เช้าตรู่วันถัดมา
เหล่าเจียงค่อยๆ ลงจากเตียง สวมรองเท้า หลังล้างหน้าหวีผมเสร็จก็พาร่างผอมแห้งแก่ชราที่หลังค่อมเล็กน้อยเดินมายังห้องโถงช้าๆ
“เอ๋?” เขานึกว่าตนเองยังนอนไม่ตื่น ตาฝาดไปเสียอีก…
ตั้งแต่อาหยวนเข้ามา บนโต๊ะที่เช็ดถูจนสะอาด อาหารเช้าที่เตรียมไว้จะมีเพียงข้าวต้มหนึ่งหม้อกับผักดอกและถั่วลิสงต้ม ไม่ว่าเขากับคุณหนูจะประท้วงอย่างไร ให้ตายอาหยวนที่ยืนกรานประหยัดเงินให้พวกเขาก็ไม่ยอมเพิ่มกับข้าวอีกอย่าง
แต่วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ อาหารเช้าวันนี้มีไข่ไก่ที่ทอดจนเหลืองอร่ามส่งกลิ่นหอม อีกทั้งยังมีผัดหน่อไม้เหลืองอีกจานด้วย
“ปู่เจียงตื่นแล้วหรือ” ดวงหน้าเล็กของอาหยวนถูกไฟรมจนแดงปลั่ง ยกหม้อดินใบเล็กก้าวเข้าประตูมาทั้งที่เหงื่อเต็มหน้า เห็นเขาก็รีบทักทาย “ปู่เจียงนั่งก่อน บ่าวจะไปปลุกคุณหนูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
คำพูดที่ว่า ‘ข้าจะไปเฝ้าร้าน หาของกินง่ายๆ ข้างนอกก็พอ’ ของปู่เจียงมาถึงปากแล้ว แต่พอเห็นหัวมันตุ๋นเนื้อแพะในหม้อดินที่กำลังเดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เขาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้และโพล่งออกมา “วันนี้ฉลองปีใหม่หรือ”
“คุณหนูบอกว่าอาหารการกินปกติไม่บำรุงร่างกาย จืดชืดเกินไป” อาหยวนถอนหายใจ ดวงหน้าเล็กยับยู่ เห็นชัดว่ายังคงปวดใจกับเงินที่ไม่ควรถูกนำมาใช้สุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ “จึงสั่งข้าว่านับแต่นี้ไปทุกวันบนโต๊ะต้องมีเนื้อ ไม่มีเนื้อปลาก็ต้องมีเนื้อหมู คุณหนูบอกว่านางจะบำรุงร่างกายตนเองให้อิ่ม…อิ่ม…”
“อิ่มเอิบมีน้ำมีนวล”
“อา ใช่ๆ คำนี้ล่ะ” อาหยวนพยักหน้าติดๆ กัน “คุณหนูยังบอกว่าการอดนอนทำร้ายผิวพรรณสตรีเป็นที่สุด ดังนั้นจึงสั่งบ่าวให้ตุ๋นเห็ดหูหนูขาวบำรุงนางให้มากหน่อย ปู่เจียง ข้าได้ยินมาว่าเห็ดหูหนูขาวแพงมากมิใช่หรือ”
“ปกติข้าสอนสั่งเจ้าว่าอย่างไร” เหล่าเจียงดีใจขึ้นมาทันที ยิ้มร่าหย่อนก้นนั่งลง ม้วนแขนเสื้อเช็ดชามอย่างกระตือรือร้น อดใจรอไม่ไหวที่จะสวาปามอาหารมื้อนี้แล้ว “ในบ้านเราใครจะลำบากก็ได้ แต่จะให้คุณหนูลำบากไม่ได้เด็ดขาด เจ้าดูเถอะ คราวนี้คุณหนูโมโหแล้วกระมัง ดูซิว่าวันหน้าเจ้ายังจะกล้าประหยัดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกหรือไม่”
“แต่การกินใช้อย่างฟุ่มเฟือย เงินที่หมดไปล้วนเป็นเงินที่คุณหนูกับท่านหามาอย่างยากลำบาก สินเจ้าสาวในวันหน้าของคุณหนู เงินทำศพในวันหน้าของท่าน ล้วนยังต้องคาดหวังเอาจากเงินพวกนี้นะเจ้าคะ” อาหยวนทำหน้ายับย่นด้วยความห่วงกังวล
“ถุย! ทำศพอะไรกัน เช้าตรู่เช่นนี้คำพูดนี้อัปมงคลหรือไม่” เหล่าเจียงแทบจะกระอักเลือดออกมา พูดเสียงขุ่น “ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปถึงร้อยแปดสิบปี คอยปรนนิบัติคุณหนู ยังมีคุณหนูน้อยและคุณชายน้อยอีก จะตายง่ายๆ ได้อย่างไร”
อาหยวนตัวสั่น “ขะ…ขอโทษเจ้าค่ะปู่เจียง…ข้าพูดผิดอีกแล้ว ใช่ๆ ท่านจะต้องเป็นเหมือนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านของพวกเราว่าไว้ เป็นตะพาบพันปี เป็นเต่าหมื่นปีที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย”
“…” ไม่ได้ๆ การคว่ำโต๊ะแต่เช้าเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม อีกทั้งหายากที่จะมีอาหารดีๆ เช่นนี้ หากคว่ำทิ้งทั้งหมด ประเดี๋ยวคงได้แทะหมั่นโถวกินแน่ หนังเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเหล่าเจียงกระตุกไม่หยุด ฝืนระงับความวู่วามไว้
“ปู่เจียง ท่านหน้าแดงยิ่ง” อาหยวนเห็นแล้วตกใจ รีบประคองร่างกาย ‘สั่นเทา’ ของเขาไว้อย่างลนลาน “เป็นเพราะตอนเช้าลุกเร็วเกินไปจนเลือดพุ่งขึ้นสมองหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่ข้าบอกว่าคนแก่ต้องระวังโรคนี้มากที่สุด ต้องใช้เข็มแทงปลายนิ้วปล่อยเลือด…”
“เจ้าสาปแช่งข้าให้น้อยลงหน่อย ข้าก็อายุยืนถึงร้อยปีแล้ว อมิตาภพุทธ” เหล่าเจียงหายใจฮึดฮัด
“อ้อ” อาหยวนหดคอ
ยามนั้นเองฮวาชุนซินที่เมื่อวานเร่งวาดภาพจนครึ่งค่อนคืนเบิกตาทั้งสองข้าง ‘ล่องลอย’ เข้ามาอย่างไร้ชีวิตชีวาเหมือนดวงวิญญาณ
“เหล่าเจียง อาหยวน…หาว…” นางหาวยาวเหยียดอย่างไม่ไว้กิริยาของสตรีเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนู คุณหนูเชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ” อาหยวนเหมือนได้รับอภัยโทษ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบขณะลากม้านั่งยาวเข้ามาอย่างเงอะงะ ไม่ลืมใช้แขนเสื้อเช็ดก่อนสองทีด้วย