“แกนะแก…มาถอนหงอกฉันตอนแก่ รับปากส่งๆ แล้วก็ไม่ทำตามคำพูด ฉันล่ะกลุ้มใจกับแกจริงๆ!”
พอพิรัลเดินลงมาข้างล่างในตอนสาย ราตรีก็เปิดฉากถล่มบุตรชายแบบไม่ให้ตั้งตัวติด รัวคำพูดเป็นปืนกลกราดใส่ชายหนุ่มที่ยังตื่นไม่เต็มตา ท่ามกลางสายตาสนอกสนใจหลายคู่ ทั้งไพศาล พิสินี และบรรดาคนรับใช้ที่หูไวนักกับเรื่องแบบนี้
ไพศาลโบกมือไล่สาวใช้ที่เช็ดกระจกตู้โชว์ให้ออกไปก่อน เหลือเพียงคนในครอบครัวที่ได้ชมละครโรงเล็ก ซึ่งนำแสดงโดยราตรีและพิรัล
บทบาทก็เดิมๆ เหมือนเคย คือราตรีเป็นฝ่ายบ่น ส่วนพิรัลเป็นฝ่ายฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในสมองเลยสักนิด
ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งบนโซฟาเดี่ยว ยกมือปิดปากหาวหวอด พลางเสยผมดกดำที่ยุ่งนิดๆ ให้เข้าที่ เพราะไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยก่อนลงมาข้างล่าง เป็นไปในแบบที่พิสินีค่อนขอดเสมอว่า
‘พี่พิน่ะ ตื่นปุ๊บก็หิวปั๊บ ไม่มีอารมณ์ทำอะไรนอกจากกิน’
‘ก็คนมันเหนื่อยนี่ยายเพิร์ล ทำงานมาทั้งวัน กลับถึงบ้านก็อยากนอนอย่างเดียวเลย อีกอย่าง…อาหารเช้าก็สำคัญที่สุด จะไม่ให้พี่กินได้ไง’
‘ถ้าพี่เที่ยวให้มันน้อยหน่อยก็คงไม่เหนื่อยนักหรอก แล้วมื้อเช้าของพี่น่ะเหรอ…ขอโทษที ตอนนี้เขาเรียกมื้อเที่ยงแล้วนะพี่’
น้องสาวว่า ทำตัวเหมือนเป็นแม่คนที่สองในบางที
เมื่อผู้หญิงสองคนที่แวดล้อมอยู่รอบตัวชอบวุ่นวายจัดระเบียบชีวิตให้เขานัก พิรัลจึงไม่ต้องการให้มีคนที่สามมาช่วยอีกแรง จึงตั้งมั่นว่าจะไม่มี ‘เมีย’ เป็นตัวเป็นตนจนกว่าพิสินีจะแต่งงานออกเรือนไปก่อน
“ตาพิ นี่แกฟังแม่พูดบ้างหรือเปล่า”
ราตรียืนค้ำหัวบุตรชายถามอย่างเหลืออด ซึ่งฝ่ายนั้นทำตัวกวนโมโหได้ดีเยี่ยม เงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วว่าไปคนละทางกับสิ่งที่ถูกถามหน้าตาเฉย
“หิวจังเลยฮะแม่ วันนี้มีอะไรกินมั่ง”
“ตาพิ!” ราตรีแผดเสียงลั่น ขณะที่สามีกับบุตรสาวกลั้นยิ้มกันจนเมื่อยแก้ม ไม่กล้าปล่อยเสียงหัวเราะออกไป กลัวถูกถล่มใส่เป็นเพื่อนพิรัลด้วยนั่นเอง
“อย่าเสียงดังสิฮะแม่ เดี๋ยวก็เจ็บคอหรอก แล้วทำหน้าบึ้งแบบนี้ไม่ดีนะฮะ ผิวจะเหี่ยวย่นเร็ว ต้องเสียตังค์ยืดก่อนกำหนดอีก” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเตือนด้วยความหวังดีทำเอามารดาโกรธจนควันแทบออกจากหู จึงเริ่มรายการเทศนาโปรดเขาเป็นชุด ทั้งเรื่องเมื่อคืนและเรื่องที่เขาเพิ่งก่อขึ้นเมื่อกี้ หากพิรัลเคยชินกับเรื่องแบบนี้ดีแล้ว จึงปล่อยให้มารดาว่ากล่าวตามใจชอบ ไม่โต้เถียงเพื่อให้เรื่องยุติเร็วที่สุด จนเห็นเธอหายใจหอบ หมดคำพูด ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาสั่งสอนแล้ว ชายหนุ่มถึงได้ถามหน้าซื่อ
“จบแล้วใช่ไหมฮะ ผมจะได้ไปกินข้าวเสียที”
“ตาพิ โอย…แก…แม่ไม่รู้จะพูดกับคนอย่างแกยังไง แกถึงจะซึ้ง ถึงจะเข้าใจ ที่เสียเวลาพูดทั้งหมดนั่น สีซอให้ควายฟังแท้ๆ”
บุตรชายยักไหล่ ไม่สะทกสะท้านที่ถูกเปรียบเป็นสัตว์มีเขาตัวดำเป็นเหนี่ยง ซ้ำยังบอกหยิ่งๆ
“ผมเข้าใจที่แม่พูดมาทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแต่ไม่อยากทำตามเท่านั้น เป็นอันว่าเรื่องผมกับหนูปีนป่ายอะไรนั่นจบกันแล้วนะฮะ”
ราตรีขึงตาดุใส่ อยากจะทุบพ่อตัวร้ายสักปึ้ก แต่รู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่เปลืองแรงและเจ็บมือฟรี เพราะพิรัลไม่ใช่ไม้อ่อนดัดง่าย แต่เป็นไม้แก่ดัดยาก แถมยังเหนียวเกินแกงอีกต่างหาก ปิ่นแก้วเองก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากได้เขาเป็นเขยขวัญอีกแล้วด้วย ยิ่งคิดราตรีก็ยิ่งหงุดหงิดลูกชายที่ไม่ได้ดั่งใจ จึงกระแทกเสียงบอกอย่างขุ่นเคืองติดประชดประชันนิดๆ
“ถึงฉันไม่อยากจบ แต่ทางโน้นเขาก็โทรมาขอจบเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้วย่ะ แกวางใจได้เลยว่าไม่มีวันได้เป็นเขยเขาเด็ดขาด…ไม่มีใครเขาอยากได้แกไปทำพันธุ์แล้ว!”
พิรัลหรือจะเดือดเนื้อร้อนใจ กลับยิ้มกริ่มสมใจไปน่ะสิ!