บนพื้นถนนเต็มไปด้วยดินโคลนขรุขระ สวีเทียนหลินปล่อยให้หยาดฝนอาบตัวจนชุ่ม ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเศษใบไม้และกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลงมา เขายืนเผชิญหน้ากับประตูใหญ่ของร้านไป่เฉ่าตามลำพังอย่างเหม่อลอยอยู่นาน ไม่ยินยอมที่นับจากนี้จะไม่อาจพบสตรีในดวงใจได้อีกแล้ว
เถาเม่ยเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า มองใบหน้าหดหู่ของสวีเทียนหลิน
“เม่ยเอ๋อร์ ข้าทำใจเชื่อไม่ได้ว่าข้าจะไม่สามารถพบเจ้าได้อีกแล้ว อยู่แสนใกล้แต่เหมือนไกลสุดขอบฟ้า จะให้ข้าทนรับไหวได้อย่างไร” สวีเทียนหลินหลั่งน้ำตาบุรุษออกมาต่อหน้าเถาเม่ยเอ๋อร์ ไม่นึกเลยว่าเหล็กกล้าที่ผ่านการเคี่ยวกรำมาจะกลายเป็นวัตถุอ่อนยวบที่ใช้นิ้วมือบิดดึงได้
“เทียนหลิน การออกจากเมืองไปครั้งนี้ทำให้ข้าได้รู้ว่าต้าเหลียงกำลังเผชิญกับหายนะที่ไม่เคยพานพบมาก่อน พวกเราไม่มีเวลามาสนใจเรื่องรักระหว่างชายหญิงอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ข้าผิดต่อท่านป้านัก นอแรดนั้นไม่รู้จะหาพบได้เมื่อใด” เถาเม่ยเอ๋อร์เงยหน้า บนท้องฟ้าปราศจากสีสัน “ข้ารู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพราะข้า เพียงแต่ยามนี้เทียบกับวันวานไม่ได้ ข้ากับเจ้าไม่อาจเดินร่วมทางกันได้อีกแล้ว เทียนหลิน เจ้าตัดใจเสียเถอะ ลืมข้าไปซะ”
“ไม่! เม่ยเอ๋อร์ เจ้าสามารถลืมเรื่องราวในอดีตระหว่างเราได้อย่างนั้นหรือ เจ้าก็มีใจให้เจ้าคนชั้นต่ำไร้หัวใจผู้นั้นเช่นกันหรือไร!” สวีเทียนหลินเปลี่ยนจากโศกเศร้าเป็นมีโทสะ เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากเต้นตุบๆ
“เทียนหลิน หยุดพูด!” ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในใจเถาเม่ยเอ๋อร์ถูกสวีเทียนหลินกระทุ้งขึ้นมาอย่างไร้ปรานี นางรู้สึกเศร้าโศกอย่างห้ามไม่ได้ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว นี่คือบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้ข้า ข้าทำได้เพียงยอมรับ นับจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราก็ไม่ต้องมาพบเจอกันอีกแล้ว!”
กล่าวจบนางก็ข่มกลั้นความเจ็บปวดเดินถอยเข้าไปในร้านไป่เฉ่าช้าๆ
“จินเจิ้ง”
“มาแล้วขอรับ คุณหนูมีอะไรจะสั่งหรือ”
“ใช้แผ่นไม้ปิดตายประตูด้านข้างที่เชื่อมต่อกับสกุลสวีเสีย”
ทุกๆ ก้าวที่เถาเม่ยเอ๋อร์เดินไปล้วนรู้สึกราวกับมีคมดาบกรีดผ่านปลายเท้า นางตัดสินใจปิดตายประตูที่เชื่อมกับสกุลสวีบานนั้นตลอดกาล เมื่อปิดตายประตูแล้วก็เทียบได้กับปิดตายหัวใจตนเองไปด้วย ทำให้สวีเทียนหลินตัดขาดความอาวรณ์หา ตัดขาดสายสัมพันธ์หลายปีระหว่างสองสกุล
“คุณหนู?” จินเจิ้งสับสนและไม่สบายใจกับคำสั่งที่มาโดยกะทันหันนี้
“รีบไป ยิ่งเร็วยิ่งดี!” เถาเม่ยเอ๋อร์ตวาดสั่ง ไม่หลงเหลือความลังเลใดๆ อีกต่อไป
“ขอรับ” จินเจิ้งขานรับอย่างหวั่นเกรง รีบวิ่งไปอย่างลนลาน
นางรู้สึกจนใจ ไร้เรี่ยวแรง ทั้งไม่อาจทำอะไรได้ ทำได้เพียงทอดถอนใจเท่านั้น
เรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องระหว่างชายหญิงคือชื่อเสียงของร้านไป่เฉ่า การรักษาคำสัญญา กล้าทำกล้ารับ เป็นสิ่งที่คนสกุลเถาต้องรักษาไปตลอดชีวิต
“เม่ยเอ๋อร์ ข้าไม่อาจให้อภัยเจ้า!” สวีเทียนหลินยังคงยืนอยู่ตามลำพัง หันหน้าเข้าหาถนนที่เคยหรูหราโอ่อ่า คำรามก้องสุดเสียง
เทียนหลิน ข้าทำไม่ได้ ไม่ได้!
เถาเม่ยเอ๋อร์หันหน้ากลับไปมองก็ยังเห็นสวีเทียนหลินยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว หยาดน้ำตาใสกระจ่างของนางหลั่งลงบนกลีบดอกท้อ กลิ้งตกลงไปบนดินโคลน
ใต้บานหน้าต่างฉลุลาย หลินจื่อเฟิงกำลังข่มกลั้นความหุนหันในใจที่ต้องการรั้งสตรีซึ่งกลับมาอย่างปลอดภัยผู้นั้นเข้ามาในอ้อมกอดอย่างสุดชีวิต เพราะตั้งแต่เช้าของวันนี้เขาก็เริ่มออกค้นหาเงาร่างบอบบางของนาง นางถึงกับจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว หากไม่มีความเป็นตายของคนไข้ผู้นั้นมาบีบบังคับ เขาก็คงจะพุ่งออกไปนอกเมือง ใช้เชือกเส้นหนามัดตัวนางเอาไว้แล้ว
ทว่าเพียงชั่วพริบตาที่นางมาปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเขากะทันหันนั้น เขาถึงกับมีความรู้สึกว่าหยาดน้ำตาคลอเบ้า
เมืองหลวงอันวุ่นวายเริ่มมีการระวังภัยและการป้องกัน ฝีเท้าของทหารและราษฎรเหยียบย่ำดินโคลนเบื้องหน้าร้านไป่เฉ่าจนดูไม่ได้ ต้นไม้ต่างเผือดสีสันไปเงียบๆ ไม่หลงเหลือความสดใสดังเช่นในอดีตอีก
แต่เมื่อเห็นนางร้องไห้ให้กับเงาร่างของคนสกุลสวีผู้นั้นก็ทำให้เขารู้สึกเดือดดาลถึงที่สุด
“เม่ยเอ๋อร์ หากเจ้าลอบหนีจากร้านไป่เฉ่าลับหลังข้าไปอีกก้าวเดียว ข้าจะ…” เขาออกมาจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยขวดยาแห่งนั้น แล้วก้าวเข้ามาดึงรั้งชายแขนเสื้อของนางอย่างหงุดหงิด