“น่าทึ่งแท้คุณหนู ท่านอธิบายได้เข้าใจง่ายกว่าตำราแพทย์มากนัก ข้าฟังครั้งเดียวก็เข้าใจแล้วขอรับ” จินเจิ้งเกาศีรษะพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี
“เอาเถิด ข้าไปก่อนแล้ว” เถาเม่ยเอ๋อร์มองเห็นชายชราผู้นั้นกำลังตั้งใจฟังก็อดยิ้มแย้มงดงามออกมาไม่ได้
“คุณหนู ท่านรีบร้อนอยากไปพบหมอสวีผู้เฒ่าหรือว่าหมอสวีน้อยกันแน่” จินเจิ้งยิ้มกว้างพลางหนีไปซ่อนตัวไกลๆ
“เจ้า!” เถาเม่ยเอ๋อร์กล่าวต่อว่า “ข้ามแม่น้ำก็รื้อสะพานทิ้ง มิใช่นิสัยของพวกเราร้านไป่เฉ่า ระวังลิ้นของเจ้าเอาไว้ให้ดีๆ!”
“ฮ่าๆ!” จินเจิ้งลอบหัวเราะ ก่อนรีบร้อนค้อมตัวลงหลบเข้าไปใต้โต๊ะเก็บเงินที่สูงใหญ่
“รอข้ากลับมาค่อยจัดการเจ้า เชิญท่านลุงตามข้ามาเจ้าค่ะ”
เถาเม่ยเอ๋อร์หันกายเดินออกจากประตูด้านข้างไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ชายชราผู้นั้นถูกความสง่างามของเถาเม่ยเอ๋อร์ทำให้ต้องยิ้มออกมา จากนั้นจึงเร่งรีบติดตามไป
เดินผ่านบริเวณที่มีอาภรณ์ตากปลิวสะบัดในบริเวณร้านไป่เฉ่า แล้วเข้าไปในประตูด้านข้างอีกบานหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าก็กลายเป็นลานด้านหลังอีกแห่งหนึ่ง ภายในลานปรากฏดอกไม้นานาพรรณ ดอกโต้วโค่วสีสดงดงามเสียจนเอาชนะดอกไม้งามอื่นๆ ที่อยู่เต็มลานไปได้
“ท่านลุง จากประตูนี้เดินตรงไปก็จะพบท่านหมอสวีที่กำลังนั่งตรวจรักษาแล้ว ข้ายังมีธุระอื่นอยู่อีก ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
“ได้ๆ ขอบคุณคุณหนูมาก เชิญคุณหนูตามสบาย” ชายชรากล่าวจบก็ประสานมือขึ้นเป็นการลา
เถาเม่ยเอ๋อร์สองแก้มแดงระเรื่อเมื่อได้ยินผู้อาวุโสเรียกคุณหนู นางตั้งสติก่อนเดินลึกเข้าไปภายในลานด้านหลัง ผ่านประตูโค้งบานหนึ่ง รั้วสองฝั่งประดับตกแต่งด้วยกระถางต้นสือหูสีแดงจำนวนหลายกระถาง ลำต้นฝังรากลึกลงไปในกองทรายอย่างโดดเด่น อวดโฉมอย่างทะนงด้วยความเงียบงัน
ทันใดนั้นเถาเม่ยเอ๋อร์พลันรู้สึกได้ถึงสายลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ร่างของนางหดเกร็ง แผ่นอกแข็งแกร่งแฝงความเอาแต่ใจดุจพายุฝนโหมกระหน่ำพุ่งเข้ามาใกล้นาง โดยไม่รอให้นางตั้งสติได้ทัน ริมฝีปากก็เข้ามาแนบชิด ในชั่วขณะนั้นนางถูกกลิ่นอายอันคุ้นเคยเข้ามาห่อหุ้มจนแทบจะขาดอากาศหายใจ
“เทียนหลิน…เจ้า!” นางลองออกแรงผลักร่างของคนตรงหน้าออกไป แต่กลับพบว่าท่อนแขนของอีกฝ่ายโอบรัดร่างของนางไว้อย่างแน่นหนาราวกับงูก็ไม่ปาน ไม่อาจแยกจากกันได้อีก
“เม่ยเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้า” สวีเทียนหลินกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์และลุ่มหลง ไม่อาจตัดใจจากความหอมหวานที่อยู่ในอ้อมแขนได้ “ท่านแม่กล่าวแล้วว่าปีนี้จะจัดการเรื่องงานแต่งงานของเรา ข้ารอไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“เทียนหลิน อย่า!” เถาเม่ยเอ๋อร์ร้อนใจยิ่งนัก นางออกแรงผลักพร้อมกับหอบหายใจ
ภายในลานมีสายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้โปรยปรายลงมาบนพื้นหญ้า เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นคราหนึ่ง เชือกที่มัดอยู่พลันขาดออก ม่านไผ่ที่ม้วนอยู่ตรงประตูทิ้งตัวลงมาบดบังภาพวสันต์อันละมุนละไมนี้
เถาเม่ยเอ๋อร์อาศัยโอกาสนี้ยกกล่องผ้าไหมในมือขึ้นฟาดไปที่ศีรษะสวีเทียนหลินเต็มแรง ได้ยินเพียงเขาส่งเสียงร้องโอ๊ยออกมาและปล่อยมือในที่สุด ก่อนยกมือขึ้นกุมศีรษะ
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าช่างโหดร้ายนัก ถึงกับกล้าลอบทำร้ายสามี”
เถาเม่ยเอ๋อร์ยึดกล่องผ้าไหมที่แง้มออกก่อนกลอกตาใส่เขา “เจ้าสมควรโดนแล้ว! ถ่วงเวลาข้าไปส่งยาให้ท่านป้าสวี ระวังข้าจะเกลียดเจ้าไปตลอดชีวิต!”
สวีเทียนหลินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ก่อนที่เขาจะรีบแย่งกล่องผ้าไหมมา “อะไรกัน เจ้าจะเกลียดข้าไปตลอดชีวิตจริงๆ หรือ”