เขาร้อนใจอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่คาดเดานั้นเป็นจริง จึงขอยืมกำลังคนที่เก่งกล้าจากสำนักบูรพาของผู้เป็นอาให้ออกไปสืบข่าว หลังจากรวบรวมข่าวสารอยู่ครึ่งปี จึงได้ทราบว่าที่ปีนั้นซีผิงโหวถูกถอดออกจากตำแหน่งและโยกย้ายไปถิ่นทุรกันดาร ผิงอวี้ซึ่งเป็นบุตรชายคนเล็กของซีผิงโหวก็พลอยถูกเนรเทศไปยังเมืองเซวียนฝู่ด้วย และถูกกระทำการหลู่เกียรติเป็นอันมาก
ตอนนั้นเผ่าหว่าล่าของเหมิงกู่ภายใต้การบัญชาของถ่านปู้ข่านผู้เสริมสร้างกองทัพจนเข้มแข็ง คอยก่อกวนที่ชายแดนอยู่เนืองๆ เมืองเซวียนฝู่เป็นชัยภูมิของแนวหน้า ย่อมต้องเป็นจุดที่ถูกโจมตีก่อน
มีครั้งหนึ่ง ถ่านปู้ข่านรวบรวมกำลังพลทหารม้าหลายพันนายบุกจู่โจมเซวียนฝู่ในยามวิกาล หลังผ่านศึกยาวนานตลอดคืน เขาก็จับตัวเชลยศึกไว้ได้หลายสิบคน ตอนนั้นผิงอวี้ซึ่งถูกเนรเทศมาก็เป็นทหารราบอยู่ในค่ายใหญ่เมืองเซวียนฝู่และไปทำศึกที่แนวหน้าด้วย จึงโชคร้ายกลายเป็นหนึ่งในเชลยศึก
ถ่านปู้ข่านให้ส่งตัวเชลยศึกกลับไปที่เผ่า แล้วทำการคัดเลือกคนที่ยังอ่อนเยาว์และรูปโฉมใช้ได้ด้วยตนเอง จากนั้นส่งตัวไปให้แก่แม่หมอผู้หนึ่งที่ติดตามกองทัพมา
แม่หมอผู้นี้เป็นคนมีวิชาเก่งกาจที่มีชื่อเสียงของเผ่าเหอซั่วเท่อมีความสามารถในศาสตร์การดูดวงดาวและทำนายโชคชะตา สามารถทำนายทายทักเคราะห์หามยามร้าย นางถือเป็นผู้ที่ถูกแย่งชิงตัวมากที่สุดในหมู่ชาวเหมิงกู่ ซึ่งถ่านปู้ข่านต้องพยายามอย่างมากกว่าจะดึงตัวนางมาใช้งานได้
ภายใต้การชี้แนะของแม่หมอผู้นี้ ถ่านปู้ข่านสามารถรวบรวมเผ่าต่างๆ ที่กระจัดกระจายออกไปได้ไม่น้อยจนเป็นปึกแผ่น กำลังพลมีมากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังจึงได้บุกจู่โจมเมืองหน้าด่านทั้งเซวียนฝู่และจี้โจว มีหลายครั้งที่จู่โจมแบบไม่ให้ทันตั้งตัวจนได้รับชัยชนะอยู่หลายครั้ง โดยอาศัยสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดวิสัย เช่น ฝนลูกเห็บ หรือไม่ก็พายุฝนฟ้าคะนอง
ถ่านปู้ข่านได้รับชัยชนะอันหอมหวานจึงยิ่งมองว่าแม่หมอคือยอดฝีมือแห่งยุค ตั้งให้นางเป็นคนโปรด แม่หมอผู้นี้อยู่ในกองทัพของถ่านปู้ข่านมาหลายปี แม้มีฐานะสูงส่งแต่กลับไม่ละโมบในทรัพย์สมบัติ ทั้งไม่อวดอ้างตนตามอำเภอใจ นางมีความชื่นชอบเพียงอย่างเดียวก็คือลุ่มหลงการเริงสวาทในยามค่ำคืนกับคนหนุ่มหน้าตาดีเพื่อฝึกฝนศาสตร์ลึกลับ โดยเฉพาะชายหนุ่มชาวจงหยวน
ดังนั้นทุกครั้งที่ถ่านปู้ข่านออกรบ เมื่อใดที่จับเชลยศึกได้ก็ล้วนส่งไปให้นางคัดเลือกถึงกระโจม ตอนนั้น ผิงอวี้ก็เป็นหนึ่งในเชลยที่ถูกส่งไป เขามีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น เพราะรูปโฉมหล่อเหลาจึงเป็นที่ต้องตาของแม่หมอ
แม่หมอผู้นี้อายุสี่สิบกว่าแล้ว รูปร่างอ้วนสูงใหญ่ ยามร่วมอภิรมย์นางชื่นชอบที่จะมัดชายหนุ่มไว้กับเก้าอี้
คราวนี้ผิงอวี้ย่อมไม่เป็นข้อยกเว้น
กว่าคนรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติที่ข้างในแล้วพากันบุกเข้ามา ก็เห็นผิงอวี้หลุดจากพันธนาการได้ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ กำลังรัวหมัดเข้าใส่แม่หมอที่เปลือยกายล่อนจ้อนอย่างโหดเหี้ยมทั้งที่ร่างกายท่อนบนของเขาเองก็ยังเปลือยเปล่า
ดวงตาของผิงอวี้แดงก่ำ รัวหมัดอย่างแรงจนร่างอ้วนจ้ำม่ำขาวผ่องของแม่หมอสั่นกระเพื่อมไปตามแรงหมัด นางหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด สภาพร่อแร่จนแทบจะเหมือนเศษผ้าเก่าๆ
เรื่องน่าประหวั่นพรั่นพรึงนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ชาวเผ่าหว่าล่าไม่น้อยยังจดจำได้จวบจนบัดนี้ราวกับว่าเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นผิงอวี้ก็อาศัยช่วงชุลมุนชิงกระบี่มาฆ่าฟันพวกคนรับใช้ตายไปหลายศพ แล้วขโมยม้าที่ผูกไว้หน้ากระโจม กระโดดขึ้นหลังห้อตะบึงไปถึงหน้าค่ายในอึดใจเดียวจนเกือบจะหนีออกไปนอกค่ายได้
ถ่านปู้ข่านทราบเรื่องก็โกรธเกรี้ยว รีบนำคนไปล้อมจับเด็กหนุ่มที่เหิมเกริมผู้นั้น พอจับได้ก็มัดเขาไว้กับเสาไม้หน้าคอกสัตว์ แล้วลงแส้อย่างแรงด้วยตนเองนับหลายสิบที
โชคดีที่คืนนั้นจางหลู่แม่ทัพผู้ทำหน้าที่รักษาการณ์ค่ายทหารที่เซวียนฝู่นำกำลังพลเข้าจู่โจมเผ่าของถ่านปู้ข่านพอดี จึงช่วยชีวิตผิงอวี้และเชลยศึกทั้งกลุ่มเอาไว้ มิเช่นนั้นผิงอวี้คงตายในค่ายทหารของถ่านปู้ข่านตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว มีหรือจะรอดชีวิตมาช่วยอดีตฮ่องเต้ออกจากค่ายทหารที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในอีกสองปีให้หลัง รวมทั้งช่วยบิดาผู้มียศเป็นซีผิงโหวให้กลับคืนสู่ตำแหน่งได้