สกุลฟู่เป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีทรัพย์สินเงินทองมากอยู่ การตรวจยึดสิ่งของดำเนินไปถึงครึ่งค่อนคืนหลัง และยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดพัก
เพื่อป้องกันมิให้สมาชิกสกุลฟู่ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนหลบหนีไปหรือพยายามฆ่าตัวตาย ผิงอวี้จึงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสองสามคนนำฟู่หลันหยาและบรรดาคนรับใช้ของสกุลฟู่มาอยู่รวมกันที่ลานเรือน แล้วคอยควบคุมตัวไว้อย่างแน่นหนา
เหล่าคนรับใช้เห็นว่าเจ้านายหมดหวังจะรอดแล้ว ส่วนใหญ่จึงรู้สึกหดหู่หมดอาลัยตายอยาก คนที่อายุยังน้อยหน่อย เมื่อไม่รู้ว่าชะตาชีวิตหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรก็พากันแอบร้องไห้ไปหลายรอบ
แม่นมหลินเองก็อยากจะร้องไห้เช่นกัน แต่พอเห็นสีหน้าฟู่หลันหยาไม่สู้ดี เกรงว่าหากอีกฝ่ายต้องลมราตรีอันหนาวเหน็บจะล้มป่วยไปอีก ชั่วขณะนั้นจึงไม่สนใจจะมาพร่ำบ่นถึงชะตากรรมของตนเอง รีบนำเสื้อคลุมกันลมที่ติดมือมาห่มให้ฟู่หลันหยาพลางโอบกอดนางร่ำไห้เงียบๆ
ในบรรดาคนที่ถูกควบคุมตัวไว้ในลานเรือนมีเพียงพ่อบ้านโจวที่เป็นบุรุษ เพราะเขามีตำแหน่งพิเศษในจวนสกุลฟู่จึงไม่ต้องถูกกักตัวไว้ที่ลานด้านหน้าพร้อมกับเหล่ายามรักษาการณ์และคนงานชายอื่นๆ
เขาย่อมไม่อาจปล่อยอารมณ์ตนเองให้ร้องไห้คร่ำครวญเฉกเช่นสตรี แต่ด้วยรู้สึกอัดอั้นจึงทอดถอนใจไม่หยุดพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นซับขอบตาที่แดงเรื่อเป็นครั้งคราว
ขณะพ่อบ้านโจวกำลังทอดถอนใจอย่างรวดร้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแม่นมหลินดังแว่วมา “ท่านอาโจว ข้ากระหายน้ำ ท่านช่วยไปขอน้ำจากพวกเขามาได้หรือไม่”
พ่อบ้านโจวเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ ก็เห็นฟู่หลันหยากำลังมองดูเขาอยู่เงียบๆ
สายลมราตรีพัดมาตามโถงทางเดิน ทำให้โคมไฟใต้ชายคาสั่นไหว
ใบหน้าฟู่หลันหยาต้องแสงโคมไฟ ประเดี๋ยวก็สว่างจ้าประเดี๋ยวก็หรุบหรู่ สีหน้าดูสงบนิ่งผิดปกติ แววตาลึกล้ำดุจบ่อน้ำ พ่อบ้านโจวมิรู้เลยว่านางมองดูเขาเช่นนี้มานานเพียงใดแล้ว
เขาบังเกิดความรู้สึกลุกลี้ลุกลน อ้าปากจะพูดแต่ไร้เสียง สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับปากด้วยท่าทางกระอึกกระอัก “เอ่อ อาโจวจะไปบอกให้”
พ่อบ้านโจวรู้ว่าแม้องครักษ์เสื้อแพรจะได้รับมอบหมายให้มาจับกุมคน แต่ก่อนจะมีการตัดสินโทษตั้งข้อหานายท่านจนเป็นที่แน่นอน องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่กล้ากระทำการหยามหมิ่นใดๆ ต่อสมาชิกตระกูลที่เป็นหญิง โดยเฉพาะคุณหนูในห้องหอ ไม่ต้องพูดถึงน้ำชามเดียวเลย กระทั่งอาหารการกินในแต่ละมื้อระหว่างเดินทางกลับเมืองจิงเฉิงคราวนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่กล้าทำสะเพร่าให้เกิดข้อผิดพลาดแน่
องครักษ์เสื้อแพรที่ยืนอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุดน่าจะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ น่าจะยังอ่อนต่อโลก หลังฟังคำขอแล้วจึงหันมามองฟู่หลันหยาครั้งหนึ่ง แค่นั้นสองแก้มของเขาก็ร้อนผ่าวทันที รีบเดินออกไปหารือกับองครักษ์เสื้อแพรอีกคนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็นำกาที่ใส่น้ำชาเต็มเปี่ยมกับชุดถ้วยน้ำชามาให้
พ่อบ้านโจวรับมาพลางขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่
แม่นมหลินรินชาใส่ถ้วยแล้วส่งให้ฟู่หลันหยา
ฟู่หลันหยาจิบอึกหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวใช้ไม่น้อยกำลังแอบมองเงียบๆ แววตาบอกว่ากระหายน้ำเช่นกัน คงเป็นเพราะถูกกักตัวไว้ครึ่งค่อนคืน ปากคอย่อมแห้งผากกันนานแล้ว แต่ยังคงระวังตัวว่าต้องแยกแยะระหว่างนายกับบ่าว จึงไม่กล้าล้ำเส้นตามอำเภอใจ
ฟู่หลันหยาจึงให้แม่นมหลินรินน้ำชาแจกจ่ายทุกคน นอกจากนี้ยังรินน้ำชาให้แม่นมหลินกับพ่อบ้านโจวด้วยตนเอง ยกถ้วยน้ำชาชูขึ้นให้พวกเขา ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “แม่นม ท่านอาโจว หลังจากคืนนี้ไป พวกเรานายและบ่าวคงสิ้นวาสนากันแล้ว”
แม่นมหลินขอบตาแดงเรื่อขึ้นทันที พ่อบ้านโจวกลับชะงักไปเล็กน้อย แล้วพูดด้วยท่าทางอึกอัก “ไยคุณหนูจึงพูดเช่นนี้ นายท่านยังไม่ถูกตัดสินว่าทำผิดเสียหน่อย ใช่ว่าจะหาทางพลิกคดีไม่ได้ ไม่แน่คุณหนูยังไม่ทันจะไปถึงเมืองจิงเฉิง นายท่านอาจได้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมแล้วก็เป็นได้”