จวนแม่ทัพปกปักทักษิณ
มือเล็กขาวนุ่มปานหิมะของเซวียเป่าหวนถือช้อนด้ามทอง กำลังหยอกล้อกับนกขมิ้นในกรงพลางฟังซินเยวี่ยรายงานข่าวน้อยใหญ่ในจวนที่สืบมาได้ในช่วงสองสามวันนี้
แต่ไรมาพี่ชายพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น วาจาหนักแน่นดุจขุนเขา เอ่ยปากมาแล้วว่าหนึ่งเดือนให้หลังจะให้นางกลับเมืองหลวง เขาย่อมไม่มีทางให้นางอยู่ต่อแน่
ทว่าไม่ง่ายเลยกว่านางจะไขว่คว้าโอกาสอันดีนี้มาจากท่านป้าได้ แล้วจะยอมให้ตนเองกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร
พี่ชายยุ่งกับงานในค่ายทหารของดินแดนทางใต้ จวนแม่ทัพแม้มีหัวหน้าพ่อบ้านฉีอยู่ ดูแล้วก็จัดการทุกอย่างได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เรื่องในเรือนมีมากมายที่บุรุษดูแลจัดการได้ไม่ดี นางติดตามข้างกายมารดา เรียนรู้วิธีจัดการเรื่องในบ้านดูแลงานในเรือนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ไม่ว่าจะงานจิปาถะภายในหรือการติดต่อไปมาหาสู่กับภายนอก นางล้วนจัดเจนและคุ้นเคย
ตอนนี้พี่ชายเพียงแต่ยังไม่สังเกตเห็นนาง ยังไม่ตระหนักถึงความดีของนางเท่านั้น แต่นี่ก็เพิ่งวันที่ห้าเองมิใช่หรือ
“คุณหนู ได้ยินว่าเมื่อเร็วๆ นี้โรงเย็บปักในจวนรับงานตัดเย็บชุดทหารและเสื้อผ้ารองเท้ามาจากรองแม่ทัพทั้งหลายในค่ายทหาร บอกว่างานเร่งมาก กลางเดือนต้องส่งของให้ได้เจ้าค่ะ” ซินเยวี่ยไม่รู้สักนิดว่าสิ่งที่สืบทราบมาได้ ล้วนเป็นข่าวคราวเล็กน้อยที่หัวหน้าพ่อบ้านฉีจงใจ ‘ปล่อย’ ออกมาเท่านั้น ยังคงรายงานคุณหนูของตนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง อวดความสามารถและไหวพริบของตน “ป้าลู่ผู้ดูแลร้อนใจจนหัวหมุนเจ้าค่ะ”
เซวียเป่าหวนใช้ช้อนด้ามทองตักข้าวโพดช้อนหนึ่งใส่ลงในชามไม้โหยวถง* แกะสลักใบเล็กในกรงนกอย่างเชื่องช้า มองนกขมิ้นก้มหน้าจิกกินอย่างเบิกบาน
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” ซินเยวี่ยออกจะร้อนใจกว่านางมาก “นี่เป็นโอกาสอันดีที่ท่านจะได้แสดงฝีมือ ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่มองท่านใหม่นะเจ้าคะ”
“ซินเยวี่ย เจ้าไม่มีความอดทนอีกแล้ว” นางปิดประตูกรงให้ดี ก่อนจะหันกลับมายิ้มน้อยๆ “ข้าบอกแล้วว่าในจวนจะขาดนายหญิงที่คอยจัดการเรื่องต่างๆ ไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะก้าวก่าย”
“เพราะเหตุใดเล่าเจ้าคะ” ซินเยวี่ยเบิกตาโต
“เหล็กกล้าต้องใช้ทำใบมีดเท่านั้น” เซวียเป่าหวนเม้มปากยิ้ม “หากต้องการให้พี่ชายเห็นความสามารถของข้า เห็นความดีของข้า ก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยในช่วงเวลาที่ยากลำบากและคับขันที่สุด พลิกสถานการณ์เลวร้ายให้กลับกลายเป็นดี เช่นนี้ถึงจะทำให้อีกฝ่ายประทับใจได้ ทำให้เขายอมรับไมตรีจากข้า”
“คุณหนูเก่งกาจเหลือเกินเจ้าค่ะ” ซินเยวี่ยพลันเข้าใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“ก็แค่ทักษะเล็กน้อยที่นายหญิงพึงมีเท่านั้นเอง” นางพูดเสียงเรียบ หว่างคิ้วกลับปิดความกระหยิ่มลำพองไว้ไม่มิด
เซวียเป่าหวนมั่นใจว่านางเหมาะสมกับตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพปกปักทักษิณมากกว่าผู้ใดทั้งนั้น
“คุณหนู สองวันนี้บ่าวยังสืบทราบมาว่า…” ซินเยวี่ยลดเสียงให้เบาลงกะทันหัน เอ่ยด้วยท่าทางลึกลับ “ข้ารับใช้ในจวนล้วนไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่มีสตรีรู้ใจหรือไม่ แต่องครักษ์จวนโหวที่เฝ้าประตูชั้นในเคยพลั้งปากบอกว่าทางใต้มีสตรีที่เลื่อมใสบูชาท่านแม่ทัพใหญ่มากมาย แต่ยังไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพใหญ่พูดดีกับใครมาก่อน เว้นเพียงคนเดียว…”
“ใคร” เซวียเป่าหวนหัวใจหดเกร็ง น้ำเสียงเร่งร้อนเล็กน้อย จากนั้นมุ่นคิ้วเมื่อตระหนักว่าตนเผลอตัวไป
อากัปกิริยาของนางยังฝึกฝนมาไม่เพียงพอ มารดาเคยสอนสั่งว่าเกิดเป็นสตรีสูงศักดิ์ ว่าที่นายหญิงของบ้านในอนาคต ยิ่งเป็นเรื่องที่ใส่ใจก็ยิ่งต้องสุขุมเยือกเย็นให้มาก จะให้ข้ารับใช้ล่วงรู้ความนึกคิดจิตใจของตนไม่ได้เด็ดขาด
“บ่าวซักถามต่อ แต่ทำอย่างไรองครักษ์โหวก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกเจ้าค่ะ” ซินเยวี่ยโมโห “ฮึ! ก็แค่บุรุษหยาบกระด้างต้อยต่ำคนหนึ่ง จะหยิ่งอะไรนักหนา ดีร้ายอย่างไรบ่าวก็เป็นถึงหัวหน้าสาวใช้ขั้นหนึ่งข้างกายคุณหนู เขากลับกล้าไม่เห็นบ่าวอยู่ในสายตา”
“คุกเข่า!” สายตาของเซวียเป่าหวนเย็นเยียบ ตวาดออกมาทันใด
“คะ…คุณหนู?” ซินเยวี่ยตกใจ
“ใครอนุญาตให้เจ้าวางท่าหยิ่งยโสพูดจาสามหาวในจวนเช่นนี้” เซวียเป่าหวนจ้องสาวใช้นิสัยใจร้อนวู่วามที่ปกติช่วยขับเน้นความเป็นกุลสตรีมีคุณธรรมรู้กาลเทศะของตนได้ดีที่สุด ยามนี้ในใจยากจะระงับความโกรธและเสียใจภายหลัง