เวลาต่อมาอดีตฮ่องเต้เสด็จไปตรวจทัพชายแดนที่เมืองเซวียนฝู่ ขณะทรงพำนักที่ค่ายทหาร ในยามวิกาลก็เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นมา อดีตฮ่องเต้ได้รับความช่วยเหลือจากผิงอวี้ซึ่งขณะนั้นถูกเนรเทศให้ไปประจำการที่ค่ายทหารแห่งนั้นช่วยเหลือเอาไว้ พระองค์ทรงรอดมาได้ ครอบครัวซีผิงโหวถึงได้กลับมารับตำแหน่งดังเดิม หากไม่มีเรื่องนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ซีผิงโหวคงจะต้องอยู่อย่างลำบากยากแค้นที่เมืองเซวียนฝู่เสียแล้ว บัดนี้สกุลฟู่ประสบเคราะห์กรรม ผิงอวี้หาทางซ้ำเติมก็คงไม่ถือว่าทำผิด ต่อให้ตรวจพบอะไรก็คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีทางสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องที่ตนเองไม่ควรจะยุ่งหรอก”
แม้ผู้เป็นอาจะพูดเช่นนี้ ทว่าพอหวังซื่อเจานึกถึงผู้บังคับบัญชาโดยตรงผู้นี้ก็ยังรู้สึกขุ่นเคือง เห็นอยู่ว่าทั้งสองอายุใกล้เคียงกัน แต่เพราะชาติกำเนิดทำให้คนผู้นี้เหยียบบนหัวเขามาตลอด ทั้งยังชอบซ่อนมีดไว้ในรอยยิ้ม ชั่วร้ายเจ้าเล่ห์นัก ถึงตัวเขาอยากจะเข้ามาแทนที่อีกฝ่ายมากเพียงใด ก็ยังหาทางจับผิดผิงอวี้ไม่ได้เสียที
หลิวไป่ทงรออยู่ใต้ชายคาราวหนึ่งถ้วยชาหวังซื่อเจาจึงออกมาจากห้อง
หลิวไป่ทงอยากจะเข้าไปบอกลาหวังหลิงในห้อง แต่ถูกหวังซื่อเจาขวางไว้ “ท่านอาเหนื่อยจึงนอนหลับพักผ่อนไปแล้ว ใต้เท้าหลิวไม่ต้องมากพิธี ตามข้าออกไปจากจวนเถอะ”
หลิวไป่ทงยิ้มแล้วขานรับ ทั้งสองเดินออกจากจวน ตลอดทางไม่พูดคุยกันสักคำ
ที่น่าแปลกก็คือจวนหลังนี้ออกจะใหญ่โต แต่กลับไม่มีคนรับใช้เดินผ่านไปผ่านมาแม้แต่คนเดียว
พอหลิวไป่ทงเดินเลี้ยวไปถึงทางเดินยาวก็มีสายลมราตรีวูบหนึ่งพัดมาปะทะใบหน้า ความหนาวยะเยือกคล้ายแทรกเข้าไปในผิวหนังจนถึงกระดูก หลิวไป่ทงตัวสั่นเทาด้วยความหนาว ทั้งยังได้กลิ่นประหลาดคล้ายคาวเลือดโชยมา แต่กลิ่นนั้นจางยิ่งนัก ยังไม่ทันจะได้กลิ่นชัดก็สลายไปพร้อมกับสายลม
ขณะนึกสงสัย หลิวไป่ทงก็เหลือบไปเห็นหวังซื่อเจากำลังมองสำรวจเขาอยู่ด้านข้าง สายตาอีกฝ่ายคมปลาบยิ่งนัก เขาตกใจจนผงะถอยหลัง ไม่กล้าเผยพิรุธใดๆ ให้เห็น เพียงแสร้งกระแอมกระไอเพื่อกลบเกลื่อนอาการลืมตัวเมื่อครู่นี้
พอออกมานอกประตูใหญ่ ทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง หวังซื่อเจาหวั่นใจเรื่องที่ผิงอวี้จะไปอวิ๋นหนานเพื่อควบคุมตัวบุตรีขุนนางต้องโทษของสกุลฟู่ด้วยตนเอง เขาจึงเร่งม้าไปยังหน่วยป้องปราบฝ่ายเหนือของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร
เมื่อหลิวไป่ทงขึ้นรถม้าแล้วก็เดินทางกลับจวน ก่อนจะปล่อยม่านรถลงเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีอย่างไม่ตั้งใจ เห็นเพียงความมืดมิดของรัตติกาลคล้ายกดทับลงมาเหนือศีรษะ ราตรียาวนานไร้ที่สิ้นสุดได้มาถึงแล้ว
ครึ่งเดือนให้หลัง ณ จวนสกุลฟู่ในเมืองชวีจิ้ง มณฑลอวิ๋นหนาน
จู่ๆ แม่นมหลินที่หลับไปถึงครึ่งคืนก็ตกใจตื่นเพราะเสียงความเคลื่อนไหวอันแผ่วเบา
นี่เป็นช่วงเวลาเงียบสงัดอย่างแท้จริง ราตรีนี้เงียบเสียจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมพัด เสียงนี้จึงไม่เพียงดังขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ยังฟังดูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก แค่ชั่วพริบตาเดียวนางก็ตื่นเต็มตาแล้ว
นางควานหารอยแหวกของม่านกั้นรอบเตียงแล้วชะโงกหน้าออกไปเงี่ยหูคอยฟัง เสียงนั้นฟังดูขาดห้วงและเหมือนถูกกดข่มเอาไว้ ทั้งยังแฝงด้วยความรู้สึกทุกข์ทนเจ็บปวด ชัดเจนว่าดังมาจากห้องด้านใน
สถานการณ์เช่นนี้มิใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก นางถอนหายใจพลางลุกขึ้น หยิบเสื้อมาคลุมไหล่แล้วถือตะเกียง รีบสาวเท้าเข้าไปห้องด้านใน
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” นางเดินไปถึงเตียงแล้วเลิกม่านขึ้น โน้มกายเข้าไปหา ร้องเรียกผู้ที่นอนอยู่อย่างเป็นห่วง “แม่นมมาแล้วเจ้าค่ะ อย่ากลัวไปเลย ฝันร้ายอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
แม่นมหลินถือตะเกียงเข้าไปใกล้ แสงสีเหลืองนวลส่องให้เห็นหญิงสาวใบหน้างดงามผุดผาดผิวขาวลออที่นอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าเวลานี้นางกำลังฝันเห็นสิ่งใด หน้าผากขาวเนียนดุจเครื่องกระเบื้องจึงเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก เรือนผมดำขลับเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ คิ้วงามขมวดแน่น เสียงสะอื้นเบาๆ คล้ายกำลังเจ็บปวดดังลอดออกมาจากปากเป็นครั้งคราว