนหนึ่งยกเท้าทำท่าจะถีบไปที่ท้องกลมโตของสี่เชวี่ย
“หยุดนะ!” เจินสือเหนียงตะโกนเสียงดัง หัวใจแทบกระดอนออกมาจากลำคอ หากถีบลงไปจริง ดีไม่ดีอาจเป็นหนึ่งศพสองชีวิต!
สาวใช้ลังเลเมื่อได้ยินเสียงตวาด ชิวจวี๋วิ่งปราดเข้าไปแล้ว นางแหวกผ่านกลุ่มคนมากมายและผลักสาวใช้คนนั้นออก ก่อนจะยืนขวางหน้าสี่เชวี่ยไว้
ชิวจวี๋รูปร่างผอมแห้งและตัวเล็กก็จริง แต่นางหาบน้ำผ่าฟืนและทำงานหนักเป็นประจำ ร่างกายเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง สาวใช้ผิวบางนวลเนียนพวกนี้หรือจะทนแรงผลักของนางได้ อีกทั้งนางยังวิ่งนำมาก่อนเป็นระยะทางหนึ่ง ด้วยความร้อนใจจึงผลักสุดแรง ทำเอาสาวใช้คนนั้นกระเด็นออกไปเป็นจั้งและหงายหลังล้มลงบนพื้น ศีรษะด้านหลังกระแทกพื้นหิมะที่แข็งเหมือนเหล็ก ตาเหลือกขึ้นก่อนจะหมดสติไป
“อู่เอ๋อร์!” มีคนร้องเรียกอย่างตกใจ สาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้าไปประคองสาวใช้นามอู่เอ๋อร์ คนอื่นๆ พากันล้อมชิวจวี๋ไว้อย่างแน่นหนา
ชิวจวี๋ร้อนใจ เห็นทุกคนล้อมเข้ามาจึงปราดไปข้างกำแพงคว้าพลั่วเหล็กวาดใส่ทุกคนที่เข้าใกล้ “ใครกล้าเข้ามา ข้าจะสู้ตาย!” ดวงตานางแดงก่ำ
สาวใช้ที่ได้ติดตามฉู่อี๋เหนียงออกนอกบ้านล้วนเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ในจวนแม่ทัพ สูงส่งบอบบางไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลทั่วไป ยามพูดจาอ่อนหวานแผ่วเบา ร่างกายแทบจะปลิวไปตามแรงลมได้ ไหนเลยจะเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แต่ละคนตื่นตกใจจนถอยไปไกล มองชิวจวี๋อย่างอกสั่นขวัญแขวนโดยไม่กล้าเข้าใกล้
มีนายแบบใดย่อมมีบ่าวแบบนั้น! เจินสือเหนียงผู้นั้นนิสัยหยาบคาย สาวใช้ของนางก็หยาบกระด้างไม่ต่างจากคนบ้า ฉู่ซินอี๋เห็นชิวจวี๋แล้วก็แค่นเสียงหยันในใจ ยืนนิ่งจ้องชิวจวี๋อยู่ที่เดิม นางเป็นนาย ต้องรักษาความสง่าที่พึงมีเอาไว้ มิอาจถอยไปข้างหลังเหมือนสาวใช้พวกนั้น แม้เผชิญหน้ากับชิวจวี๋ที่ดุดันแล้วจะรู้สึกแข้งขาอ่อน แต่ฉู่ซินอี๋ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เอ่ยถามชิวจวี๋ด้วยเสียงสุขุมว่า “เจ้าก็เป็นสาวใช้ของนายหญิงหรือ ชื่ออะไรล่ะ” ขอเพียงนังเด็กนี่กล้ายอมรับว่าเป็นสาวใช้ของเจินสือเหนียง นางย่อมไม่กลัว ถึงอย่างไรในจวนแม่ทัพก็มีระดับอาวุโส
สาวใช้คนอื่นเห็นผู้เป็นนายสุขุมเยือกเย็นก็ไม่ถอยหนีอีก แต่ไม่กล้าเข้าไปเช่นกัน ได้แต่หลบอยู่ข้างหลังฉู่ซินอี๋อย่างหวาดหวั่น เผชิญหน้ากับชิวจวี๋อยู่ไกลๆ
ชิวจวี๋ไม่ใช่คนร้ายกาจอยู่แล้ว เมื่อครู่เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับจนร้อนใจ บัดนี้เห็นทุกคนไม่กล้าเข้าใกล้ นางจึงหยุดและถือพลั่วเหล็กจ้องทุกคนเขม็ง
จวบจนเห็นว่าสี่เชวี่ยไม่เป็นไร เจินสือเหนียงถึงโล่งอก นางรีบเดินอ้อมกลุ่มคนไปตรงหน้าสี่เชวี่ย “พื้นเย็นมาก เจ้ารีบลุกขึ้น” ครั้นเห็นแก้มสองข้างของสี่เชวี่ยบวมแดงก็อดอุทานไม่ได้ “สวรรค์ ไฉนจึงถูกตบจนเป็นแบบนี้”
“บ่าวไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้าไม่ยอมลุกขึ้น กดเสียงให้เบาและพูดว่า “คุณหนูไม่เคยเห็นนาง นางคือฉู่ซินอี๋ เป็นผู้กุมอำนาจภายในจวนแม่ทัพอย่างแท้จริง พวกเราจะล่วงเกินนางไม่ได้” สี่เชวี่ยพยายามผลักเจินสือเหนียงออกไป “คุณหนูไม่ต้องสนใจบ่าว ให้บ่าวคุกเข่าเถอะเจ้าค่ะ นางระบายอารมณ์กับบ่าวแล้วย่อมไม่ไปสร้างความลำบากใจให้ท่านอีก” หาไม่หากนางกลับไปฟ้องเสิ่นจงชิ่ง นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“เดิมทีข้าไม่คิดจะสนใจเจ้าหรอก!” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงยามนี้เย็นเยียบเจือโทสะ “แต่หากเจ้ายังไม่ลุก กระทบกระเทือนถึงครรภ์ ระวังอีกหน่อยจะมีลูกไม่ได้อีก!” มีชีวิตอยู่มาสองชาติ นางไม่เคยเห็นคนไม่เอาไหนขนาดนี้มาก่อน! คุกเข่าปล่อยให้คนทุบตีโดยไม่ตอบโต้ สู้ชิวจวี๋ของนางก็ไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นใครก็ช่างเถอะ คว้าอะไรได้ก็ลุยเข้าไปก่อน
คำพูดนี้ได้ผล สี่เชวี่ยตกใจหน้าซีดเผือด นางไม่กล้าคุกเข่าอีก ออกแรงพยุงเจินสือเหนียงไว้และลุกขึ้น สายตามองข้ามเจินสือเหนียงไปยังฉู่ซินอี๋ที่อยู่ข้างหลัง ร่างกายสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ก่อนตอนอยู่จวนจ้วงหยวนนางถูกตีเป็นประจำจนชินแล้ว นางไม่กลัวสักนิด ห่วงก็แต่คุณหนูของนางจะถูกเสิ่นจงชิ่งตำหนิด้วยเรื่องนี้ แล้วเสิ่นจงชิ่งจะฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างไล่นางออกจากบ้านบรรพบุรุษ
ฉู่ซินอี๋ผู้นี้หาใช่ใครอื่น นางเป็นคนสำคัญของเสิ่นจงชิ่ง ว่ากันว่าเสิ่นจงชิ่งเอาอกเอาใจนางทุกอย่าง อยากได้ดาวไม่กล้าคว้าเดือนมาให้ ในฐานะภรรยาที่ถูกทิ้ง พวกนางจะล่วงเกินอีกฝ่ายได้อย่างไร
เห็นสี่เชวี่ยมองไปข้างหลังตนอย่างหวาดหวั่น เจินสือเหนียงค่อยๆ หันกลับไปและอดสูดหายใจอย่างตระหนกไม่ได้
ฉู่ซินอี๋อยู่ในชุดเสื้อไหมทองสีเหลืองนวลปักลาย คลุมทับด้วยเสื้อขนจิ้งจอกเงินสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ เท้าสวมรองเท้าหุ้มแข้งหนังกวางสีแดงประดับขนด้านนอก ยามยืนอยู่บนพื้นหิมะขาวโพลนแล้วดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ มวยก้อนเมฆเสียบปิ่นระย้าลูกปัดไว้เฉียงๆ อัญมณีสีแดงเม็ดใหญ่ด้านบนย้อยลงมาถึงหน้าผาก คิ้วดำดุจหมึก ดวงตากระจ่างดุจบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ดวงหน้าเล็กประณีตดูอ่อนหวานบอบบางอย่างบอกไม่ถูก
เห็นฉู่ซินอี๋ในสภาพนี้แล้ว หัวของเจินสือเหนียงพลันผุดคำว่างามล่มเมือง นางเยาะหยันตนเองในใจ งามเฉิดฉันเช่นนี้ย่อมทำให้บุรุษสละบ้านเมืองเพื่อนางได้ เจ้าของเดิมของร่างนี้สมควรถูกท่านแม่ทัพทอดทิ้งจริงๆ นั่นแหละ! จากนั้นก็ลอบถอนหายใจ น่าเสียดายที่ใจคอชั่วร้ายเกินไป!
พอเจอหน้าก็ทำร้ายสี่เชวี่ยที่กำลังท้องจนเป็นแบบนี้ หากยังมีความเป็นคนอยู่ย่อมไม่มีทางทำเรื่องต่ำช้าเหมือนเดรัจฉานเยี่ยงนี้ได้! การแพทย์ในยุคสมัยนี้ล้าหลังมาก นางซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มีความสามารถโดดเด่นในยุคปัจจุบันยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดตอนคลอดลูก จวบจนตอนนี้ยังต้องลากสังขารอันอ่อนแอดิ้นรนอย่างยากลำบาก หากสี่เชวี่ยถูกทำร้ายจนครรภ์กระทบกระเทือน ดีไม่ดีอาจตายทั้งแม่และลูก
ระหว่างที่เจินสือเหนียงถอนหายใจ ฉู่ซินอี๋เองก็มองประเมินนางอยู่เงียบๆ ต่างฝ่ายต่างรู้ว่ามีบุคคลคนนี้อยู่ แต่ห้าปีที่ผ่านมา นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางเผชิญหน้ากัน เมื่อครู่เห็นเจินสือเหนียงในชุดผ้าป่านเข้ามาประคองสี่เชวี่ย เดิมฉู่ซินอี๋ไม่ได้สนใจ แต่พอหันกลับมามอง นางก็ตระหนก
สมแล้วที่เป็นบุตรีของสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองซั่งจิง! ได้ยินมานานแล้วว่าเจินสือเหนียงงดงามมาก แต่จนกระทั่งตอนนี้ ฉู่ซินอี๋จึงเข้าใจว่าอะไรคือผิวหิมะกระดูกหยก อะไรคืองามอย่างบริสุทธิ์ แม้จะสวมชุดเก่าซอมซ่อ แต่ก็มิอาจบดบังความงามเฉิดฉันที่ติดตัวนางมาแต่กำเนิดได้
ฉู่ซินอี๋กำลังรู้สึกด้อยกว่าเช่นกัน หากว่ารูปโฉมนางสามารถบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้ เช่นนั้นยามเผชิญหน้ากับเจินสือเหนียง นางกลับมิอาจสรรหาคำพูดใดมาบรรยายความสงบ ความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ และความสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกของอีกฝ่าย เวลายืนกับนาง ฉู่ซินอี๋รู้สึกว่าการแต่งกายหรูหราของตนดูโอ้อวดและธรรมดาเกินไปเสียด้วยซ้ำ
สาวงามที่แท้จริงควรจะเป็นเช่นนี้ เรียบๆ ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการขัดเกลาจากฝีมือมนุษย์ก็ทำให้คนมิอาจละสายตาได้ แค่ยืนอยู่ข้างนางก็รู้สึกสงบเงียบเป็นพิเศษ
ฉู่ซินอี๋ดึงสายตากลับมาและถอนหายใจเบาๆ คิดในใจว่า เห็นทีข้าคงเข้าใจผิดแล้ว ที่ท่านแม่ทัพผัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมจัดการนางเสียที ไม่เพียงเพราะสี่เชวี่ยตั้งครรภ์ลูกของเขา แต่ยังเพราะอาลัยในความงามของนาง เดิมทีคิดว่าเสิ่นจงชิ่งไม่อาจปฏิเสธการอ้อนวอนขอร้องของเจินสือเหนียงและใจอ่อน ฉู่ซินอี๋จึงตัดสินใจออกหน้าบังคับให้เจินสือเหนียงตกลงหย่า คิดไม่ถึงว่ามาถึงที่นี่ นางกลับเห็นสี่เชวี่ยท้องโตเดินออกมาเปิดประตู ด้วยไม่รู้ว่าสี่เชวี่ยแต่งงานไปนานแล้ว นางจึงเข้าใจผิดคิดว่าที่เสิ่นจงชิ่งไม่ยอมตกลงหย่าเพราะเจินสือเหนียงใช้แผนทำให้สี่เชวี่ยปีนขึ้นเตียงเขาและตั้งครรภ์ลูกของเขา
เสิ่นจงชิ่งอายุยี่สิบสี่แล้ว คนอื่นอายุเท่านี้ก็ได้เป็นพ่อของลูกหลายคนแล้ว แต่เสิ่นจงชิ่งกลับมีเพียงบุตรสาวอายุสี่ขวบครึ่งแค่คนเดียว ทุกคนในครอบครัวต่างปรารถนาให้เขามีบุตรอย่างยิ่งยวด เสิ่นจงชิ่งต้องคำนึงถึงลูกคนนี้แน่ ถึงได้เก็บนังแพศยานั่นไว้!
พอบังเกิดความคิดนี้ ในใจฉู่ซินอี๋เต็มไปด้วยความริษยา เหตุการณ์ที่นึกไม่ถึงทำให้นางงุนงงและทำอะไรไม่ถูก พอได้ยินว่าสี่เชวี่ยอยู่บ้านคนเดียวจึงเกิดความคิดจะฆ่านาง หากสี่เชวี่ยตายย่อมไม่มีใครรู้ว่าพวกนางมาที่นี่ ย่อมไม่มีใครสงสัยมาถึงนาง ไม่ว่าอย่างไรก่อนที่นางจะตั้งครรภ์ จะยอมให้ผู้หญิงคนอื่นคลอดลูกชายของเสิ่นจงชิ่งออกมาก่อนไม่ได้เด็ดขาด! ด้วยเหตุนี้ถึงเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่
เห็นเจินสือเหนียงถอนสายตากลับไปและพยุงสี่เชวี่ยเดินเข้าบ้าน ฉู่ซินอี๋จึงเอ่ยปากในที่สุด เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลว่า “ท่านคือพี่สาวที่ถูกท่านแม่ทัพขับไล่มาอยู่ที่นี่เมื่อห้าปีก่อนหรือ” น้ำเสียงเนิบช้าเจือแววคาดคั้น
แม้จะเป็นรองแต่ท่าทีจะด้อยกว่าไม่ได้เด็ดขาด นางเป็นผู้กุมอำนาจภายในของจวนแม่ทัพ ครั้งแรกที่พบหน้ากัน นางจะต้องข่มเจินสือเหนียงให้ต่ำกว่าตนให้ได้
เจินสือเหนียงหันมองสบสายตาคาดคั้นของฉู่ซินอี๋แล้วก็นิ่วหน้าทันที ไฉนสถานการณ์เช่นนี้จึงเหมือนฉากในละครเมื่อชาติก่อนที่เมียหลวงจับเมียน้อย
เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน…
พวกนางใครเป็นเมียหลวง ใครเป็นเมียน้อยกันแน่ หากจำไม่ผิดดูเหมือนนางจะเป็นภรรยาเอกนี่นา แต่ทำไมกลับดูเหมือนนางเป็นเมียเก็บที่ถูกเลี้ยงไว้นอกบ้านเล่า สุดท้ายภรรยาตัวจริงตามมาอาละวาดถึงบ้าน
จำได้ว่าประโยคสุดเท่เมื่อชาติก่อนของนางคือ โลกใบนี้อะไรก็ขาดแคลนทั้งนั้น แต่ไม่ได้ขาดแคลนผู้ชาย ดังนั้นต่อให้เป็นโสดก็ไม่มีทางแย่งผู้ชายกับคนอื่น! คิดถึงคำพูดห้าวหาญนี้แล้ว เจินสือเหนียงยิ้มขื่น นางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีคนพาพรรคพวกเป็นโขยงมาหาเรื่องนางถึงบ้าน ฉากน้ำเน่าในละครทีวีเมื่อชาติก่อนกำลังเกิดขึ้นกับตนเอง!
ให้ตายเถอะ เห็นทีจะปากเก่งเกินไปไม่ได้เสียแล้ว เรื่องนี้หากเพื่อนๆ ขาเม้าท์เมื่อชาติก่อนของนางรู้เข้า จะต้องหัวเราะตายแน่ๆ ใจมัวแต่คิดเช่นนี้จึงไม่ได้ยินคำพูดของฉู่ซินอี๋ ยังคงช่วยชิวจวี๋พยุงสี่เชวี่ยที่แข้งขาแข็งทื่อเดินเข้าบ้านและค่อยๆ ผ่านข้างกายฉู่ซินอี๋ไป
“เจ้าหูหนวกหรือ อี๋เหนียงถามเจ้าอยู่นะ!” ชุนหงพุ่งเข้าไป เห็นชิวจวี๋หันกลับมาอย่างดุดันก็ถอยไปอีกครั้ง
ก็แค่ภรรยาที่ถูกทิ้ง คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะกล้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ฉีกหน้านางต่อหน้าบ่าวไพร่มากมาย ฉู่ซินอี๋หันไปมองนายบ่าวสามคนที่เดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่สนใจใครด้วยแววตาดุร้าย นานทีเดียวนางจึงพ่นลมหายใจออกมาและก้าวตามเข้าไป
พอถึงเรือนหลัก เจินสือเหนียงรีบดันหลังสี่เชวี่ยขึ้นไปอบอุ่นร่างกายบนเตียงเตา
“คุณหนู…” สองขาหนาวจนแข็งไปหมด ร่างกายก็หนาวจนสั่นสะท้าน แต่เห็นฉู่ซินอี๋เดินตามเข้ามาหน้าบึ้ง สี่เชวี่ยไหนเลยจะกล้าขึ้นไปบนเตียงเตา นางคว้าตัวเจินสือเหนียงไว้และส่ายหน้าเงียบๆ พูดเสียงค่อยว่า “ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนโปรดของท่านแม่ทัพ คุณหนูอย่าล่วงเกินนางเพราะบ่าวเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าขึ้นไปอบอุ่นร่างกายบนเตียงเตาก่อน ระวังยืนนานจะกระทบกระเทือนครรภ์” เจินสือเหนียงก้มศีรษะจะถอดรองเท้าให้นาง ทำเอาสี่เชวี่ยตกใจรีบโบกไม้โบกมือ “บ่าวถอดเองเจ้าค่ะ” นางปีนขึ้นไปบนเตียงเตาอย่างเงอะงะ
“จำได้ว่าครั้งแรกที่ท่านแม่ทัพมาที่นี่ กลับไปบอกข้าว่าพี่สาวยากจนกระทั่งเตียงกับผ้าห่มดีๆ สักผืนก็ไม่มี ท่านแม่ทัพสงสารจึงไม่อยากเอ่ยเรื่องตกลงหย่า มาตอนนี้เรือนของพี่สาวกลับดูหรูหราถึงเพียงนี้ เห็นทีคงได้ท่านแม่ทัพเป็นผู้จัดการกระมัง” ซื้อเครื่องเรือนของใช้ให้นางแบบนี้ แสดงว่าเสิ่นจงชิ่งไม่คิดจะตกลงหย่ากับนาง!
ฉู่ซินอี๋กวาดตามองเครื่องเรือนใหม่เอี่ยมทั่วบ้าน แม้จะหรูไม่สู้ข้าวของในเรือนนาง แต่นางก็อิจฉาอยู่ดี นางเอ่ยวาจาเสียดสีเหน็บแนมอย่างนุ่มนวล ดวงตาจับจ้องเจินสือเหนียงตาไม่กะพริบ
เจินสือเหนียงไม่สนใจนาง สั่งให้ชิวจวี๋หยิบผ้านวมมาห่มขาให้สี่เชวี่ย จากนั้นจับชีพจรนางอยู่นาน จนมั่นใจแล้วว่าไม่เป็นอะไรจึงถอนหายใจหนักๆ หันไปสั่งชิวจวี๋ว่า “ไปต้มน้ำขิงมาชามหนึ่ง”
“คุณหนู…” ชิวจวี๋ร้องเรียกเสียงค่อย หางตาเหลือบมองฉู่ซินอี๋อย่างไม่สบายใจ นางกลัวว่าตนเองไปแล้ว คนพวกนี้จะลงมือกับคุณหนูของนาง
“ไปเถอะ” เจินสือเหนียงส่งสายตาบอกให้นางสบายใจ “ข้าไม่เป็นไร” มองปราดเดียวก็รู้ว่าฉู่ซินอี๋ผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย นางมาวันนี้เพราะอยากขึ้นเป็นประมุขหญิงของจวนแม่ทัพ บัดนี้ตนซึ่งเป็นประมุขหญิงที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า หากยังไม่บรรลุเป้าหมาย ถึงอย่างไรนางก็ต้องสำรวมไว้บ้าง
ชิวจวี๋เห็นพวกฉู่ซินอี๋ไม่มีทีท่าจะลงมืออีก ถึงได้ยอมเดินออกไป
เจินสือเหนียงยกกาขึ้นรินน้ำให้ตนเองและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะค่อยๆ จิบน้ำ ยังมีเก้าอี้เหลืออีกตัว แต่เจินสือเหนียงไม่เอ่ยปากชวนฉู่ซินอี๋นั่ง
ฉู่ซินอี๋เห็นเจินสือเหนียงดื่มน้ำอย่างสบายอกสบายใจโดยไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ใบหน้านางก็พลันแดงขึ้นทีละนิด ขณะกำลังจะนั่งลงกลับเห็นเจินสือเหนียงวางถ้วยกะทันหัน ไม่รู้เหตุใดมือจึงชนถูกกระถางกำยานบนโต๊ะ กระถางกำยานกลิ้งหลุนๆ และร่วงหล่นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หมุนติ้วบนเก้าอี้หนึ่งรอบและหล่นเคร้งลงบนพื้น
ฉู่ซินอี๋นิ่วหน้าอย่างรังเกียจเมื่อเห็นเก้าอี้ที่เหลืออยู่ตัวเดียวในห้องถูกสาดด้วยขี้เถ้า นางเชิดหน้ามองเจินสือเหนียง
เหมือนมีลมมรสุมซุกซ่อนอยู่ในบรรยากาศ ใบหน้าของฉู่ซินอี๋และเจินสือเหนียงต่างราบเรียบ ในห้องก็เงียบสงบเป็นพิเศษ ทำให้ชุนหงและคนอื่นๆ รู้สึกขนลุก จิตใจตึงเครียดราวกับออกแรงดึงเพียงนิดก็ขาดได้
สี่เชวี่ยที่อยู่บนเตียงเตาหน้าซีดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เกือบทำน้ำขิงที่ชิวจวี๋ยื่นให้หก โชคดีที่รับไว้ได้ทัน แต่ไหนเลยจะดื่มลง หัวใจเต้นรัวขณะมองชิวจวี๋คว้ากระบองไม้ที่วางอยู่ริมเตียงเตาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ขึ้นมา เชิดหน้ายืดอกและก้าวไปยืนข้างกายเจินสือเหนียง
ท่าทางของนางดูตลกยิ่ง หากมิใช่เพราะบรรยากาศตึงเครียดเกินไป ทุกคนคงหัวร่องอหายแล้ว
เก้าอี้เลอะขี้เถ้า ขอบเตียงเตาสามารถนั่งได้ แต่นั่งไปแล้วท่าทางคงไม่น่าดู ทำลายภาพลักษณ์ว่าที่ประมุขหญิงของจวนแม่ทัพอย่างนาง ดังนั้นตั้งแต่เข้ามาในเรือนฉู่ซินอี๋จึงยืนอยู่ตลอด เห็นเจินสือเหนียงรินน้ำอีกถ้วยอย่างไม่รีบร้อน นางรู้สึกว่าโทสะขุมหนึ่งพุ่งขึ้นในอก หากไม่เพราะดูแลจัดการธุระในจวนมานานปีจนมีนิสัยอดทนอดกลั้น นางคงอาละวาดไปนานแล้ว
จนกระทั่งรู้สึกเมื่อย ฉู่ซินอี๋จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “พี่สาวหยิ่งยโสเหลือเกิน ดูไม่เหมือนภรรยาที่ถูกขับไล่ออกจากจวนแม่ทัพแม้แต่น้อย” น้ำเสียงอ่อนโยนขลาดกลัว แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกบาดหูเป็นพิเศษ
เจินสือเหนียงเห็นฉู่ซินอี๋สีหน้าราบเรียบเช่นนั้นก็รู้ว่านั่นไม่ง่ายเลยทีเดียว นางยืนอยู่นานขนาดนี้ยังอดทนอยู่ได้ ไม่แสดงความบึ้งตึงออกมา เจินสือเหนียงนึกชมในใจและเงยหน้าสบตานาง “เจ้าพูดกับข้าอยู่หรือ” น้ำเสียงบางเบา ชวนให้รู้สึกเหมือนนางงุนงงและไม่รู้จริงๆ ทำเอาฉู่ซินอี๋โมโหจนกัดฟันกรอด
“ที่แท้เรียกอยู่ตั้งนานพี่สาวก็ไม่ขานรับ เพราะคิดว่าข้าไม่ได้พูดกับท่านนั่นเอง” นางมองซ้ายมองขวา “พี่สาวดูสิว่าในห้องนี้ยังมีใครคู่ควรให้ข้าเรียกว่าพี่สาวอีก”
“อ้อ…” เจินสือเหนียงทำท่าเข้าใจ “ข้ายังคิดว่าพ่อแม่พี่น้องของตนเองตายหมดแล้ว ข้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวเสียอีก” นางหันไปมองสี่เชวี่ย “ตอนหลังข้าลืมอะไรไปหลายอย่าง สี่เชวี่ยยังจำได้หรือไม่ว่าในอดีตตอนบิดาต้องโทษ ข้ามีน้องสาวที่รอดชีวิตมาได้หรือเปล่า”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้าอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าคุณหนูของนางเป็นอะไรไป พวกนางเป็นผู้หญิงของเสิ่นจงชิ่งเหมือนกัน อย่างน้อยการเรียกขานกันว่าพี่น้อง ภายนอกจะได้ดูสนิทสนม สงครามในครอบครัวล้วนเป็นอย่างนี้มิใช่หรือ ลับหลังแก่งแย่งชิงดีแทบเป็นแทบตาย ต่อหน้าต่างเคารพรักกันเสมือนพี่สาวน้องสาวแท้ๆ ออกมาใช้ชีวิตตามลำพังแค่ห้าปี ไฉนคุณหนูของนางจึงถดถอยถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่มารยาทเช่นนี้เสียแล้ว
“เจ้าได้ยินแล้วนะ ข้าไม่มีน้องสาว” เจินสือเหนียงเงยหน้ามองฉู่ซินอี๋ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าจำคนผิดแล้วล่ะ”
ฉู่ซินอี๋กำหมัดแน่น ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ คลายออก “ดูพี่สาวพูดเข้าสิ พวกเราต่างเป็นผู้หญิงของท่านแม่ทัพ ย่อมต้องเรียกขานกันว่าพี่น้อง ท่านแม่ทัพเห็นแล้วจะได้ดีใจ พี่สาวว่าจริงหรือไม่” นางยิ้มหวาน แต่ดวงตาฉายแววประชดประชันเสียดสี อยากแกล้งโง่หรือ ได้ ข้าจะโง่ไปกับเจ้าด้วย
“ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้หญิงของท่านแม่ทัพด้วยหรือ” เจินสือเหนียงทำท่าเหมือนเพิ่งตระหนักได้
ฉู่ซินอี๋แทบจะกระอักเลือดด้วยโทสะ ออกแรงกัดฟันแน่นขึ้นอีก
เจินสือเหนียงเห็นฉู่ซินอี๋ไม่ตอบ จึงเอ่ยถามต่อ “แล้วยามอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพเจ้าเรียกตนเองว่าอะไร”
คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน ฉู่ซินอี๋รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ แต่นางคิดไม่ออกว่าคืออะไร ตอบกลับไปโดยสัญชาตญาณว่า “ย่อมต้องเรียกตนเองว่าผู้น้อยอนุภรรยา”
“ผู้น้อยหมายความว่าอะไร” หางตาเหลือบมองช่องหน้าต่างและเห็นเงาคนเคลื่อนไหวรางๆ ตรงลานหน้าบ้าน ดวงตาของเจินสือเหนียงสาดประกายเยียบเย็นขณะมองฉู่ซินอี๋อย่างคาดคั้น
“ผู้น้อย?” ฉู่ซินอี๋ทวนคำพูดของนางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นร่างกายสะท้านเฮือก จ้องเจินสือเหนียงเขม็ง
ในที่สุดก็คิดได้ ยังไม่นับว่าโง่ เจินสือเหนียงแค่นหัวเราะในใจพลางอธิบายเสียงนุ่มนวลว่า “ความหมายของผู้น้อยก็คือบ่าว หน้าคำว่าอนุภรรยาเติมคำว่าผู้น้อยย่อมแปลว่าบ่าว” นางมองฉู่ซินอี๋ “ผู้น้อยอนุภรรยามีหน้าที่มากกว่าบ่าวทั่วไปหนึ่งอย่างคืออุ่นเตียงให้เจ้านาย บ่าวไม่ว่าเวลาใดย่อมเป็นบ่าว จะมาเป็นพี่น้องกับเจ้านายได้อย่างไร อีกอย่าง…” นางพูดเน้นย้ำทีละคำ “ยังกล้าแทนตนเองว่า ‘ข้า’ ต่อหน้าประมุขหญิงอีก”
ถึงอย่างไรเจินสือเหนียงก็ยังไม่หย่า นางยังคงเป็นภรรยาเอกของเสิ่นจงชิ่ง ตามหลักแล้วต่อหน้านาง อนุของเขาต้องแทนตนเองว่า ‘ผู้น้อยอนุภรรยา’
“เอ่อ…” ฉู่ซินอี๋พูดไม่ออก เรื่องนี้นางไม่เคยคิดมาก่อน จัดการธุระในจวนแม่ทัพมานานปี นางเห็นตนเองเป็นเจ้านายไปแล้ว วันนี้ทุกคนในเรือนรวมถึงสี่เชวี่ยด้วยต่างไม่มีใครคิดว่าเจินสือเหนียงเป็นภรรยาเอกของเสิ่นจงชิ่ง ฐานะสูงส่งกว่าฉู่ซินอี๋มาก ฉู่ซินอี๋พบนางแล้วยังต้องทำความเคารพอย่างเต็มพิธีด้วยซ้ำ
ฉู่ซินอี๋หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น นางไม่กลัวหรอก ถูกทอดทิ้งมาห้าปีแล้ว นังแพศยานี่ก็มีแต่ตำแหน่งที่ว่างเปล่าเท่านั้น ทุกคนต่างรู้ว่านางต่างหากที่เป็นนายหญิงที่แท้จริงของจวนแม่ทัพ!
“ไฉนอนุภรรยาคนหนึ่งกลับแทนตนเองว่าข้าต่อหน้าเจ้านายได้” เจินสือเหนียงไม่โกรธ น้ำเสียงยังคงเนิบช้านุ่มนวล “กฎหมายของต้าโจวเปลี่ยนไปแล้ว หรือว่า…” สายตานางมองข้ามฉู่ซินอี๋ไปยังบ่าวข้างหลัง “ท่านแม่ทัพคิดว่าตนเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้จึงไม่เห็นกฎหมายต้าโจวอยู่ในสายตา คิดจะยกอนุขึ้นข่มภรรยาเอก”
เดิมทีเป็นแค่การมีปากเสียงระหว่างภรรยาเอกกับอนุเท่านั้น พอเจินสือเหนียงเอ่ยเช่นนี้ ปัญหาจึงลามไปถึงขั้นเสิ่นจงชิ่งถือตัวว่าเป็นที่โปรดปราน ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เสิ่นจงชิ่งต้องถูกกล่าวหาว่าดูแลครอบครัวได้ไม่ดี ต่อให้สร้างคุณงามความชอบมากเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ นางเองก็อย่าหวังจะถูกยกขึ้นเป็นภรรยาเอกเลย
ฉู่ซินอี๋หน้าเปลี่ยนสีทันใด “ข้า…ข้าผู้น้อยอนุภรรยามิได้หมายความเช่นนั้น”
“ในที่สุดก็ยอมรับแล้วหรือว่าต่อหน้าข้าเจ้าเป็น…บ่าว!” เจินสือเหนียงพูด “ทำโทษสาวใช้ประจำตัวของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประมุขหญิง เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่” แม้เสียงนางไม่ดัง แต่กลับเยียบเย็นคมกริบเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง เสียดแทงจิตใจคนฟังจนหนาวเหน็บยิ่ง
บรรยากาศชะงักค้างทันที
ทุกสายตาพุ่งไปยังฉู่ซินอี๋
ฉู่ซินอี๋หน้าแดงและเปลี่ยนเป็นขาว จ้องเจินสือเหนียงอย่างพูดไม่ออก กฎข้อนี้นางรู้ดีกว่าใคร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะถูกนำมาใช้กับตนเอง
“ข้าว่าเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” เจินสือเหนียงยิ้มบางๆ ตะโกนเสียงดังทันทีว่า “ชิวจวี๋! สั่งสอน!”
(ติดตามต่อในเล่ม)