“ท่านลุง ตัวยากันเฉ่ากับไห่เจ่าในเทียบยาของท่านเดิมก็เป็นยาที่มีฤทธิ์ขัดกัน ไม่อาจใช้ร่วมกันได้เด็ดขาด หากข้าไม่รอบคอบเห็นแต่เพียงประโยชน์ส่วนตนก็เป็นการละเลยความมุ่งหมายที่จะรักษาผู้ป่วยแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงกังวานใสของเถาเม่ยเอ๋อร์ไพเราะดุจนกขมิ้นที่ส่งเสียงร้องท่ามกลางความเงียบสงบยามรุ่งสาง
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ท่านลุงผ่านโลกมามาก คงเคยได้ยินเรื่องหากพยัคฆ์ถูกธนูจะกินโคลนสะอาด หมูป่าถูกธนูจะกินใบจี้ไช่ ไก่ป่าถูกเหยี่ยวจิกจะนำใบตี้หวงมาทาบาดแผล หนูกินซิ่นสือ ขอเพียงได้ดื่มน้ำโคลนก็จะหายดีเป็นปลิดทิ้งอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้หากถูกตัวไหมกัดให้นำผงด้วงมาทา หรือถูกแมงมุมกัดก็ให้นำผงแร่สยงหวงมาทาบนบาดแผล ทุกสรรพสิ่งมีทั้งสิ่งที่ส่งเสริมและขัดแย้งกัน ขอเพียงมีสร้างก็ย่อมมีทำลาย ยาสมุนไพรก็เป็นเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ชายชราเคราขาวผู้นั้นคล้ายสะดุ้งตื่นจากฝัน พริบตานั้นพลันถลึงตาโต เคราไหวระริก “หมอพเนจรผู้นั้นเป็นพวกไร้ศีลธรรมจริงๆ เสียด้วย ยังจะมาบอกว่าเป็นตำรับยาลับของบรรพบุรุษอีก ที่แท้ก็เป็นแค่คนต่ำช้าที่หลอกเอาเงินผู้อื่น!”
“ท่านลุง ฟังจากสำเนียงของท่าน คงจะไม่ใช่คนเมืองหลวงใช่หรือไม่”
“เดิมทีข้ามาทำการค้าแพรพรรณที่เมืองหลวง ข้ามีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง ปีนี้อายุเจ็ดขวบ ทว่าร่างกายกลับอ่อนแอเจ็บป่วยง่ายมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้จึงคิดหาหมอชื่อดังสักคนในเมืองหลวงช่วยตรวจรักษาให้นาง ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อวานจะได้พบกับหมอพเนจรเข้า เขากล่าวว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค ข้าจึงได้หลงเชื่อ”
เถาเม่ยเอ๋อร์ฟังมาถึงตรงนี้รอยยิ้มก็หุบลงทันที “ท่านลุง หลานสาวของท่านจำเป็นต้องได้รับการรักษาในเร็ววัน หากช้าอาจจะพลาดช่วงเวลารักษาที่ดีที่สุดของหลานสาวท่านไปได้เจ้าค่ะ”
“แล้วข้าควรทำเช่นไรดี” ชายชราฉีกเทียบยาในมือทิ้งอย่างกรุ่นโกรธ ก่อนทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้เถาวัลย์ตัวหนึ่งในห้องโถง
“ท่านลุงวางใจเถิด ในเมื่อท่านมาถึงเมืองหลวงแล้ว ในสถานที่มังกรซ่อนเสือหมอบ เช่นนี้ ยังกลัวว่าจะหาหมอชื่อดังไม่พบอีกหรือ” มือเรียวของเถาเม่ยเอ๋อร์ยกขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออก “สถานที่ที่อยู่ใกล้กับร้านยาร้อยปีแห่งนี้ก็คือสกุลสวีซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านลุงสามารถไปดูด้วยตาตนเองได้”
“สกุลสวี?” แววตาขุ่นมัวของชายชราค่อยๆ สว่างไสวขึ้น ริมฝีปากสั่นระริกขึ้นมา “เจ้าหมายถึงสกุลสวีที่เป็นหมอมีชื่อมาเจ็ดรุ่นน่ะหรือ”
เถาเม่ยเอ๋อร์ยิ้มกว้างพลางผงกศีรษะน้อยๆ ผู้ที่ทำงานคนละสายงานย่อมไม่เข้าใจทักษะของงานอื่นนอกเหนือจากงานของตน หากต้องการรักษาโรคย่อมต้องขจัดความสงสัยก่อน หากไม่มีจิตใจทำเพื่อผู้อื่นก็เหมือนแหล่งน้ำที่ไร้น้ำ แหล่งอาหารที่ไร้ข้าว ยากจะขจัดโรคภัยไปได้
ชายชราผู้นั้นปีติยินดีอย่างยิ่ง “คิดไม่ถึงว่ามาถึงเมืองหลวงวันแรกก็จะได้พบผู้สืบทอดสกุลสวีทันที หลานสาวของข้าโชคดีแล้ว!”
เถาเม่ยเอ๋อร์เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน ในมือถือกล่องผ้าไหมสีแดงพลางกล่าว “ท่านลุง ข้ากำลังจะไปส่งยาพอดี เชิญท่านตามข้ามาด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ”
“เยี่ยม ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วจริงๆ!” ชายชราหัวเราะอย่างมีความสุข รีบติดตามอยู่ด้านหลังเถาเม่ยเอ๋อร์
“คุณหนูช้าก่อน ท่านยังไม่ทันอธิบายหลักการไหลเวียนของเลือดและลมปราณให้ข้าฟังเลยนะขอรับ ท่านจะไปแล้วหรือ” ในที่สุดจินเจิ้งที่ยังคงยืนอยู่ด้านข้างก็ทนต่อไปไม่ไหว พึมพำขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เถาเม่ยเอ๋อร์ถอนหายใจก่อนกล่าวเสียงดัง “ลมปราณสร้างเลือดได้ เมื่อลมปราณเคลื่อนไหวจะทำให้เกิดเลือด จากอาหารเปลี่ยนเป็นสารอาหาร จากสารอาหารเปลี่ยนเป็นอิ๋งชี่ และของเหลว จากนั้นอิ๋งชี่และของเหลวในร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นเลือด ทุกๆ ขั้นตอนล้วนไม่อาจปราศจากการเคลื่อนไหวของลมปราณไปได้”