เหล่าเจียงไม่สนใจจะถือสาหาความกับเด็กโง่ผู้นั้นอีก เขาฉีกยิ้มให้ฮวาชุนซิน “คุณหนู บ่าวช่วยตักโจ๊กให้ขอรับ คุณหนูลำบากแล้ว! ไม่ทราบว่าผลงานเมื่อคืนของคุณหนูคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ลูกค้าต่างพากันซักถาม กระทั่งเถ้าแก่โรงพิมพ์ยังเร่งมาหลายหนแล้ว ขืนภาพ ‘ถ้ำพยัคฆ์ เตียงมังกร ยวนยางป่า’ ของท่านยังไม่ตีพิมพ์วางแผงเสียที หอตำราเลิศของเราต้องถูกลูกค้าที่หิวกระหายถล่มแน่ขอรับ”
“บ่าวยังอายุไม่ถึงสิบแปด ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น…” อาหยวนได้ยินคำว่า ‘ถ้ำพยัคฆ์ เตียงมังกร ยวนยางป่า’ ใบหน้าก็แดงก่ำ รีบอุดหูวิ่งหนีออกไป
อีกาฝูงหนึ่งบินผ่านไป…
“คุณหนู ท่านรู้สึกหรือไม่ว่านับวันสาวใช้ของเราจะยิ่ง…”
“ประหลาด”
“เฮ้อ ไม่รู้พวกเราจะสามารถเปลี่ยน…”
“ยาก”
ฮวาชุนซินกับเหล่าเจียงมองหน้ากัน ครู่ใหญ่ผ่านไป ต่างฝ่ายต่างทอดถอนใจคำรบหนึ่ง
“เอาเป็นว่าลูกค้าเร่งรัดเข้ามามาก คุณหนูจะถือโอกาสนี้ที่ตลาดกำลังคึกคัก ออกฉบับพิเศษของภาพวาดชุด ‘ดอกซิ่งแดงแผ่กลิ่นอวล’ เป็นภาพแผ่นเดียวสักหน่อยหรือไม่ขอรับ” เหล่าเจียงดื่มโจ๊กร้อนๆ หอมกรุ่นอย่างมูมมาม พลางเสนอด้วยความกระตือรือร้น
“ยังจะออกฉบับพิเศษอีกหรือ เจ้าเอาชีวิตข้าไปเสียเลยดีกว่า” ฮวาชุนซินก้มหน้าจัดการกับโจ๊กชามโต พอเนื้อแพะตุ๋นลงไปอยู่ในท้องได้สี่ห้าชิ้น ในที่สุดใบหน้าก็เริ่มมีเลือดฝาด นางพรูลมหายใจเอ่ยว่า “ตอนนี้ภาพชุดที่ข้าวาดอยู่เป็นผลงานแห่งปีที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากที่สุด สิบสองหนุ่มล่ำกับสิบสองสาวงาม วาดจนมือของข้าหงิกงอไปหมดแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาไปวาดฉบับพิเศษอะไรได้อีกเล่า เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าไหว เจ้ามาวาด!”
“ไม่ๆ ฝีมือบ่าววาดหลอกคนที่ไม่รู้เรื่องยังพอได้ ไหนเลยจะเทียบกับคุณหนูได้ขอรับ” เหล่าเจียงแลบลิ้น พูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“อย่าถ่อมตนไปเลย คิดถึงอดีต…” สายตานางเลื่อนลอยออกไปพักหนึ่ง “เจ้าเป็นคนที่จับมือสอนข้าวาดภาพเป็นคนแรก”
“ขอรับ” ใบหน้าชราของเหล่าเจียงที่ยับย่นเหมือนผลเหอเถา* ฉายความเศร้าเสียใจ ก่อนจะพึมพำว่า “บ่าวยังจำได้ว่าครั้งอดีตตอนเห็นคุณหนูครั้งแรก ดวงตาของคุณหนูทั้งโตทั้งดำขลับ เอาแต่กลอกไปมาอย่างไร้เดียงสา ริมฝีปากเล็กบอบบาง ทำเอาหัวใจบ่าวละลาย…คิดไม่ถึงว่าวันเวลาผันผ่าน พริบตาเดียวคุณหนูจะเติบโตถึงเพียงนี้แล้ว”
อาหารบนโต๊ะยังส่งกลิ่นหอมกรุ่น แต่ทั้งสองกลับไม่มีใครรู้สึกอยากอาหารอีก
“คุณหนู หากนายท่านยังอยู่ ทราบว่าบ่าวให้คุณหนูวาดภาพวังวสันต์หาเลี้ยงชีพเช่นนี้ บ่าวตายร้อยครั้งก็ยังไม่พอไถ่ถอนความผิด” เหล่าเจียงพลันรู้สึกเศร้า
“วาดภาพวังวสันต์แล้วอย่างไร” ฮวาชุนซินขอบตาร้อนผ่าว แต่กลับกะพริบตาอย่างรวดเร็ว หัวเราะออกมาและพูดว่า “ท้องอิ่มกายอุ่นเป็นธรรมดาของมนุษย์ เรื่องเพศสำคัญพอๆ กับเรื่องกินเรื่องนอน อีกอย่างสิบนิ้วของข้าทำอะไรไม่เป็น เข้าครัวไม่ได้ทำกับข้าวไม่อร่อย ต้องอาศัยการวาดภาพจึงจะหาเลี้ยงปากท้องได้ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าแต่ก่อนพวกเรามีภาพวังวสันต์ตั้งมากมาย ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นผลงานของปรมาจารย์ อย่างจางฮุยจือ เมิ่งเต้าจื่อ…เฮ้อ ตอนนั้นถ้าไม่ลืมขนมาด้วยสักสองม้วน ภาพหนึ่งขายได้พันตำลึงทอง พวกเราก็รวยแล้ว”
เห็นคุณหนูทำท่าทางแสนเสียดาย เหล่าเจียงที่น้ำตาคลอก็อดหัวเราะขบขันไม่ได้
“ไม่ต้องกลัวขอรับ ตอนนี้ภาพของคุณหนูไม่ด้อยไปกว่าผลงานของปรมาจารย์พวกนั้นแล้ว” เขาฉีกยิ้มพูด
“นั่นสิ วันหน้าคอยดูฝีมือข้าเถอะ” นางตบหลังเหล่าเจียงเบาๆ ยิ้มพูดอย่างร่าเริง
เหล่าเจียงแย้มยิ้มเบิกบาน จู่ๆ ก็ถามอย่างลังเล “คุณหนู ท่าน…คิดจะเปิดเผยฐานะกับแม่ทัพกวนหยางเมื่อไรขอรับ”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของฮวาชุนซินพลันหายไป แทนที่ด้วยความเหม่อลอยกลัดกลุ้ม
“คุณหนู ท่านควรเชื่อใจแม่ทัพกวนนะขอรับ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าตอนเป็นเด็กล้วนเป็นเขาที่คอยคุ้มครองท่าน” เหล่าเจียงโน้มน้าวสุดกำลัง “บ่าวรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราต้องระมัดระวังให้มาก แต่สกุลกวนจงรักภักดี ท่านกับแม่ทัพกวนเองก็ผูกพันกันมาตั้งแต่เล็ก หากไม่เพราะ…เกรงว่าป่านนี้พวกท่านสองคนคงลงเอยกันไปแล้ว”
“ลงเอยกับผีน่ะสิ!” หัวใจนางรู้สึกฝาดเฝื่อนและเจ็บแปลบ “เหล่าเจียง เขาจำข้าไม่ได้แล้ว”
เจ้าคนโง่ คนตาถั่ว เจอหน้าจังๆ ตั้งกี่ครั้งกี่หน ยังจำข้าไม่ได้แม้แต่น้อย หลายปีมานี้ทำสงครามจนสมองป่วยไปแล้วหรือไร