เดินไปพลางฟู่หลันหยาก็พยายามขบคิดอย่างหนักไปพลาง สุดท้ายจึงนึกเรื่องหนึ่งที่บิดาเคยเล่าให้ฟังได้
สองปีก่อน ตอนที่อดีตฮ่องเต้ไปพักแรมที่ค่ายทหารรักษาการณ์เมืองเซวียนฝู่ ทหารฝ่ายถ่านปู้ข่านลอบเข้ามาวางเพลิงพอดี พระองค์รอดชีวิตมาได้โดยได้รับการช่วยเหลือจากบุตรชายคนเล็กของซีผิงโหวที่ขณะนั้นเป็นทหารซึ่งถูกเนรเทศมายังเซวียนฝู่ พออดีตฮ่องเต้หนีรอดมาได้ก็ยกย่องเขาว่าทั้งกล้าหาญและรู้จักการวางแผน จึงสอบถามเรื่องราวชีวิตของเขา ไม่รู้ว่าบุตรชายของซีผิงโหวผู้นั้นตอบคำถามไปว่าอย่างไรกันแน่ พออดีตฮ่องเต้ได้ฟังแล้วก็ปลาบปลื้มเป็นอันมาก ไม่เพียงคืนตำแหน่งให้ซีผิงโหว ยังมีราชโองการเรียกตัวบุตรชายคนเล็กของเขากลับเมืองจิงเฉิง และให้เข้ารับการฝึกฝนในค่ายพลอู่จวิน
ถ้านางจำไม่ผิด…ซีผิงโหวก็มีแซ่ว่าผิง
จำได้ว่ายามที่บิดาเอ่ยถึงบุตรชายคนเล็กของซีผิงโหวก็มักจะชื่นชม บอกว่าแม้เขาจะประสบเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ก็ยังไม่ละทิ้งปณิธาน สู้อุตส่าห์มีมานะบากบั่นต่อความยากลำบาก สุดท้ายถึงขั้นฟื้นฟูกลับมา เห็นได้ว่ามิใช่คนดักดาน
แต่น่าเสียดาย เนื่องจากนางไม่อยากข้องเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อแพรเพราะชื่อเสียงที่เล่าลือกันมา จึงไม่เคยใส่ใจว่าใครในหมู่องครักษ์เสื้อแพรกำลังรุ่งโรจน์หรือตกอับ จนถึงบัดนี้ก็ไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นไปของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรสักนิด แต่หากบุตรชายคนเล็กผู้นั้นของซีผิงโหวคือใต้เท้าผิงที่อยู่ตรงหน้า คงต้องพูดว่าศัตรูคู่แค้นมักจะหลีกกันไม่พ้นจริงๆ เพราะการที่ซีผิงโหวสูญเสียตำแหน่งไปก็เนื่องมาจากบิดาของนางซึ่งยามนั้นอยู่ในตำแหน่งราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้องร้องกล่าวโทษ ทำให้พวกเขาถูกเนรเทศไปไกลถึงเมืองเซวียนฝู่
มิน่าเล่า ยามที่เขาเอ่ยถึงบิดาของนางจึงเต็มไปด้วยท่าทีถากถางดูแคลน
ฟู่หลันหยายิ้มอย่างขมขื่น อะไรที่เรียกว่าหลังคารั่วซ้ำฝนยังตกทั้งคืนยามนี้นางได้ประสบพบเจอกับตัวแล้ว
ภายในห้องปิดหน้าต่างและประตูสนิท จุดตะเกียงไว้เพียงดวงเดียว แสงดูสลัวราง นางเดินเข้าไปหยุดยืนนิ่งตรงกลางห้อง หันกลับมามองดูผิงอวี้ซึ่งอยู่ข้างหลังห่างออกไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ นางรู้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น ถ้าบิดาไม่อาจพลิกคดีได้จริงๆ ต่อไปก็ไม่รู้ว่านางจะต้องเผชิญกับการถูกกระทำหยามหมิ่นให้ต้องอับอายอีกมากเพียงใด ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้ ยิ่งไม่ยอมหาทางจบชีวิตตนเองไปอย่างสิ้นหวัง ขอเพียงบิดายังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวัน อาจจะหาหนทางพลิกคดีได้
แต่หากตายไป…นั่นก็เท่ากับไม่เหลืออะไรเลย
ผิงอวี้กวาดตามองการตกแต่งภายในห้อง ก่อนจะเดินมาอยู่ต่อหน้าฟู่หลันหยา เอามือไพล่หลังแล้วก้มมองนาง เห็นฟู่หลันหยามองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงก็กระตุกมุมปาก ก่อนจะยื่นมือไปคว้าข้อมือฟู่หลันหยาไว้ ทว่าเขาไม่เหมือนกับหวังซื่อเจา เพราะเขายังรู้จักจับข้อมือนางโดยใช้ชายแขนเสื้อกันไว้ชั้นหนึ่งเพื่อเลี่ยงสัมผัสผิวกายของนางโดยตรง
ฟู่หลันหยาถอยกรูดแล้วแต่ก็ยังหลบไม่พ้น ในใจพลันกรุ่นโกรธ ร่างก็พลอยสั่นสะท้านตามไปด้วย
จนถึงบัดนี้ฟู่หลันหยาก็ไม่นึกเสียใจที่ลงมือสังหารพ่อบ้านโจว
ประการแรก การเดินทางไปเมืองจิงเฉิงคราวนี้หนทางยังอีกยาวไกล นางตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง พ่อบ้านโจวถูกซื้อตัวไปแล้ว ขืนยังปล่อยให้อยู่ข้างกายก็ไม่ต่างกับมีงูพิษซุ่มรอจะจู่โจม สุดท้ายจะกลายเป็นภัยกับตนเองได้
ประการที่สอง พ่อบ้านโจวมีฐานะเป็นคนรับใช้คนสนิทของบิดา ย่อมจะรู้เรื่องราวที่เป็นความลับของบิดาอย่างละเอียด พอไปถึงเมืองจิงเฉิงแล้ว หากเขาเปลี่ยนใจหันมาแว้งกัดบิดาของนางโดยอ้างตัวว่าเป็นคนรับใช้ในบ้าน เกรงว่านางคงไม่อาจพลิกคดีของบิดาได้อีกแล้ว