ฟู่หลันหยายังจับจ้องที่ผิงอวี้ เห็นว่าแม้เขาจะไม่ตอบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าโอนอ่อนลงมาก นางจึงยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าผิงเป็นคนฉลาด ข้าขอพูดเพียงเท่านี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราสองนายบ่าวไม่รบกวนการพักผ่อนของใต้เท้าผิง ขอลาไปก่อน”
พูดจบก็ลุกขึ้นหันไปมองแม่นมหลินแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปที่ประตู
ขณะกำลังจะเปิดประตู จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงผิงอวี้พูดขึ้นว่า “คนที่ลอบทำร้ายเจ้าเมื่อครู่นี้มีทักษะการใช้อาวุธลับร้ายกาจนัก เจ้ากลับห้องพักเวลานี้ หากเขาย้อนกลับมา ต่อให้ข้านึกอยากจะคุ้มกันเจ้าเพียงไร ก็เกรงว่าจะไม่อาจทำได้…”
ใบหน้าแม่นมหลินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จริงสิ คนประหลาดเมื่อครู่นี้ฝีมือร้ายกาจนัก หากย้อนกลับมา พวกข้าสองนายบ่าวคงไม่โชคดีอีก มากกว่าครึ่งคงต้องถูกคนผู้นั้นทำร้ายแน่
“เรื่องมาถึงขั้นนี้คงต้องยอมให้พวกเจ้าอยู่ร่วมห้องกระมัง” ผิงอวี้เบนสายตาไปจากฟู่หลันหยา ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “แน่นอน ถ้าคุณหนูฟู่เกี่ยงว่าตนเองมีฐานะสูงส่ง รักหน้าจนยอมตายแต่ไม่ยอมให้ชื่อเสียงต้องแปดเปื้อน ก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน”
แม่นมหลินอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ พอได้สติก็หันไปมองฟู่หลันหยาทันที หากเป็นยามปกติมีหรือที่นางจะยอมให้บุรุษใดหาญกล้ามากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้าคุณหนู แต่วันนี้ต่างจากวันวาน คนประหลาดที่ได้พบก่อนหน้านี้ช่างน่ากลัวนัก นางจะยอมให้อีกฝ่ายเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกครั้งได้หรือ
เห็นฟู่หลันหยาไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง แม่นมหลินก็แอบจับมือฟู่หลันหยา แล้วกระซิบเบาๆ ทั้งสงสารทั้งทำอะไรไม่ถูก “คุณ…คุณหนู ตอนนี้ เอาชีวิตให้รอดก่อนเป็นเรื่องสำคัญกว่านะเจ้าคะ”
ขณะสองนายบ่าวกำลังจะล้มตัวลงนอนบนเตียงซึ่งเดิมผิงอวี้ใช้นอน ผิงอวี้ก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ
เขาอาบน้ำเร็วมาก ไม่สนใจว่าน้ำถูกนำมาเติมไว้ในห้องอาบน้ำนานจนเย็นเฉียบแล้วสักนิด เพียงรีบอาบน้ำเร็วๆ สักพักก็เสร็จเรียบร้อย ตอนที่เดินออกมา สายลมราตรีพัดพากลิ่นเจ้าเจี่ยว* หอมสดชื่นออกมาวูบหนึ่ง
ม่านรอบเตียงถูกปลดลงแต่แรกแล้ว แม่นมหลินนอนอยู่ริมนอก คอยระวังป้องกันฟู่หลันหยาเป็นอย่างดีโดยให้นอนริมด้านใน พอได้ยินเสียงห้องอาบน้ำเปิดออกก็รีบหลับตาลง เงี่ยหูฟังเสียงผิงอวี้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยความหวาดหวั่น
ห่างออกไปเพียงม่านกั้นผิงอวี้ก็เดินมายืนตรงพื้นหน้าเตียง ก่อนนอนลงบนผ้านวมผืนหนาที่ปูไว้เรียบร้อยแล้วแต่แรกโดยไม่พูดอะไร พอล้มตัวลงนอนเรียบร้อย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดีดนิ้ว ตามมาด้วยเสียงฟ้าว คล้ายมีของสิ่งหนึ่งพุ่งตรงออกไปชนเปลวไฟตะเกียงน้ำมันจนดับ
ห้องตกอยู่ในความมืดทันที
ฟู่หลันหยานอนเงียบๆ ได้ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าร่างของแม่นมหลินเกร็งเขม็ง คว้าจับมือของนางไว้ ก็รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายนึกระแวงผิงอวี้ นางจึงได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ ลำบากอะไรเช่นนี้ ในเมื่อร้องขอให้ผิงอวี้คุ้มกันแล้ว ยังต้องระแวงถึงขั้นนี้ไปไย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเห็นได้ชัดว่าผิงอวี้ไม่มีความคิดเช่นนั้น ต่อให้เกิดความคิดขึ้นมา ด้วยฝีมือของเขาแล้ว เพียงแค่ม่านที่กางกั้นจะไปป้องกันอะไรได้
นางจึงเป็นฝ่ายจับมือแม่นมหลินไว้แทน แล้วกระซิบปลอบว่า “แม่นม หลับเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีก”
แม่นมหลินได้ยินเสียงอันเรียบนิ่งของฟู่หลันหยาก็ค่อยสงบลงได้ นางขานรับเบาๆ อย่างลังเล ในที่สุดร่างที่เกร็งมาตลอดดุจสายธนูที่ขึงตึงก็ผ่อนคลายลง
แมลงนอกหน้าต่างร้องระงม แสงจันทร์สาดส่องลงบนพื้นตรงหน้าต่างดุจประกายของเกล็ดหิมะ
ผิงอวี้ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยบนเตียง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอากาศในห้องน่าอึดอัดจนรู้สึกหายใจไม่ออก เขาจึงพลิกตัวหันหลังให้เตียงทันที ค่อยรู้สึกว่าหายใจหายคอได้คล่องขึ้นสักหน่อย
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.