หวังซื่อเจาได้ยินเรื่องราวน่าเหลือเชื่อนี้ก็แอบเยาะหยันอยู่นาน ใครจะคาดคิดว่าใต้เท้าผิงผู้น่าเกรงขามก็เคยมีอดีตที่ยากจะรับได้เช่นนี้อยู่ช่วงหนึ่งด้วย
เขากระหายใคร่รู้ยิ่งนักว่าสถานการณ์ตอนนั้นของผิงอวี้และแม่หมอในกระโจมเป็นเช่นไร คิดแล้วคงน่าจะ ‘หวาดผวา’ อย่างยิ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้ผิงอวี้รังเกียจการเข้าใกล้หญิงสาวมาจนถึงบัดนี้ได้หรือ
คิดถึงตรงนี้หวังซื่อเจาก็มองผิงอวี้ด้วยความเคลือบแคลงระคนกรุ่นโกรธ เมื่อครู่ตอนที่เขาพูดแทบไม่ยิ้มออกมา ดูไม่เห็นจะสนใจในตัวฟู่หลันหยาสักนิด
จู่ๆ หวังซื่อเจาก็นึกถึงอีกเรื่องที่เป็นไปได้ พลันบังเกิดความระแวงขึ้นในใจ หรือว่าผิงอวี้จะสงสัยเรื่องที่เกิดกับพ่อบ้านโจว
เขารีบนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ พ่อบ้านโจวตายอย่างฉับพลัน คำพูดที่จะเผยออกไปยังไม่ทันได้เอ่ยสักคำ คงไม่ได้เผยพิรุธอะไรออกไปกระมัง
แต่ว่า…ถ้าคนผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆ คนที่ลงมือจะเป็นใครไปได้เล่า
เขากวาดตามองคนที่อยู่ในลานเรือนอย่างรวดเร็ว สายตามองไปยังเรือนร่างสาวงามข้างๆ ผู้มีเรือนผมดำขลับและดวงตาเจิดจ้าอย่างอดไม่ได้ เพียงชั่วครู่ก็แอบนึกกับตนเองว่าคิดมากเกินไป นางเป็นสาวน้อยบอบบางอ่อนแอออกปานนี้ ต่อให้ใจกล้าบ้าบิ่นสักเพียงใดก็คงไม่กล้าฆ่าคนแน่
ฟู่หลันหยามองดูผิงอวี้เดินเข้ามาหาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นทันที “ใต้เท้าผิง แม้คดีของบิดาและพี่ชายข้ากำลังไต่สวนอยู่ แต่ยังไม่ได้ตั้งข้อหาออกมาเป็นที่แน่ชัด ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ หากยังไม่ได้ตั้งข้อหา พวกท่านก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำการหยามหมิ่นใดๆ ต่อบุตรและภรรยาของขุนนาง นี่เป็นข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง เมื่อครู่ตอนที่พ่อบ้านของข้าตายกะทันหัน ในลานเรือนมีคนของท่านอยู่ด้วยไม่น้อย ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นผู้ต้องสงสัย เหตุใดท่านไม่ตรวจค้นตัวผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านก่อนเล่า ไฉนจะลงมือตรวจค้นพวกข้าซึ่งเป็นเพียงสตรีที่ไร้อาวุธในมือ”
ผิงอวี้ได้ฟังคำพูดอันเฉียบแหลมของนางก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ไม่เสียทีที่เป็นบุตรีของฟู่ปิง รู้จักพูดจาฉะฉานไม่ต่างจากบิดาของเจ้าเลย แต่สำหรับองครักษ์เสื้อแพรอย่างข้า ไม่ว่ากระทำการสิ่งใดก็จะทูลรายงานต่อฮ่องเต้ผู้เดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดจากับผู้อื่นให้มากความ จำเป็นต้องอธิบายให้คุณหนูฟู่ฟังด้วยหรือ”
แม่นมหลินอ้อนวอนอยู่ข้างๆ ทั้งน้ำตา “ใต้เท้า คุณหนูบ้านบ่าวยังมิได้ออกเรือน ไฉนจะปล่อยให้ชายหนุ่มมาแตะต้องตรวจค้นตามเนื้อตัวได้ นางรู้หนังสือและยึดถือจรรยา หากคิดไม่ตกจนตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพราะเรื่องนี้ ใต้เท้าคงไม่อาจหาคำอธิบายดีๆ ให้กับทางราชสำนักได้”
ผิงอวี้จับจ้องเพียงฟู่หลันหยา “ดูท่าแล้วแม่นมผู้นี้ของเจ้ายังไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมขององครักษ์เสื้อแพรอย่างแจ่มแจ้งเท่าใดนัก ขอเพียงตกมาอยู่ในกำมือพวกเรา แค่จะมีชีวิตรอดนั้นก็ไม่ง่ายแล้ว ต่อให้อยากตายก็เกรงว่าจะยากยิ่งกว่า ตราบใดที่ข้าไม่อนุญาต คุณหนูบ้านเจ้าถึงอยากตายก็ตายไม่ได้ คุณหนูฟู่เป็นคนฉลาดคงไม่ต้องพูดให้มากความ หากยังทำตัวยุ่งยากอีก ข้าจะไม่เกรงใจว่าต้องตรวจค้นตัวเจ้าต่อหน้าผู้คนแล้ว”
แม่นมหลินตกใจจนต้องเงียบปาก กลัวว่าผิงอวี้จะทำให้คุณหนูต้องอับอายต่อหน้าผู้คน สีหน้าจึงหวาดหวั่น ได้แต่กลั้นน้ำตาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
ฟู่หลันหยาสู้สายตากับผิงอวี้อยู่เงียบๆ ดวงตาที่สงบนิ่งราวกับบึงน้ำเยือกเย็นของนางค่อยๆ วาวโรจน์ราวกับมีประกายไฟเล็กๆ ปะทุขึ้นสองดวง
ผิงอวี้มองดูนางอย่างเฉยชา ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดฟู่หลันหยาก็เข้าใจว่าตนเองไม่มีอะไรไปต่อรองเขาได้ จึงหันหลังแล้วเดินไปยังห้องด้านข้างที่ใช้ในการตรวจค้น
หวังซื่อเจาได้แต่มองดูผิงอวี้เอามือไพล่หลังแล้วเดินตามฟู่หลันหยาเข้าไปในห้อง ในใจกรุ่นไปด้วยความเดือดดาล ได้แต่หวังว่าโรคไม่ชอบเข้าใกล้สตรีของผิงอวี้จะไม่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยารักษา เพราะหากสาวงามที่หาได้ยากยิ่งอย่างฟู่หลันหยาตกเป็นของผิงอวี้ไปเสียก่อน เขามินับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ