“ไม่ผิดเลยสักนิด เดิมทีข้าก็เป็นโจรที่ซ่อนตัวอยู่บนภูเขา ไม่สนใจโลกภายนอก หากมิใช่เพราะสูญเสียผู้เป็นที่รักที่สุดไป ก็ไม่มีวันให้ความสนใจกับหมอชื่อเสียงจอมปลอมที่ได้ชื่อว่า ‘หมอดีงามช่วยเหลือผู้คน’ หรอก มิเช่นนั้นคงไม่มารบกวนให้คุณหนูต้องลำบากแล้ว” บุรุษชุดขาวผู้นั้นถลึงตาใส่สวีลี่คังคราหนึ่ง รอยยิ้มเย็นชาบดบังความอบอุ่น
หัวหน้าโจรผู้นั้นเมื่อเห็นสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปกะทันหันเช่นนี้ จากตกใจก็เปลี่ยนเป็นยินดี “ฮ่าๆๆ! น้องชาย ทำได้ยอดเยี่ยมนัก ฆ่าคนคนหนึ่งนั้นง่ายดาย มิสู้ให้พวกเขาตกอยู่ในความทรมานไปตลอดชีวิต นี่ถึงจะเป็นการลงโทษที่ดีที่สุด ทุกคนได้ยินแล้วหรือยัง นับจากวันนี้สตรีผู้นี้ก็คือคนของน้องชายข้าแล้ว!”
ดาบคมนั้นค่อยๆ ถูกเก็บกลับไปท่ามกลางสายตาของทุกคน
ในอกเถาเม่ยเอ๋อร์มีโทสะที่ไม่เคยมีมาก่อนทะลักขึ้นมาและกำลังจะระเบิดออก ทว่ากลับถูกน้ำเสียงอ่อนล้าและแหบพร่าของสวีเทียนหลินเรียกสติ
“ไม่ เม่ยเอ๋อร์…เป็นของข้า…ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจแย่งไป” สวีเทียนหลินคล้ายเพิ่งได้สติกลับมา สองมือกุมหัวเข่า พยายามฝืนความเจ็บที่ขาขวา ในแววตาปรากฏความไม่พอใจและความเคียดแค้น
บุรุษชุดขาวมองเขาอย่างเหยียดหยามคราหนึ่ง ก่อนส่งแววตาดุดันให้หัวหน้าโจรผู้นั้น อีกฝ่ายพลันเข้าประชิดสวีเทียนหลินพร้อมกับเหยียดยิ้มอย่างโหดเหี้ยม แล้วกระแทกด้ามดาบใส่ศีรษะสวีเทียนหลินอย่างรุนแรงอีกครั้งโดยไม่รอให้ผู้ใดห้ามปรามได้ทัน
“เทียนหลิน!” สวีฮูหยินกรีดร้องอย่างปวดใจอีกครั้ง ร่างอ่อนปวกเปียกทรุดลงไปกองบนพื้น
“ฮูหยิน ฮูหยิน!” ท่ามกลางความร้อนใจ สวีลี่คังก็คว้าเข็มเงินจากบนโต๊ะก่อนเร่งหาจุดฝังเข็มแล้วปักลงไป
“พอแล้ว พวกเราไปกัน อีกหนึ่งเดือนให้หลังเกี้ยวเจ้าสาวจะมารับตัวคนไป!” บุรุษชุดขาวผู้นั้นกวาดมองรอบด้านคราหนึ่ง เมื่อเขาโบกมือ บรรดาโจรที่สวมชุดชาวยุทธ์แขนสั้นสีเทาก็ยกโลงศพไม้แดงเดินออกไปข้างนอก
“ช้าก่อน!” เมื่อเห็นสวีเทียนหลินยังคงหมดสติอยู่บนพื้น บนศีรษะปรากฏโลหิตสีแดงบาดตา เถาเม่ยเอ๋อร์ก็อึดอัดใจเกินทน
“มีอะไร” บุรุษชุดขาวผู้นั้นหยุดฝีเท้า หันกายกลับมาอย่างนุ่มนวลพร้อมกับเอ่ยถาม “คุณหนูเรียกข้าหรือ”
“กล้ากล่าวนามของเจ้าทิ้งเอาไว้หรือไม่” เถาเม่ยเอ๋อร์เผชิญหน้ากับเขาอย่างดื้อดึงและไม่หวาดเกรง
“หืม?” บุรุษชุดขาวผู้นั้นเชิดหน้า ปัดเส้นผมที่ร่วงหล่นลงมาจำนวนหนึ่งไปข้างหลัง “ข้าลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร ภรรยาในอนาคตของข้ายังไม่รู้จักนามของข้าเชียวนะ!”
เถาเม่ยเอ๋อร์มองบุรุษผู้สว่างไสวดุจดวงดาราตรงหน้าอย่างเย็นชา อวัยวะภายในราวกับมีมดจำนวนนับไม่ถ้วนไต่ตอม ความเจ็บปวดถี่ยิบพลันทะลักขึ้นมา
“หลินจื่อเฟิง” มุมปากของเขายกขึ้นอย่างสง่างามขณะกล่าวนามนี้ออกมา พร้อมกันนั้นกลิ่นอายโหดเหี้ยมก็ค่อยๆ ลดเลือนไป ปรากฏความอ่อนโยนที่ไม่อาจสังเกตได้ง่ายมาแทนที่
นางคิดว่าตนเองมองตัวตนที่แท้จริงของคนตรงหน้าไม่ออกแล้ว อย่างไรก็ตามสายลมอบอุ่นสายหนึ่งได้พัดหอบกลีบดอกไม้ที่ขาดวิ่นจำนวนหนึ่งเข้ามา นางถึงค่อยพบว่าเคราะห์กรรมนี้ของตนเองไม่มีวันจบลงในเวลาอันสั้น
เขายิ้มอย่างยั่วยุก่อนจะหันกายจากไป เหลือไว้เพียงฝุ่นควันปลิวว่อนบดบังภาพตรงหน้า
“ฮูหยิน…” เพราะเป็นห่วงภรรยาอย่างมาก สวีลี่คังจึงได้สูญเสียความนิ่งเฉยไปนานแล้ว ราวกับของสำคัญอย่างหนึ่งกำลังเลือนหายไปจากชีวิต
“คุณหนู ตอนนี้ข้าถึงได้เข้าใจ ที่แท้เป็นข้าที่ถูกเจ้าหลอกลวง!” ชายชราที่มาขอความช่วยเหลือก่อนหน้านี้ผู้นั้นยังคงยืนอยู่ในห้องโถง เขาไม่นึกว่าจะได้พบเจอสถานการณ์น่าตระหนกตกใจเช่นนี้
เถาเม่ยเอ๋อร์มองความวุ่นวายในห้องโถงหลัก ทุกหนแห่งต่างก็มีร่องรอยความโหดร้ายเหลือทิ้งเอาไว้อยู่ นางไม่รู้ว่าควรจะตอบชายชราผู้นั้นเช่นไร ยามนี้นางสับสนไปหมดแล้ว
“ที่แท้เจ้ากับสกุลสวีก็สมรู้ร่วมคิดกันทำเรื่องแย่ๆ รวมหัวกันหลอกเอาเงินผู้อื่น มิฉะนั้นเหตุใดกระทั่งโจรภูเขายังมาหาเรื่องได้เล่า หากไร้ลมก็คงไม่เกิดคลื่น ถ้าพวกเจ้าไม่ได้กระทำความผิด จะมีผีมาเคาะประตูได้อย่างไร เกรงว่าสวรรค์คงตัดหนทางข้าแล้ว! ช่างเถิด ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะตามหาหมอมีชื่อไม่ได้” ชายชรากล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปอย่างโมโห
“ท่านลุง…”
เถาเม่ยเอ๋อร์ทำได้เพียงยืนตัวแข็งมองดูความวุ่นวายของผู้คนที่ทยอยจากไป นางอยากร้องไห้ทว่าไร้น้ำตา
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ก.ย. 62)