ฟู่หลันหยาไม่พูดอีก เพียงมองดูเขาดื่มน้ำชาเต็มถ้วยจนหมด แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น “ท่านอาโจว ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านมาอยู่จวนสกุลฟู่ของเราได้ยี่สิบปีแล้ว ที่ผ่านมาท่านคอยจัดการธุระการงานมากมายของจวน ไม่ได้พักทั้งกลางวันกลางคืน ลำบากท่านแล้ว”
สีหน้าพ่อบ้านโจวนิ่งค้างไปทันใด ก่อนรีบขอโทษขอโพย “คุณหนูยกย่องบ่าวเกินไปแล้ว คุณหนูก็คงทราบว่าตอนนั้นบ่าวมาเป็นบ่าวสกุลฟู่ได้อย่างไร ปีนั้นแม่น้ำเว่ยเกิดอุทกภัย โรคระบาดแพร่ไปในหมู่ชาวบ้านตามริมฝั่งแม่น้ำ หากมิใช่นายท่านหาทางป้องกันไว้ได้ทันกาลด้วยการแจกจ่ายยาหม้อป้องกันโรคระบาด เกรงว่าบ่าวคงป่วยตายนานแล้ว ชีวิตอันต่ำต้อยของบ่าวมีหรือจะยืนยาวมาได้อีกหลายปีเช่นนี้ ว่ากันตามจริงแล้ว ชีวิตครึ่งหนึ่งของบ่าวเป็นนายท่านช่วยเอาไว้ ไยต้องพูดถึงความลำบากด้วยเล่า”
ฟู่หลันหยาจ้องมองพ่อบ้านโจวตาเขม็ง แม้ได้ยินเขาพูดอย่างหนักแน่น สีหน้าโศกเศร้าดูสมจริง ทว่าแววตากลับเห็นได้ชัดว่าวาวโรจน์เป็นประกาย
นางรู้สึกเจ็บแปลบในอก จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา เหลือบมององครักษ์เสื้อแพรที่กำลังยืนจิบชาอยู่ใต้ร่มไม้ไม่ไกลนัก แล้วพูดเรื่อยเปื่อยคล้ายกำลังพูดคุยเล่น “ท่านอาโจว ท่านควรจะรู้ ช่วงนี้ข้าเอาแต่ฝันร้าย ให้หมอมาดูหลายคน เปลี่ยนเทียบยาก็หลายเทียบ แต่ไม่เห็นจะดีขึ้นเสียที ใจข้าเศร้าหมองยิ่งนัก รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายยุ่งกับงานทางการ ไม่อาจให้พวกเขาเป็นห่วงได้ จึงส่งข่าวไปหาท่านลุงที่เมืองสู่ อยากให้เขาช่วยแนะนำหมอดีที่เก่งกาจให้สักสองสามคน ไหนเลยจะรู้ ส่งจดหมายไปแล้วกลับไม่ได้ข่าวคราวอะไร หนึ่งเดือนมานี้ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านลุงสักฉบับ…”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็หยุดพูด เพียงจ้องมองพ่อบ้านโจวอย่างเงียบงัน ได้ยินนางพูดเช่นนี้แล้ว สีหน้าเขาก็ไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านอาโจว ปกติท่านเป็นผู้ดูแลเรื่องจดหมายและการติดต่อต่างๆ ทั้งหมดของจวน จวนพวกเรากับภายนอกขาดการติดต่อนานนับเดือน ท่านคงทราบกระมังว่ามีสาเหตุจากอันใด”
แม่นมหลินคอยฟังอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย นางรู้มาตลอดว่าคุณหนูเป็นคนที่ไม่ยอมใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไม่รู้เรื่องราวใด ในเมื่อครุ่นคิดแต่เรื่องภายในจวนขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ย่อมต้องคิดหาวิธีไขความให้กระจ่าง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงจงใจใช้วิธีถามตรงๆ จากพ่อบ้านโจวเช่นนี้
แม่นมหลินพลันนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของฟู่หลันหยาที่พูดกับนางตอนเพิ่งตื่น จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในหัวทันที รีบหันไปมองพ่อบ้านโจวด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ฟู่หลันหยากลับเอาแต่จ้องมองพ่อบ้านโจวโดยไม่หันไปทางอื่น นางค่อยๆ พูดขึ้นว่า “นอกจากเรื่องขาดการติดต่อทางจดหมายแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ นั่นก็คือเรื่องที่ข้าเอาแต่ฝันร้าย ว่ากันตามจริง เดิมทีข้าคิดว่าเป็นเพราะลมปราณในกระเพาะอาหารติดขัด การลำเลียงธาตุอาหารแปรปรวน ขอแค่กินยาบำรุงสักสองสามเทียบแล้วพักฟื้นสักระยะหนึ่งก็คงหาย ใครเลยจะรู้ ตอนที่ข้าฝันร้ายเมื่อสองวันก่อนจึงได้รู้แจ้งในฝันนั้นเองว่าที่ข้าเอาแต่ฝันร้ายติดๆ กันที่แท้ก็มีสาเหตุ”
พ่อบ้านโจวได้ยินแล้วสีหน้าก็ยังไม่แปรเปลี่ยน เขาเพียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้ช่างดีนัก ในเมื่อหาสาเหตุพบแล้ว โรคฝันร้ายของคุณหนูคงจะหายดีในไม่ช้า”
ฟู่หลันหยาส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ได้ ฝันของข้าออกจะเหลวไหลเลอะเทอะเกินไป ถึงกับฝันเห็นท่านแม่พูดกับข้าว่าที่ข้าฝันร้ายไม่ใช่เพราะป่วยไข้ แต่เป็นเพราะมีคนวางยา ท่านอาโจวว่าเหตุใดจึงได้มีคนมาวางยาข้าเล่า ท่านว่านี่เหลวไหลหรือไม่”
นางพูดไปน้ำเสียงก็ทุ้มต่ำลง สีหน้าท่าทางดูไม่แตกต่างจากยามปกติ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลก็คิดแค่ว่าพวกเขาสองนายบ่าวเพียงพูดคุยเรื่องทั่วไปเท่านั้น จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
พ่อบ้านโจวได้ยินคำพูดนี้สีหน้ามิต่างจากเครื่องเคลือบชั้นดีที่มีรอยแตกร้าว ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นเหยเก ทว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาว้าวุ่นจนเผยพิรุธออกมา…
พ่อบ้านโจวอยู่ในจวนสกุลฟู่นานแล้ว เขาย่อมรู้นิสัยใจคอฟู่หลันหยาเป็นอย่างดี รู้ว่านางเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเหนือใคร ไม่เคยทำอะไรโดยไร้จุดมุ่งหมายมาก่อน คำพูดนี้ดูเหมือนพูดไปอย่างนั้นเอง ทว่าแต่ละคำล้วนมีความนัยซ่อนเร้น ฟังแล้วถึงกับสั่นคลอนจิตใจ
เขาคิดไม่ถึงเลยสักนิด ทั้งที่คืนนี้ประสบเหตุร้ายถึงเพียงนี้ แต่ฟู่หลันหยาก็ยังสามารถคลำเครือไปหาแตงคาดเดาจนล่วงรู้ความจริงส่วนใหญ่ได้