บทที่สอง
สีหน้าหวังซื่อเจาบูดบึ้งทันที ยังคงเอ่ยอย่างดื้อดึง “เป็นที่ขบขันของใต้เท้าผิงแล้ว แม้ข้าน้อยยังอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่ก็รู้ว่าเรือนชั้นในเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกคนชั่ว ก่อนหน้านี้เคยได้รับคำสั่งให้ตรวจยึดทรัพย์มาหลายครา ล้วนค้นเจอหลักฐานสำคัญในการกระทำผิดของขุนนางต้องโทษได้ที่เรือนชั้นใน ข้าน้อยเกรงว่าบุตรีของผู้กระทำผิดจะซุกซ่อนอะไรไว้ จึงจำต้องมาตรวจค้นที่เรือนชั้นในเป็นที่แรก”
“อ้อ” ในดวงตาผิงอวี้มีแววถากถาง แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างจริงจัง “รองผู้บัญชาการหวังพูดได้มีเหตุมีผล แต่ถ้าข้าจำไม่ผิด คดีของฟู่ปิงและบุตรชายผ่านการไต่สวนของสามตุลากาแล้ว มีหลักฐานเอาผิดแน่นหนายากจะปฏิเสธ มีข้อกล่าวหายาวเหยียดสิบกว่าข้อหา เพียงพอให้ทั้งพ่อทั้งบุตรชายถูกโบยในศาลได้ร้อยกว่ายก คดีที่มีหลักฐานรัดกุมแน่นหนาเพียงนี้ พวกเราแค่มาทำตามระเบียบปฏิบัติก็พอ ไยต้องใจร้อนเพียงนี้ด้วย ที่เจ้าร้อนใจดังมีไฟมาแผดเผาจนถึงกับต้องตรงดิ่งเข้ามาในเขตเรือนชั้นในเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าคิดว่าขุนนางต้องโทษหลบหนีออกจากคุกหลวงมาได้ แล้วมาซ่อนตัวอยู่ในเรือนชั้นในแห่งนี้?”
หวังซื่อเจาถูกไล่ต้อนจนพูดไม่ออก
ฟู่หลันหยาได้ยินแล้วก็มือเท้าเย็นเฉียบ ทั้ง ‘หลักฐานเอาผิดแน่นหนาจนยากจะปฏิเสธ’ ‘ถูกโบยในศาล’ ‘คุกหลวง’…แต่ละคำมิต่างจากสายฟ้าฟาดกระหน่ำใส่หูของนางจนอื้ออึง
นางรู้แต่แรกแล้วว่าสองปีมานี้บิดาทำงานในราชสำนักอย่างยากลำบาก และรู้ว่าชีวิตการเป็นขุนนางนั้นมีขึ้นก็ย่อมมีลง ผันผวนปรวนแปรไม่แน่ไม่นอนเป็นเรื่องปกติ แต่นางไม่คิดเลยว่าบิดาผู้เปรียบเสมือนไม้สูงใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาอันเขียวชอุ่มในราชสำนักจะล้มครืนลงอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
“พวกท่าน…” แม้รู้ดีว่าความหวังมีไม่มาก แต่ฟู่หลันหยาก็ยังหาโอกาสพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งระคนสั่นเครือ “หนึ่งไม่มีราชโองการ สองไม่มีหนังสือกล่าวโทษ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกท่านมิใช่โจรที่แสร้งปลอมแปลงแต่งตัวเป็นทหารของทางการ”
คำพูดนี้ของนางเห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ความพยายามอย่างสิ้นหวัง อาศัยเพียงคำเรียก ‘องครักษ์เสื้อแพร’ ที่ผู้คนหวาดผวา เกรงว่าโจรผู้ร้ายที่หาญกล้าพอจะปลอมแปลงแต่งกายเป็นองครักษ์เสื้อแพรคงยังไม่เกิดมา
ผิงอวี้ได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดก็หันมามองฟู่หลันหยาเต็มตา เห็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของนางดูงามน่ารัก รูปโฉมดูสะสวย คิดแล้วคงเป็นบุตรีที่ฟู่ปิงรักถนอมไว้ในมือราวกับไข่มุกล้ำค่าผู้นั้นนั่นเอง
เวลานี้แม้สีหน้านางจะซีดเผือดราวกระดาษ แต่ก็ยังหยัดร่างเหยียดตรงเป็นสง่า พูดจาฉะฉานมีไหวพริบอย่างหาได้ยากยิ่ง มิเสียทีที่เป็นบุตรีของสกุลฟู่
ผิงอวี้หัวเราะอย่างหยามหยัน ล้วงราชโองการออกจากเอวด้วยท่าทีคร้านๆ แล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งลงมา ฟู่ปิงไม่เห็นราชสำนักในสายตา ใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน มีความผิดสมควรประหาร บัดนี้ให้จองจำไว้ในคุกหลวงชั่วคราว รอการไต่สวนยืนยันโทษแล้วจึงให้ลงโทษประหาร มีพยานบุคคลช่วยยืนยันว่าฟู่ปิงสมคบคิดกับชาวอี๋มีใจเป็นปฏิปักษ์ หมดสิ้นความภักดี เนื่องจากคดีนี้พัวพันกับผู้คนมากมาย ฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งเป็นพิเศษให้พวกข้ามาตรวจค้นหาหลักฐาน แล้วนำตัวบุตรีขุนนางต้องโทษเข้าเมืองจิงเฉิงไปรอรับการไต่สวน”
เขาพูดจบ โดยไม่รอให้ฟู่หลันหยาตอบก็หันไปโบกมือให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชา ร้องสั่งเสียงเยือกเย็น “มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ได้ รีบทำงานสิ!”
เหล่าองครักษ์เสื้อแพรต่างรีบขานรับคำสั่ง ชักดาบซิ่วชุนออกมาอย่างพร้อมเพรียงแล้วกระจายกำลังกันออกไปดุจสายน้ำไหลหลาก
ฟู่หลันหยารู้สึกเพียงแผ่นดินผืนฟ้ากำลังพลิกผันแปรปรวนอย่างรุนแรง โชคยังดีที่แม่นมหลินตาไวมือไว รีบเข้ามาช่วยประคองนางไว้ได้ทัน จึงไม่ล้มกลิ้งตกจากบันไดลงไปเสียก่อน