“แม่นมวางใจเถิด ตอนนี้ถึงคราวที่ข้าจะได้สร้างความดีความชอบเป็นเกียรติยศแก่บรรพบุรุษสกุลซูแล้ว เรื่องไร้สาระอย่างความรักระหว่างชายหญิงน่ะ ข้าไม่สนใจหรอก” นางโบกมืออย่างองอาจ
“คุณหนูมีปณิธานแรงกล้า บ่าวฟังแล้วควรยินดีมากถึงจะถูก แต่เหตุใดตอนนี้บ่าวถึงยินดีไม่ออกแม้แต่นิดเดียวกันนะ” ป้าอาฮวายิ้มขื่น
“แม่นมดีใจแทนข้าจนอึ้งไปเลยกระมัง” ซูเสี่ยวเตาหัวเราะหึๆ
“แต่บ่าวรู้สึกเหมือนมีของเหลวคาวๆ กระอักขึ้นมาในลำคอ” ฝ่ายตรงข้ามพยายามสื่อเป็นนัย
“นั่นคืออาการเลือดลมฉีดพล่านอย่างไรเล่า ข้าเคยเป็น ข้าเข้าใจๆ” นางตบไหล่แม่นมเบาๆ อย่างอารมณ์ดี “อันที่จริงตอนแม่ทัพใหญ่ตกปากอนุญาต ข้าก็รู้สึกตีบตันในลำคอ ร้อนผ่าวในอก ทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ข้าถึงกับมือสั่นเชียวล่ะ”
“น่ากลัวว่า…ของบ่าวจะเป็นคนละอาการกัน” ป้าอาฮวาอยากร้องไห้ออกมาจากใจจริง
คุณหนูเจ้าขา ต้องให้อธิบายให้ท่านฟังชัดๆ ทีละคำ ท่านถึงจะเข้าใจหรือไรกันนะ
“ท่านพ่อใกล้กลับมาแล้วกระมัง เดี๋ยวข้าจะบอกข่าวดีให้ฟังด้วยตนเองเลย อ๊ะ ไม่รู้ว่าเปิดห้องบูชาป้ายวิญญาณตอนกลางคืนจะเป็นการรบกวนบรรพชนหรือไม่ แต่ข้ารอจนถึงปีใหม่หรือวันชิงหมิง* ไม่ไหวหรอก ข้าอยากให้บรรพชนสกุลซูกับท่านแม่รู้ว่าข้าสร้างความภาคภูมิใจให้วงศ์ตระกูลเดี๋ยวนี้เลย หึๆ”
เด็กสาวเอาแต่วางแผนอย่างตื่นเต้นว่าจะบอกบรรพชนอย่างไรดี ไม่ได้ล่วงรู้ถึงความทุกข์ระทมขมขื่นใจของแม่นมแม้แต่นิดเดียว
ป้าอาฮวาเห็นว่าอาศัย ‘วรยุทธ์’ ของตนเองในตอนนี้คงห้ามคุณหนูที่กำลังเลือดร้อนไม่ได้แน่ โชคดีว่าหลังจากที่กับข้าวจานผักสองอย่าง จานเนื้อสองอย่าง พร้อมด้วยน้ำแกงไก่ขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นายท่านก็กลับมาพอดี
“สวรรค์มีตา…” พอเห็นร่างสูงใหญ่กำยำของซูเถี่ยโถวเดินฝ่าความมืดมาแต่ไกล หญิงสูงวัยก็อยากจะร่ำไห้ออกมาดังๆ
นายท่านในตอนนี้เป็นเหมือนผู้กล้าไร้เทียมทานทีขี่เมฆเจ็ดสีในตำนานไม่มีผิด ฮือๆ
“อาฮวา เป็นอะไรไปหรือ” ซูเถี่ยโถวเพิ่งจะก้าวเข้าบ้านก็ตกใจจนสะดุ้งเมื่อป้าอาฮวาถลาเข้ามาหา “จะ…เจ้าผีเข้าหรือไร”
“นายท่าน รีบห้ามคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ในค่าย” ระหว่างร้องห่มร้องไห้ แม่นมก็ไม่ลืมที่จะเน้นเสียงคำว่า ‘ทหารคนสนิท’ เป็นพิเศษ
คุณหนูของนาง คุณหนูที่นางเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงอย่างระมัดระวังมาจนเติบใหญ่จะไปเป็นทหาร ซ้ำยังเป็นทหารคนสนิทที่ต้องคอยรับใช้แม่ทัพใหญ่อยู่ในค่าย ป้าอาฮวารู้สึกราวกับหัวใจจะแตกสลายเสียให้ได้
“อะไรนะ!” ซูเถี่ยโถวเหมือนโดนฟ้าผ่าเมื่อได้ยิน หัวสมองว่างเปล่า หน้ามืดตาพร่า
ลูกสาวของเขา ลูกสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงอย่างระมัดระวังมาจนเติบใหญ่จะไปเป็นทหารคนสะ…เสียงบึ้มดังขึ้น ความเป็นเหตุเป็นผลในสมองซูเถี่ยโถวระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที!
“ท่านพ่อ!” ซูเสี่ยวเตาที่ชะโงกหน้าอยู่ตรงประตูส่งยิ้มประจบเอาใจมาให้ “หิวแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นก็กินให้อิ่มก่อน จากนั้นค่อยนั่งคุยกัน”
“ลูกสาวสุดที่รักที่แสนน่าสงสารของพ่อ พ่อรู้อยู่แล้วเชียวว่าพวกคุณชายจากเมืองหลวงไม่มีดีเลยสักคน มีแต่พวกหัวขโมยใจคดไร้ความเป็นคนทั้งนั้น! ถึงกับกล้าหมายตาความงามของลูกสาวสุดที่รักของพ่อแล้วเอื้อมเงื้อมมือมารของมันมาหา!” ใบหน้าหยาบกร้านที่ตากแดดจนดำคล้ำของซูเถี่ยโถวถมึงทึงน่ากลัว ขณะแผดเสียงลั่นราวกับฟ้าผ่า “ต่อให้มันเป็นแม่ทัพใหญ่ เป็นซื่อจื่อ* มีคุณงามความดีอย่างไม่มีใครเทียบได้ก็ช่าง หากแตะต้องลูกสาวข้าแม้เพียงปลายผม มันก็เท่ากับเป็นศัตรูคู่แค้นที่ฆ่าพ่อ! ข้าจะสับมันให้เละ จากนั้นค่อยปาดคอตนเองไถ่โทษ!”
“ท่านพ่อ ท่านสงบสติอารมณ์ก่อนนะ” ซูเสี่ยวเตาเข้ามากอดแขนบิดาไว้แล้วพยายามดึงให้ได้สติ โมโหก็โมโห ขันก็ขัน “ใครบอกท่านว่าแม่ทัพใหญ่หมายตาความงามของข้ากัน ตัวเขาเองหน้าตาเช่นนั้น ยังมีสตรีคนใดงดงามสู้ได้ด้วยหรือ ยิ่งเป็นข้ายิ่งแล้วใหญ่”