“ไม่ นี่คือนิ่วในลำไส้ ลู่ไทเฮาของซ่งเซี่ยวฮ่องเต้เคยประชวรด้วยโรคนี้มาก่อน สวีเหวินป๋ออาศัยตำรับยาเซียวสือทังรักษาจนหาย ทว่าน่าเสียดายที่วันนี้พวกเรารีบร้อนออกมา จึงไม่ได้เตรียมพร้อมมากนัก”
เถาเม่ยเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าที่มีลายปักคำว่า ‘ร้านไป่เฉ่า’ ของตนออกมาแล้วมอบให้ขอทานเด็กหนุ่มผู้นั้น
“นี่เป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของข้า นำมันไปขอเทียบยายังโรงหมอจี้ซื่อที่อยู่ภายในตัวเมือง จากนั้นไปขอสมุนไพรจากร้านไป่เฉ่าที่อยู่ด้านข้าง กินตามเทียบยานั้น จะต้องช่วยรักษาโรคของผู้เฒ่าได้อย่างแน่นอน”
“นี่…” ขอทานเด็กหนุ่มผู้นั้นน้ำตานองหน้าทันที “ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ บุญคุณใหญ่หลวงนี้ผู้น้อยจะไม่มีวันลืม เพียงแต่พวกเราไม่มีเงินทองไปหาหมอ”
“ไปเถอะ บอกพวกเขาว่าเป็นคำสั่งจากคุณหนูเถา ร้านไป่เฉ่าจะไม่คิดเงินสักเหรียญเดียว”
“ขอบคุณคุณหนู ท่านเหมือนพระโพธิสัตว์กวนอินมาโปรดจริงๆ!”
เถาเม่ยเอ๋อร์ยิ้มบางๆ ก่อนโบกมือ “การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เดิมก็เป็นหลักการของหมออยู่แล้ว อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย” กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นเร่งรีบจากไป
จินเจิ้งรีบร้อนติดตามมา “คุณหนู หากพวกเราใจบุญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะเดินทางไปถึงเขาชีสยาเมื่อใดกัน”
ตอนที่เขากำลังกล่าวพลันได้เห็นชาวบ้านกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าร้องตะโกนเสียงดังขณะมุ่งไปยังตัวเมือง ทุ่งหญ้าถูกรบกวนราวกับมีกีบม้าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเหยียบย่ำพื้นดินทุกกระเบียดนิ้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จินเจิ้งขวางคนผู้หนึ่งไว้
คนผู้นั้นตะโกนอย่างร้อนใจ “อะไรกัน พวกเจ้ายังไม่สะทกสะท้านอีกหรือ ได้ยินว่าโหวจิ่งแห่งชนเผ่าเซียนเปยก่อกบฏ ได้ข้ามผ่านแม่น้ำฉางเจียงมาแล้ว กำลังรุกคืบมายังเจี้ยนคัง หากยังไม่รีบกลับไปหลบซ่อนตัวอีก ช้ากว่านี้ก็คงไม่เหลือชีวิตแล้วกระมัง เพราะโหวจิ่งผู้นั้นเป็นคนเถื่อน ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา!”
“อะไรนะ!” เถาเม่ยเอ๋อร์ตกใจจนหน้าเผือดสี “ราชสำนักเรามีทหารหาญนับแสนนาย พวกเขาวางอาวุธยอมแพ้กันไปหมดสิ้นแล้วหรือ ป้อมปราการมากมายเพียงนั้นต่างถูกจัดการหมดแล้ว?”
คนผู้นั้นเพียงมองเถาเม่ยเอ๋อร์แล้วส่ายศีรษะ เร่งรีบวิ่งต่อไปยังประตูเมือง
“คุณหนู พวกเราก็รีบกลับไปกันเถอะขอรับ มิฉะนั้นจะปล่อยให้ตนเองต้องตกอยู่ในมือทหารกบฏเหล่านั้นหรือ”
จินเจิ้งมองดูชาวบ้านที่วิ่งตรงเข้ามามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็มารวมตัวกันที่ประตูเมืองอย่างแน่นขนัดราวกับมดอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ ข้าไม่เชื่อว่าทหารนับแสนนายของต้าเหลียงเราจะต่อต้านศัตรูที่มีจำนวนคนน้อยกว่าไม่ได้ หากตามหานอแรดไม่พบข้าก็ไม่มีวันกลับไป!”
“คุณหนู!” จินเจิ้งร่ำไห้กล่าว “ให้เชื่อมั่นในความเป็นไปได้ ท่านมิได้เพิ่งกล่าวคำพูดนี้ไปหรอกหรือ และในตอนนี้มีเพียงการรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก่อนจึงจะไปสนใจเรื่องอื่นได้ คุณหนู ท่านอย่าได้ดื้อรั้นถึงเพียงนี้เลย ชาวบ้านที่หนีภัยมีมากเพียงนี้ จะบอกว่าล้วนตาบอดกันหมดหรือไร”
ผู้คนที่อยู่บนทางหลักมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ สุดขอบฟ้ามีเมฆครึ้มเคลื่อนคล้อยกดดันเข้ามา ดวงอาทิตย์ถูกบดบัง เหลือทิ้งไว้เพียงขอบแสงสีทอง ชวนให้ผู้คนรู้สึกอาวรณ์หาแสงแดดฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่ช่วงเวลางดงามเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว มีเพียงฝนที่กำลังตั้งเค้า