ผิงอวี้ฝึกยุทธ์มานานปี การมองเห็นยามค่ำคืนจึงดีกว่าฟู่หลันหยาไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด ย่อมเห็นนานแล้วว่ามีงูประหลาดนับไม่ถ้วนกำลังคืบคลานอย่างน่าสยดสยองเข้ามาใกล้คนทั้งสอง หัวงูเลื้อยพันเกี่ยวกระหวัดอย่างสับสน น่ากลัวว่าจะมากันเป็นร้อยตัว ไม่ช้าก็เลื้อยเข้ามาโอบล้อมเขากับฟู่หลันหยาไว้ตรงกลาง
เขามองเข้าไปในดงไม้ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม งูฝูงนี้ตัวสีเขียวเข้ม สองตาวาวโรจน์ดุจคบไฟ ดูก็รู้ว่าเป็นงูเขียวหางไหม้ท้องเหลืองที่มีพิษร้ายแรง ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในดงไม้มีความเป็นมาเช่นไรจึงสามารถเรียกงูพิษทั้งฝูงมาได้ในชั่วอึดใจเดียวเช่นนี้
ว่ากันจากจำนวนของงูแล้ว คิดจะเล่นงานชาวยุทธ์อันดับหนึ่งนับสิบคนก็เรียกได้ว่าเกินพอ หากพวกเขายังอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่ต่างกับรอความตาย
“หนี!” ผิงอวี้เงื้อดาบขึ้นฟันงูตัวหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ด้านหน้าจนขาดเป็นสองท่อน แล้วหันไปตะคอกสั่งฟู่หลันหยา ลำธารด้านหลังนางกว้างเพียงแค่ไม่กี่ฉื่อตอนนี้อีกฝั่งไม่มีงู ขอเพียงลุยน้ำข้ามไปได้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหนีงูทั้งฝูงไม่พ้น
ชั่วชีวิตของฟู่หลันหยา สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือสัตว์จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ไหนเลยจะกล้ารอช้า นางที่มีสีหน้าซีดขาวรีบตะกายลุกขึ้นจากพื้น
แต่เพิ่งจะก้าวเดินนางก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนร้องคราง ก่อนทรุดฮวบลงกับพื้น
ผิงอวี้ได้ยินเสียงล้มทางด้านหลัง ฉับพลันก็ฉุนเฉียวอย่างมาก ตะคอกอย่างขุ่นเคือง “มัวอืดอาดชักช้าอะไรอีก! รีบหนีเร็ว!” ขณะที่พูดก็เงื้อดาบฟันฉับฆ่างูที่เกือบจะฉกโดนบั้นเอวเขาอีกหลายตัว
ฟู่หลันหยากัดฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้น รีบวิ่งออกไปสองก้าวอย่างสุดกำลัง นางรู้สึกเจ็บปวดจนต้องสูดหายใจเฮือก พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล พูดเสียงสั่นว่า “ข้าข้อเท้าแพลงเสียแล้ว”
ผิงอวี้ถึงกับพูดไม่ออก เหลือบเห็นเงาดำมะเมื่อมอีกสายพุ่งปราดมาถึงข้างกาย เห็นกับตาว่ากำลังจะกัดเข้าที่แขนฟู่หลันหยาอยู่แล้ว
ฟู่หลันหยาตกใจจนหวีดร้องเบาๆ พลางรีบกระถดหนี แต่งูตัวนั้นว่องไวมาก แทบไม่อาจหลบหลีกมันได้เลย
จังหวะนั้นเอง จู่ๆ ก็เห็นประกายดาบวาบขึ้น ดาบนั้นคมปลาบยิ่ง ฟันฉับตัดร่างงูจนขาดเป็นสองท่อนทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากแขนฟู่หลันหยาเพียงไม่กี่ชุ่นเท่านั้น
จากนั้นฟู่หลันหยาก็รู้สึกร่างเบาหวิว มือแข็งแรงข้างหนึ่งฉุดตัวฟู่หลันหยาขึ้นจากพื้น ไม่ทันรอให้นางได้รู้เนื้อรู้ตัว ผิงอวี้ก็แบกนางขึ้นหลังเขา แล้วกระโดดข้ามลำธารโดยไม่พูดอะไรสักคำ มุ่งหน้าลุยน้ำไปยังอีกฝั่ง
ฟู่หลันหยาตกใจจนขวัญกระเจิง ยังคงได้ยินเสียงงูขู่ฟ่อๆ จากทางด้านหลัง ไม่รู้ว่าคนที่เรียกงูมานั้นใช้วิธีการใดจึงทำให้งูทั้งฝูงข้ามน้ำมาได้ แล้วเลื้อยไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
นางกลัวว่าจะถูกงูฉกที่หลัง จึงกอดรัดผิงอวี้ไว้แน่นสุดชีวิตจนร่างแนบชิดกับตัวเขาอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ขณะวิ่งหนีเตลิดอย่างชุลมุนนั้นเอง เสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านหลังก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ หัวใจของนางที่แขวนค้างกลางอากาศตลอดเวลาในที่สุดก็กลับมาเป็นปกติ แต่ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือร่างของผิงอวี้กลับเขม็งเกร็งขึ้นทุกที
ขณะกำลังนึกสงสัยอยู่นั่นเอง จู่ๆ ฟู่หลันหยาก็รู้สึกเย็นๆ ที่แขน นางมองด้วยความตกใจเล็กน้อย เห็นมีเหงื่อไหลลงมาจากขมับของผิงอวี้ เหงื่อเม็ดเป้งเท่าเม็ดถั่วไหลโกรกลงมาตามด้านข้างใบหน้าที่ซีดขาวเป็นทาง
ฟู่หลันหยาคิดว่าผิงอวี้คงจะเหนื่อยมากแล้ว พอเห็นว่าฝูงงูไล่ตามมาไม่ทัน นางก็คิดจะลงจากหลังของเขา ใครเลยจะรู้ เพียงแค่นางขยับตัวผิงอวี้ก็กัดฟันกระซิบบอกว่า “เจ้าอย่าขยับตัวได้หรือไม่”
นางเห็นว่าน้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีก็พูดไม่ค่อยออก “ข้าคิดว่า…”
“เจ้าคิดว่าอะไร” เขาตัดบทนางเสียงเฉียบ นางสวมใส่เพียงชุดนอนบางๆ เท่านั้น แขนที่เปลือยเปล่าโอบรอบลำคอเขาไว้แน่น ผิวพรรณหอมสดชื่นไร้กลิ่นเหงื่อ ยามที่นางพูด ลมหายใจหอมกรุ่นดุจดอกกล้วยไม้บางเบาก็รดไปมาที่ใบหูเขาราวกับขนนกอ่อนนุ่ม จนทำให้ผิงอวี้ลำคอตีบตันคล้ายมีรสขมปร่า เรือนร่างนางอ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก เขากำลังกอบกุมเรียวน่องบอบบางไว้กับมือ ต่อให้มีเสื้อผ้าบางๆ กั้นไว้ก็ยังรู้สึกร้อนลวก ที่แย่ที่สุดก็คือเส้นผมนางที่ทั้งสยายยาวทั้งเรียบลื่นก็เอาแต่ไล้ไปมาอยู่ตรงซอกคอจนรู้สึกเหมือนมีใบหลิวปัดป่ายไปมา ชวนให้รู้สึกเสียวซ่านอย่างบอกไม่ถูก
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.