“ใต้เท้าหลิว เชิญเข้ามาได้” เวลานี้เอง ชายหนุ่มที่เข้าไปด้านในก่อนหน้านี้ก็ออกมาจากในห้องพลางเรียกเขา เห็นสีหน้าหลิวไป่ทงดูซีดเผือด ผ่านไปสักพักแล้วยังเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด ก็ตีหน้าเครียดแล้วขึ้นเสียง “ใต้เท้าหลิว!”
หลิวไป่ทงถูกเรียกด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่ากำลังเตือน ขนที่สันหลังเขาพลันลุกชันราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน ความคิดที่เพิ่งผุดขึ้นในหัวพลันอันตรธานไปทันใด เขาฝืนฉีกยิ้มให้ชายหนุ่มผู้นั้นแล้วก้าวเข้าไปในห้องโถงกลาง
แววเหยียดหยามวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม เขายืนอยู่ข้างประตู มองดูหลิวไป่ทงเดินผ่านไปด้วยท่าทางระมัดระวังอย่างยิ่ง จากนั้นจึงค่อยปล่อยม่านลง เดินตามอีกฝ่ายเข้าไป
ที่นั่งเจ้าบ้านในห้องโถงมีชายวัยกลางคนใบหน้าขาวไร้หนวดเครานั่งอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทว่าแผ่นหลังที่เหยียดตรงกลับดูไม่เหมือนขุนนางทั่วไป แต่เหมือนมีเงาร่างของขุนพลมาทาบทับอยู่เสียมากกว่า
เขากำลังพลิกเปิดอ่านหนังสือเล่มบางโดยอาศัยแสงตะเกียงในครอบแก้วที่สาวใช้ถือส่องให้ พอเงยหน้าขึ้นเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็วางหนังสือลงแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “มาแล้วสินะ”
ทุกครั้งที่เห็นขันทีใหญ่ผู้รักษาพระราชลัญจกรซึ่งทรงอำนาจอย่างมากผู้นี้ หลิวไป่ทงก็อดจะรู้สึกสงสัยในใจไม่ได้ ด้วยไม่ทราบว่าคนผู้นี้ฝึกฝนวิชาเร้นลับใดกัน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายอายุปาเข้าไปครึ่งร้อยแล้ว ทว่ากลับดูเหมือนคนอายุสามสิบกว่าๆ เท่านั้น
ปีนี้หลิวไป่ทงมีการติดต่อในทางลับกับหวังหลิงไม่น้อย จึงพอจะเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายมาบ้าง รู้ดีว่าแม้เวลานี้ใบหน้าของหวังหลิงจะเปื้อนยิ้ม แต่ที่จริงกลับเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความอดกลั้นสักเท่าไร เขาจึงไม่กล้าชักช้า รีบก้าวเข้าไปหา แล้วอธิบายเรื่องราวอย่างชัดเจน “ข้าน้อยได้จัดวางคนไว้ในสำนักตรวจการแล้ว รอเพียงเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้ ข้าน้อยจะนำคนของพวกเราถวายฎีกาฟ้องร้อง ให้ขับฟู่ปิงและบุตรชายออกจากตำแหน่ง”
“อืม” หวังหลิงหรี่ตามองด้วยความพอใจ แล้วพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ใต้เท้าหลิวเป็นศิษย์คนโปรดของฟู่ปิง ให้ท่านเป็นผู้นำฟ้องร้องกล่าวโทษฟู่ปิงย่อมเห็นผลกว่าให้ผู้อื่นฟ้อง”
หวังหลิงพูดจบก็หัวเราะเสียงดังลั่น สีหน้าเบิกบานผ่อนคลายราวกับความฝันที่เฝ้าเก็บไว้ในใจมานานปีบรรลุผลสมประสงค์ในที่สุด จึงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
หลิวไป่ทงกลับรู้สึกขมปร่าในปาก บอกไม่ถูกว่ารสชาติเป็นอย่างไร ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว
หวังซื่อเจาที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าหลิวไป่ทงดูละล้าละลังก็ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของอีกฝ่าย แอบยิ้มหยัน ล่อลวงอาจารย์ผู้มีพระคุณ หักหลังทอดทิ้งคุณธรรม ทับถมเมื่อเห็นคนตกต่ำ เรื่องชั่วร้ายต่างๆ นานาที่ว่ามาเจ้าหลิวไป่ทงผู้นี้ล้วนเคยทำมาแล้วทั้งสิ้น เวลานี้แสร้งทำเหมือนรับไม่ได้ให้ผู้ใดดูกัน หากมิใช่เขาแปรพักตร์มาเข้าพวกด้วย ท่านอากับหลี่ซื่อเม่าจะปรักปรำเอาผิดพ่อลูกแซ่ฟู่ได้รวดเร็วปานนี้หรือ
บัดนี้หลี่ซื่อเม่าขึ้นไปถึงตำแหน่งราชเลขาธิการโดยอาศัยความช่วยเหลือของผู้เป็นอาในทางลับ ฟู่ปิงถูกจับกุมคุมขัง แม้แต่ฟู่เหยียนชิ่งบุตรชายคนโตของฟู่ปิงก็ถูกจับตัวกลับมาไต่สวนดำเนินคดียังเมืองจิงเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวง
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน สกุลฟู่ก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วเหมือนร่วงลงมาจากยอดเมฆ ไม่อาจหวนกลับมามีอำนาจได้อีก
เขายิ้มหยันเย็นชา ฟู่ปิงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เย่อหยิ่งทะนงตน ดื้อรั้น และไม่เห็นหัวใคร ตั้งตัวเป็นศัตรูกับอาของเขาอยู่เรื่อยไป จึงเห็นฟู่ปิงเป็นหนามตำใจมานานแล้ว บัดนี้ถึงคราวตกต่ำ ครอบครัวแตกฉานซ่านเซ็น ที่เป็นเช่นนี้ก็ล้วนต้องโทษตนเอง
แต่ว่า…
เบื้องหน้าเขากลับมีใบหน้างามกระจ่างเปี่ยมด้วยความสดใสยวนเสน่ห์ผุดขึ้นมา ไม่รู้ว่าหากบุตรีผู้งดงามประหนึ่งบุปผาดั่งหยก* ของฟู่ปิงผู้นั้นรู้ว่าครอบครัวของตนเองตกต่ำลงในชั่วข้ามคืน ในใจจะคิดเห็นเช่นไร