เมื่อเดินเข้าไปในเรือนเล็กที่คุ้นเคยแห่งนั้นอีกครั้ง ดอกไม้ยังคงงดงามเหมือนเก่า เพียงแต่ไม่อาจได้ยินเสียงรถม้าขวักไขว่ภายนอกประตูโรงหมอจี้ซื่ออีกต่อไปแล้ว
เสียงโหยหวนราวกับถูกฉีกกระชากหัวใจดังออกมาเป็นระลอก ทำลายความคิดและการตัดสินใจที่เถาเม่ยเอ๋อร์รวบรวมมาอย่างยากลำบาก
“เม่ยเอ๋อร์” เมื่อเปิดประตูก็เห็นสวีลี่คังกำลังป้อนยาให้สวีฮูหยินด้วยตนเอง พอเห็นเถาเม่ยเอ๋อร์เดินเข้ามา น้ำตาพลันนองใบหน้าชรา ไม่เหลือความสงบนิ่งดังที่ผ่านมาอีก “เม่ยเอ๋อร์มาแล้ว อาการป่วยของท่านป้าเจ้ายังไม่หายดี ข้าไม่มีเวลาไปดูแลเรื่องพิธีศพของพ่อเจ้าเลย ช่างน่าละอายใจนัก” สวีลี่คังกล่าวเสียงสั่น
“ท่านลุงกล่าวหนักไปแล้ว เป็นสกุลเถาที่ทำให้พวกท่านลำบาก เม่ยเอ๋อร์ขอรับผิดต่อท่านลุงอีกครั้ง” นางมองดูแววตาสวีฮูหยินที่ใกล้เคียงกับเสียสติ ในใจพลันรู้สึกปวดร้าว
“เฮ้อ นี่คือคราวเคราะห์ของสกุลสวี เม่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตนเองแล้ว ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า…”
สวีลี่คังยังกล่าวไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของสวีฮูหยินดังขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลอกขึ้นบนเขม็ง ปากพ่นฟองขาว ตัวเกร็งเอนล้มไปข้างหลัง
“ฮูหยิน!”
“ท่านป้า!” เถาเม่ยเอ๋อร์ตกตะลึงจนใบหน้าเผือดสี ไม่คิดว่าอาการป่วยของสวีฮูหยินจะหนักหนาเพียงนี้ “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ท่านลุง ท่านป้า…นาง…”
สวีลี่คังผงกศีรษะอย่างเจ็บปวด ในมือมีเข็มเงินหลายเล่มที่ทยอยปักลงไป
“เม่ยเอ๋อร์ไม่เชื่อ ท่านลุง ท่านไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเองก็รู้ โรคเกิดเร็วดุจภูเขาถล่ม แม้เป็นหมอก็ไม่อาจต่อสู้กับสวรรค์หรือหลีกเลี่ยงการเกิดแก่เจ็บตายได้”
เถาเม่ยเอ๋อร์มองอย่างตกตะลึง หลังจากสวีฮูหยินชักไปหนหนึ่ง สีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ จากนั้นเข้าสู่สภาพหลับลึก นางจึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ในที่สุด
“เม่ยเอ๋อร์ได้ยินมาว่ามีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาอาการป่วยของท่านป้าได้เจ้าค่ะ”
“หืม?”
“วันนี้ตอนเช้าได้ยินจินเจิ้งบอกว่ามีสมุนไพรล้ำค่าชนิดหนึ่งคือนอแรด ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ดินแดนของพวกเรามี แต่ชาวต่างแดนเป็นผู้นำเข้ามาถวายให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้สมุนไพรชนิดนี้จึงหาได้ยากยิ่งในหมู่ราษฎร น่าเสียดายที่พระราชวังต้องห้ามหาใช่สถานที่ที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราสามารถเข้าไปได้”
“นอแรดนั้นหาได้ยากจริงๆ ข้าเคยเห็นกับตามาหนหนึ่ง”
เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกปีติจากใจ “อะไรนะเจ้าคะ ท่านลุงเคยเห็นจากที่ใดมาก่อนหรือ”
สีหน้าสวีลี่คังเคร่งขรึมลงทันที “นั่นเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ในปีนั้นภายในพระราชวังมีอยู่เพียงสองชิ้น ชิ้นหนึ่งฮ่องเต้พระราชทานให้แก่อวี้จางอ๋องเซียวจง อีกชิ้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องสังเวยไปถึงสองชีวิต”
“เอ๋? เรื่องพวกนี้ท่านลุงรับรู้มาจากที่ใดหรือเจ้าคะ”
สวีลี่คังไร้วาจาไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกระแอมเสียงเบา “อ้อ เม่ยเอ๋อร์ เจ้ารั้งอยู่ที่นี่อีกสักพักเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปต้มยามาให้ท่านป้าเจ้ากิน”
“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์ขอตัวก่อนแล้ว”
เมื่อเดินออกมาจากสกุลสวี เถาเม่ยเอ๋อร์พลันตระหนักว่าตนเองไม่ได้กลิ่นหอมสดชื่นที่เคยฟุ้งไปทั่วทั้งสวนนั้นอีกแล้ว คล้ายว่าการดมกลิ่นจะมีปัญหา
สวีเทียนหลินไม่อยู่บ้าน เช่นนั้นก็คงออกไปตรวจรักษาอยู่ เถาเม่ยเอ๋อร์ลอบถอนหายใจ ในเมื่อพบพานมิสู้ไม่พบ เช่นนั้นก็ตามแต่โชคชะตาก็แล้วกัน ที่ผ่านมานางไม่เคยคิดมาก่อนว่าสวีเทียนหลินที่ถนอมปกป้องตนมาตั้งแต่เด็ก ยามที่เผชิญกับจุดสูงสุดต่ำสุดในชีวิตจะทำให้นางเกิดความรู้สึกผิดหวังเพียงนี้