เมื่อถ้อยคำนี้กล่าวจบ รอบด้านก็มีเสียงชื่นชมดังออกมาทันที
“คนเป็นหมอรักษาโรค นอกจากจับชีพจรตรวจวินิจฉัยและเขียนเทียบยาแล้ว ก็ยังมีการจัดยา ต้ม กรอง จนมาถึงดื่ม ระหว่างนั้นไม่รู้ผ่านมือคนมามากมายแค่ไหนกัน ทั้งมีผู้ใดสามารถพิสูจน์ได้ว่าปัญหานี้มาจากเทียบยาของท่านหมอสวี เว้นเสียแต่ตัวยานั้นจะรับมาจากมือท่านหมอสวีแล้วดื่มลงไปทันที ท่านหมอสวีเป็นหมอมาทั้งชีวิต เป็นผู้มีความเมตตาโอบอ้อมอารีคอยช่วยเหลือชาวบ้าน แล้วจะมาผิดพลาดกับเทียบยาแก้ไข้หนาวลมที่ธรรมดาที่สุดเทียบหนึ่งจนทำให้ตนเองต้องเสียชื่อเสียงตลอดชีวิตไปในวันเดียวได้อย่างไร”
เถาเม่ยเอ๋อร์ยังจดจำที่บิดาเคยกล่าวได้ เหตุที่วิชาแพทย์อาศัยการสืบต่อกันรุ่นสู่รุ่นเพื่อดำรงอยู่เป็นเพราะวิธีการทำตัวยาออกมานั้นเกี่ยวพันถึงหลายสิ่งยิ่ง หากมิใช่คนของตนเองก็ไม่อาจเชื่อใจได้ ด้วยเหตุนี้วาสนาระหว่างสวีและเถาสองสกุลจึงถือเป็นบัญชาจากสวรรค์ ดังนั้นเมื่อนางใช้เหตุผลนี้ในการอธิบาย อีกฝ่ายจึงต้องพ่ายแพ้ถอยไป
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้หัวหน้าโจรผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไปดังคาด “อะไรนะ เจ้าหมายความว่าพวกเรามาก่อเรื่องโดยไร้เหตุผล สร้างความอัปมงคลให้พวกเจ้าตั้งแต่กลางวันแสกๆ? เจ้า…”
“พี่ใหญ่ ปล่อยให้นางพูดให้จบ” บุรุษชุดขาวผู้นั้นโบกมือกล่าวขัดคำพูดของหัวหน้าโจร
เถาเม่ยเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นก่อนกล่าวต่อโดยไม่สนใจหัวหน้าโจร “ทุกท่านลองใคร่ครวญดูเถิด หากท่านหมอสวีเป็นหมอผู้เห็นแก่ผลประโยชน์ กระทำเรื่องน่าละอายใจจริงๆ เหตุใดพอถูกผู้อื่นข่มขู่ในห้องโถงเช่นนี้ ไฉนจึงยังมีท่าทีที่สงบผ่อนคลาย สุขุมเยือกเย็นได้เช่นนี้อีก”
สวีลี่คังกับสวีฮูหยินฟังมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลง อดที่จะส่งสายตาชื่นชมและเลื่อมใสไปให้เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่ได้
ผู้คนรอบด้านต่างพากันพูดพึมพำเห็นด้วยกับถ้อยคำของเถาเม่ยเอ๋อร์
“เจ้าเป็นใคร” ได้ยินเพียงเสียงบุรุษชุดขาวผู้นั้นดังขึ้นใกล้ๆ จมูกโด่งรั้นแทบจะแนบชิดกับนาง
เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าลมหายใจสับสน ร่างกายหดเกร็ง นางถูกเขาโอบอยู่เบื้องหน้าเช่นนี้ย่อมไร้หนทางให้หลบหนีจากความใกล้ชิด นางจึงได้แต่ดิ้นรนขัดขืน ภายใต้สายตาที่กดดันของอีกฝ่าย ในใจกลับเกิดความหวั่นเกรงขึ้นมาวูบหนึ่ง
สีหน้าสวีฮูหยินซีดขาวดุจกระดาษ ริมฝีปากม่วงคล้ำ เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้ตกตะลึง นางกล่าววาจาไม่ออกสักคำ
สวีลี่คังกดข่มโทสะในใจไม่ได้อีกต่อไป ตวาดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ปล่อยนางไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง!”
“หืม?” บุรุษชุดขาวผู้นั้นมองสวีลี่คังคราหนึ่ง แววตานั้นยากจะอ่านออก มีทั้งความโศกเศร้าที่เสียมารดา และยังมีความแค้นที่เก็บสะสมมาเนิ่นนาน
ทว่าที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยก็คือเขาเหมือนไม่อยากจะสังหารคนเพื่อให้ชดใช้ชีวิตในทันที
หัวหน้าโจรผู้นั้นหมดความอดทนในที่สุด “น้องชาย เจ้าไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นให้ท่านแม่เจ้าหรอกหรือ ยังจะมัวชักช้าอยู่อีกทำไม!” เพิ่งกล่าวจบคมดาบก็วาดไปด้านหน้าแล้ว ชั่วพริบตานั้นลำคอของสวีลี่คังพลันปรากฏรอยเลือดขึ้นมารอยหนึ่ง
เงาร่างสีขาวทะยานเข้าไปด้วยท่วงท่าสง่างามราวกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมา คมดาบนั้นยกขึ้นสูงอีกครั้งโดยไม่อาจตวัดลงมาได้อีก ที่แท้บุรุษชุดขาวผู้นั้นได้ปล่อยเถาเม่ยเอ๋อร์ไปแล้ว และกำลังขมวดคิ้วยืนขวางอยู่ตรงหน้าสวีลี่คัง “พี่ใหญ่…”
หัวหน้าโจรผู้นั้นตกตะลึงคล้ายกับหวาดกลัวบางสิ่ง จำต้องปล่อยดาบเงาวับลงอย่างควบคุมไม่ได้
บุรุษชุดขาวผู้นั้นกลับไม่ได้มองหัวหน้าโจร สายตาแหลมคมหันไปมองที่เถาเม่ยเอ๋อร์อีกครั้ง ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยออกมาช้าๆ “ข้ากำลังถามว่านางเป็น…ผู้ใด”