น้ำเสียงเขาแม้จะเรียบเรื่อยแต่แฝงด้วยท่าทีดูแคลนอันแสนเย็นชา แม่นมหลินได้ยินแล้วก็หน้าชา เหลือบมองฟู่หลันหยาด้วยความเป็นห่วง กลัวก็แต่คุณหนูจะทนการหยามหยันเช่นนี้ไม่ได้จนหลุดปากแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา
ทว่าผิดคาด ฟู่หลันหยากลับไม่โกรธสักนิด เพียงย้ายสายตาไปจ้องตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ แสงเปลวไฟวูบไหวสะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับของนาง ชั่วครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ใต้เท้าผิงพูดได้ถูกต้อง ข้าก็แค่บุตรีของขุนนางต้องโทษ ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะชี้แนะได้ว่าท่านควรทำงานอย่างไร แต่ใต้เท้าผิงอย่าลืม ถ้าข้ากับบ่าวเกิดพลาดท่าให้คนร้ายขึ้นมาจริงๆ เรื่องที่ท่านอยากรู้ เกรงว่า…คงไม่อาจได้รู้ไปตลอดกาล”
พอพูดเช่นนี้ แววตาผิงอวี้ก็วูบไหวอย่างที่ยากจะได้เห็น เพียงชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็ยิ้มหยันเอ่ยว่า “คุณหนูฟู่สำคัญตัวมากไปกระมัง ข้าไม่มีอะไรที่สนใจในตัวพวกเจ้านายบ่าวเลยแม้แต่น้อย”
ฟู่หลันหยาถอนหายใจเบาๆ แต่สายตากลับไพล่มองไปที่รองเท้าสีดำของผิงอวี้ “ใต้เท้าผิง ถ้าข้าดูไม่ผิด รองเท้าของท่านเปื้อนกลีบดอกจินเชวี่ยมากระมัง”
ผิงอวี้เหลือบมองรองเท้าตนเอง ในดวงตาคล้ายมีประกายวาบขึ้นมา
แต่เพียงชั่วครู่เดียวเขาก็เข้าใจความนัยที่แฝงในคำพูดของฟู่หลันหยา จึงมองดูนางด้วยความประหลาดใจยิ่ง หญิงผู้นี้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีความเฉลียวฉลาดลึกล้ำอย่างแท้จริง ยังรับมือยากกว่าชายหลายคนที่ข้าเคยพบเจอมาไม่น้อย
ฟู่หลันหยามองดูผิงอวี้อย่างเปิดเผย “ดอกจินเชวี่ยใช้ทำยาได้ ซ้ำยังมีรสหวานอร่อย ชาวบ้านพื้นถิ่นมักนำมาใช้ทำอาหาร บัดนี้มีคนเร่ร่อนเพ่นพ่านไปทั่วอวิ๋นหนาน ดอกจินเชวี่ยตามรายทางมากกว่าครึ่งคงถูกเก็บไปจนหมดแล้ว มีเพียงในป่าเขาที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยจึงจะพอพบเห็นได้บ้าง ตอนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเวลาย่ำค่ำ ข้าได้ประเมินจากสภาพที่ได้เห็นรอบๆ ตอนที่มาถึงแล้ว ถ้าข้าจำไม่ผิดรอบโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่มีต้นไม้ หรืออาจบอกได้ว่าที่ใต้เท้าผิงไล่ตาม ‘คนเร่ร่อน’ ที่มาปองร้ายเมื่อครู่นี้ คาดไม่ถึงว่าจะติดตามอย่างไม่ลดละจนเข้าไปในป่าเลยทีเดียว”
พูดถึงตรงนี้ มุมปากของนางก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น “ใต้เท้าผิง ถ้าเป็นไปตามที่ท่านเล่ามา หากท่านไม่ใส่ใจสักนิดว่าพวกเราสองคนนายบ่าวจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร แล้วจะไล่ตามอย่างกัดไม่ปล่อยเช่นนี้เชียวหรือ”
ผิงอวี้มีท่าทีตกใจอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นปกติ ได้ฟังแล้วก็ไม่แม้แต่เลิกคิ้ว เพียงแค่หัวเราะพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางคร้านๆ มองดูฟู่หลันหยาแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูฟู่พูดผิดแล้ว ข้าเป็นคนทะนงตน โจรที่ถึงกับกล้ามาท้าทายองครักษ์เสื้อแพรเช่นนี้ ข้าไม่เคยปล่อยให้รอดตัวไปง่ายๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้านายบ่าวเลยแม้แต่น้อยจริงๆ”
“จริงหรือ” เรียวคิ้วงามของฟู่หลันหยาเลิกขึ้นน้อยๆ “หรือที่ใต้เท้าผิงเลือกจะยุติการสืบสวนเรื่องการตายอย่างกะทันหันของพ่อบ้านโจวไปอย่างลวกๆ นั้น เพราะมีเหตุผลเช่นนี้เอง”
นางรู้ชัดว่าคืนนั้นผิงอวี้คาดเดาวิธีการวางยาพิษของนางได้แล้วแท้ๆ แต่กลับยอมปล่อยให้นางรอดตัวไปได้ คงมิใช่ทำไปด้วยจิตใจอันดีงาม เห็นได้ชัดว่าเขามีแผนการอื่น
บัดนี้ศพของพ่อบ้านโจวถูกเคลื่อนไปยังที่ว่าการเมืองชวีจิ้งแล้ว ส่วนผงยาพิษจากซอกเล็บของนางก็สาบสูญไร้ร่องรอย เรียกได้ว่าตายอย่างไร้หลักฐาน ต่อให้ผิงอวี้อยากจะสืบสาวราวเรื่องนางก็ไม่หวั่นว่าเขาจะพลิกคดีเก่าขึ้นมาสืบใหม่ได้อีก
ด้วยเหตุนี้ การที่นางพูดขึ้นมาในตอนนี้ก็เพราะพอคาดเดาได้แล้วว่าผิงอวี้น่าจะรู้ตัวของผู้อยู่เบื้องหลังการซื้อตัวพ่อบ้านโจว กระทั่งอาจเป็นเพราะเหตุนี้เองจึงคิดแผนการใช้นางกับแม่นมหลินเป็นเหยื่อล่อ
ผิงอวี้ได้ฟังแล้วก็นิ่งมองฟู่หลันหยาเงียบๆ มีประกายบางอย่างที่ไม่ชัดเจนกำลังวูบไหวในแววตา
ที่นางพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด คืนนั้นหลังจากที่เขาคาดเดาได้ว่าหวังหลิงส่งคนมาซื้อตัวพ่อบ้านโจว ก็คิดว่าจะยอมปล่อยให้ฟู่หลันหยารอดตัวไป เพราะหากเทียบกันแล้วเขาย่อมสนใจเรื่องซับซ้อนเบื้องหลังการซื้อตัวพ่อบ้านโจวของหวังหลิงมากกว่าการมุ่งเล่นงานบุตรีของขุนนางต้องโทษ