ในแปลงเพาะปลูกเล็กๆ มีดอกมู่จิ่น อยู่หลายกระถาง ในความวิจิตรยังแฝงไว้ซึ่งความเรียบง่าย ลานอันเงียบสงบกลืนกินความวุ่นวายทางโลกไปจนหมด ต้นหม่อนเขียวเข้มต้นใหญ่ต้นนั้นให้กลิ่นอายราวกับความนุ่มนวลละมุนละไมของเด็กสาวตัวน้อยที่ยังไม่ละทิ้งความใสซื่อไป
ใต้เงาแมกไม้จัดวางโถสมุนไพรและครกบดยาเล็กใหญ่อยู่เต็มพื้นที่ นั่นคือข้าวของชั้นเลิศของเถาจ้งซานพี่ชายนางที่ค้างคางานเอาไว้
นางเพิ่งเหม่อมองไม่ทันไรก็เห็นจินเจิ้งลูกศิษย์ของร้านไป่เฉ่าเร่งรีบเดินเข้ามาหาพร้อมส่งกระดาษเถาวัลย์แผ่นหนึ่งมาให้ กระดาษเถาวัลย์นี้มาจากเมืองซั่นซี ด้วยเพราะพื้นที่นั้นมีเถาวัลย์ป่าอยู่จึงนำมาทำกระดาษเถาวัลย์ได้ ทว่าเถาวัลย์ป่าเหล่านี้เริ่มจะหาพบได้ยากแล้ว ดังนั้นกระดาษแผ่นนี้จึงมีความล้ำค่าเป็นอย่างมาก
เมื่อเงยหน้ามองไปก็เป็นดังที่คาดไว้ ผู้ที่มาสวมอาภรณ์ทอจากผ้าไหม เคราขาวปลิวสยาย เพียงมองก็ดูออกว่าเป็นคหบดีผู้ร่ำรวย กระดาษเถาวัลย์ชั้นเลิศแผ่นหนึ่งเขียนเทียบยาด้วยลายมือหวัดๆ เทียบกับกระดาษสูงค่าแผ่นนี้แล้ว รอยน้ำหมึกเหล่านั้นกลับปรากฏความไม่เข้ากันอยู่หลายส่วน
ทว่าชายชราผู้นั้นกลับมีบุคลิกดุดัน เขาถลึงตาใส่จินเจิ้งอย่างโมโหราวกับมีความแค้นใหญ่หลวงที่ไม่ยอมเลิกราอย่างไรอย่างนั้น
“บอกมา เหตุใดถึงไม่ยอมจัดยาให้ข้า ข้าจ่ายเงิน พวกเจ้าขายยา การกระทำโง่เขลาเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของพวกเจ้าหรอกหรือ!”
จินเจิ้งชำเลืองมองเถาเม่ยเอ๋อร์ที่มีท่าทีครุ่นคิดพร้อมกล่าวอย่างหวาดเกรง “ยาเทียบนี้ของท่านไม่อาจกินได้ขอรับ หาใช่พวกเราไม่อยากจะทำการค้ากับท่าน”
“อะไรนะ!” คิ้วของชายชราขมวดแน่น เคราขยับไหวไปตามลมหายใจอันหนักหน่วง “นี่เป็นหลักการของที่ใดกัน เจ้าจะสนใจไปทำไมว่าข้าซื้อยาอะไร ข้าค้นหาไปตามร้านยาน้อยใหญ่หลายสิบแห่งทั่วเมืองหลวง ลำบากนักกว่าจะมาถึงร้านไป่เฉ่าแห่งนี้ เหตุใดถึงไม่ยอมขายให้ข้า เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย ประตูของร้านไป่เฉ่าแห่งนี้เปิดไว้เพื่อผู้ใดกัน”
จินเจิ้งขยับผ้าโพกสีเขียวซึ่งผูกอยู่บนศีรษะพร้อมยิ้มกล่าวอย่างจืดเจื่อน “คุณหนู ทำไมถึงไม่รีบช่วยข้าอีก ข้าจะรับมือไม่ไหวอยู่แล้ว”
เถาเม่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะน้อยๆ ถอนหายใจก่อนกล่าว “ขออภัยเจ้าค่ะท่านลุง แต่พวกเราไม่อาจจัดยาสมุนไพรตามเทียบยานี้ให้ท่านได้จริงๆ”
“เพราะอะไร” ชายชราผู้นั้นลูบเครา ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย “ไม่เคยได้ยินว่าร้านยาที่ไหนไม่ทำการค้ามาก่อน ซ้ำยังคืนเทียบยากลับมาอีกด้วย!”
เถาเม่ยเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ ผิวขาวกระจ่างปรากฏสีแดงระเรื่อ “ท่านลุง มิใช่ว่าพวกเราไม่ต้องการทำการค้ากับท่าน แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ข้าย่อมรักถนอมชื่อเสียงหนึ่งร้อยปีของร้านไป่เฉ่าที่ได้มาโดยไม่ง่ายนี้”
“อะไรนะ ร้อยปีแล้ว?” ชายชราผู้นั้นอึ้งไปเล็กน้อย “นับตั้งแต่ราชสำนักของเราบุกเบิกแคว้นมาจวบจนปัจจุบันก็เพียงแค่สี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น หรือจะบอกว่านับตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนร้านยาแห่งนี้ก็ตั้งอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ผิดแม้แต่น้อย ท่านลุง ข้าขอใช้ชื่อเสียงของร้านไป่เฉ่ารับรองกับท่าน ผู้ที่มาเยือนร้านไป่เฉ่าแห่งนี้ก็ถือเป็นครอบครัวของพวกเรา พวกเราไม่มีทางมีความคิดทำร้ายผู้อื่นเจ้าค่ะ”
“หืม?” ชายชราผู้นั้นลูบเคราอีกครั้ง โทสะเลือนหาย อดที่จะมองไปรอบๆ ไม่ได้
ห่างจากเขาไปไม่ไกลนักมีน้ำเต้ายาขวดใหญ่ติดไว้บนผนัง พื้นผิวกระดำกระด่างเงาวับ ร่องรอยเก่าแก่แสดงให้เห็นถึงการผ่านกาลเวลามาร้อยปีได้ นึกไม่ถึงว่าบนผิวขวดน้ำเต้ายาจะแกะสลักภาพของปรมาจารย์ชื่อซงจื่อ บุคคลสมัยโบราณเอาไว้ มีเสียงเล่าลือว่าบุคคลผู้นี้อยู่ในยุคของเสินหนง ช่ำชองเรื่องจำแนกยาและฝึกปราณ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เป็นบุคคลที่หมอไม่ว่ายุคสมัยใดก็พากันบูชาเลื่อมใส
“ร้านไป่เฉ่าแห่งนี้ผ่านศึกสงครามและการแก่งแย่งชิงดีมามากมายเพียงนี้แต่กลับยังเปิดกิจการอยู่จวบจนวันนี้ เกรงว่าจะต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่นเป็นแน่!”