ไม่รู้ด้วยเหตุใดท่าทีของหลินจื่อเฟิงจึงผิดไปจากปกติ ชวนให้ผู้คนไม่เข้าใจยิ่งนัก
สือรุ่ยเซียงตอบรับเสียงเบา จักจั่นทองสั่นไหวน้อยๆ “ข้ากับพี่หลินเป็นผู้มีวาสนาต่อกันจริงๆ เสียด้วย!” กล่าวจบนางก็หันไปเรียกคนงานเตรียมตัวจะกลับ
“ช้าก่อน!” เถาเม่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “รุ่ยเซียง เจ้าไม่ได้ขอให้ข้าช่วยเจ้าหาตำรับยารักษาความงามมาให้หรอกหรือ”
“ทำไมหรือเจ้าคะ” สือรุ่ยเซียงถามอย่างประหลาดใจ
“ก็คือต้องใช้กันจวี๋ เจ้าต้องจำไว้ให้ดี เดือนสามห้าวันแรกเก็บต้นกล้าของมัน เรียกอวี้อิง เดือนหกห้าวันแรกเก็บใบของมัน เรียกหรงเฉิง เดือนเก้าห้าวันแรกเก็บดอกของมัน เรียกจินจิง เดือนสิบสองห้าวันแรกเก็บก้านของมัน เรียกฉางเซิง หลังนำของทั้งสี่อย่างในปริมาณเท่าๆ กันตากแห้งด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน แล้วบดหนึ่งพันครั้งจนเป็นผง ก็ให้ดื่มหนึ่งเฉียนพร้อมสุราทุกครั้ง หรือใช้น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนน้ำผึ้งขนาดใหญ่ประมาณเมล็ดต้นอู๋ถง กินเจ็ดเม็ดคู่กับสุราวันละสามครั้ง หลังกินได้หนึ่งร้อยวันจะรู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย ใบหน้าชุ่มชื้น กินหนึ่งปีผมขาวเปลี่ยนเป็นผมดำ กินสองปีฟันที่หลุดไปจะขึ้นใหม่ กินห้าปีผู้เฒ่าอายุแปดสิบปียังสามารถกลับมาเยาว์วัยได้ ทำตามนี้ มีแต่ประโยชน์ไร้พิษภัย”
สือรุ่ยเซียงถูกประโยคยาวๆ ของเถาเม่ยเอ๋อร์ทำให้ตกตะลึง ถึงกับหยุดฝีเท้าลงจริงๆ “วิธีการที่พี่เถาพูดนี้ได้ผลจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“สิ่งนี้บันทึกอยู่ใน ‘ตำรับยาอวี้หาน’ แต่ผลจะเป็นเช่นไรนั้นยังต้องให้เจ้าเป็นผู้สัมผัสเอง มีคำกล่าวว่าหากมุ่งมั่นและศรัทธาในสิ่งที่ปรารถนาย่อมสมหวังอย่างแน่นอน!” ดวงตารูปเมล็ดซิ่งของเถาเม่ยเอ๋อร์หรี่ลงเป็นรอยยิ้ม
ในที่สุดสือรุ่ยเซียงก็จากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ
เถาเม่ยเอ๋อร์พบว่าวันนี้ตนเองกล่าววาจาไปมากมายนัก คล้ายสัมผัสได้ว่าหลินจื่อเฟิงกับจินเจิ้งต่างใช้สายตาแปลกประหลาดมองมาที่นาง ทว่านางไม่ถอยหนีเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเผชิญหน้ากับแววตาหยอกล้อของหลินจื่อเฟิงตรงๆ
หลินจื่อเฟิงและจินเจิ้งรีบแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงความผิดแปลกของนาง ต่างก็แยกย้ายหลบเลี่ยงไป ได้ยินเพียงเสียงของหลินจื่อเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันจอมปลอมว่า “เจ้าอยากเห็นภาพเซียนงามสง่าหรือไม่”
จินเจิ้งมองดูเสื้อคลุมยาวสีขาวอันประณีตตัวนั้นแล้วพลันกระจ่างแจ้งทันใด จึงรีบร้อนกล่าว “ดีขอรับ ข้าอยากเห็น”
ทั้งสองคนมองสบตากันยิ้มๆ คราหนึ่งก่อนหลบไปทางห้องโถงด้านหลังอย่างรีบร้อน
“พวกเจ้า!” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
ยามนี้ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นอยู่กลางท้องฟ้า ช่วงเวลาของการนำดอกไป๋จวี๋ออกผึ่งลมได้มาถึงแล้ว หากแต่นางเป็นสตรี เดิมร่างกายก็อ่อนแอโดยธรรมชาติ ย่อมไม่อาจเคลื่อนย้ายโต๊ะตัวใหญ่ตัวนั้นได้ไหว
ในตอนที่กำลังหงุดหงิดก็ได้เห็นเฉินเซียงชิ้นนั้นถูกวางทิ้งไว้อยู่ด้านข้าง ดูไม่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
เถาเม่ยเอ๋อร์คาดเดาได้ว่านั่นเป็นของที่หลินจื่อเฟิงจงใจทิ้งเอาไว้ บางทีเขาอาจมองความในใจนางทะลุปรุโปร่งนานแล้ว สตรีที่รักยาสมุนไพรดุจชีวิตจะไม่สนใจสมุนไพรที่มีที่มาประหลาดได้อย่างไร นางนำเฉินเซียงยัดใส่ในอกเสื้อเงียบๆ ปิดบังความปีติยินดีที่ลอบผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ แล้วเดินกลับไปยังห้องนอน
กลิ่นหอมรวยรื่นอวลอยู่เต็มสวน หลินจื่อเฟิงยังคงสวมอาภรณ์สีขาวตัวเดิม ขณะที่เดินผ่านห้องนอนของเถาเม่ยเอ๋อร์ ภายในนั้นมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ลอยล่องอยู่ กลิ่นหอมนั้นหอมหวนนาน มีสรรพคุณช่วยรวบรวมสมาธิ ทำให้ผู้ที่รู้สึกหงุดหงิดสงบลงได้ทันที