นางพูดตามจริง หากแม่ทัพหร่วนผู้งดงามจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ทาแป้งนิดแต้มชาดหน่อย แล้วแต่งกายสวยสดมายืนอยู่ข้างนาง รับรองว่าไม่มีใครชายตามองนางหรอก
ประโยคนั้นช่วยดึงคนที่กำลังขาดสติกลับมาและดับเพลิงโทสะเร่าร้อนลงทันที ซูเถี่ยโถวชะงักไปเป็นอันดับแรกก่อนจะอึ้งอยู่สักพัก ความเดือดดาลที่อัดแน่นอยู่ในหัวค่อยๆ มลายหาย กลับมามีสติอีกครั้ง
จริงด้วย!
“แล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรกัน” เขายิ้มเก้อๆ แต่ก็รู้จักคิดแล้วว่าควรถามต้นสายปลายเหตุให้ชัดเจนก่อนค่อยอาละวาด
“นายท่าน เรื่องนี้…”
“แม่นม ขอข้าพูดกับท่านพ่อเอง” ซูเสี่ยวเตานวดหัวคิ้ว อยู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าตนเองเป็นคนคิดอ่านสุขุมทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบ้านแล้ว ลำบากเหลือเกินจริงๆ เฮ้อ…
ป้าอาฮวาทำได้แค่กลั้นน้ำตาพลางจ้องนายท่านเขม็ง ภาวนาขออย่าให้อีกฝ่ายใจอ่อนจนปล่อยให้คุณหนูพลาดพลั้งแล้วต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
“กินข้าวกันก่อนดีหรือไม่” ผู้ใหญ่สองคนไม่หิว แต่นางหิวจะแย่แล้ว
“ได้ๆ ในเมื่อลูกสาวสุดที่รักของพ่อหิวแล้ว พวกเราก็ไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน” ซูเถี่ยโถวฟังลูกสาวถามก็สงสาร ไม่สนใจจะมาซักไซ้อีกแล้วว่าใครเป็นคนฆ่า…แค่กๆ…เอาเป็นว่าเขารีบจูงมือลูกสาวสุดที่รักเข้าไปนั่งกินข้าวข้างในโดยไม่รอช้า
จวบจนซูเสี่ยวเตาซัดข้าวสวยไปสองชามโต กับข้าวจานเนื้อกับจานผักอย่างละจาน รวมทั้งน้ำแกงไก่อีกครึ่งโถ แล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างอิ่มเอมพลางลูบท้องที่นูนขึ้นนิดๆ ของตนเอง นางก็หันไปเล่า ‘วีรกรรมสำคัญ’ เมื่อตอนกลางวันวันนี้ให้ผู้เป็นพ่อฟังด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น
“…จากนั้นก็เป็นเช่นนี้ล่ะ ข้าเอาชนะแม่ทัพใหญ่ได้ แม่ทัพใหญ่เลยอนุญาตให้ข้าเข้าร่วมกองทัพ” สองตากลมโตเป็นประกาย สีหน้าตื่นเต้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘ท่านพ่อ ข้าเก่งใช่หรือไม่ ท่านพ่อรีบชมข้าเร็วสิ’
ซูเถี่ยโถวรู้สึกสับสนอยู่ในใจ ทั้งภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ และเป็นกังวลไปพร้อมกัน แม้อยากเอ่ยชมนางให้เลิศลอย แต่หัวใจนั้นร่ำร่ำอยากพาลูกสาวสุดที่รักไปขังไว้ในห้องจวบจนถึงวันที่นางแต่งงานค่อยปล่อยตัวออกมา
เฮ้อ…เขาคิดผิดหรือไม่นะที่สอนวรยุทธ์นางตั้งแต่แรก
“ท่านพ่อ?” ขนาดคนโผงผางอย่างซูเสี่ยวเตายังสัมผัสได้เลาๆ ว่าบิดาตนอารมณ์ไม่แจ่มใสนัก “ท่าน…ไม่ดีใจหรือ”
“แค่กๆ” ซูเถี่ยโถวยกมือใหญ่หนาขึ้นลูบหน้า แล้วเอ่ยอย่างหนักใจ “ลูกพ่อ ถ้าพ่อ…บอกเจ้าว่าพรุ่งนี้อย่าไปที่ค่าย เจ้าจะโกรธพ่อหรือไม่”
เด็กสาวลนลานขึ้นมาทันทีพร้อมทำท่าจะแย้ง แต่พอเห็นหยาดน้ำรื้นอยู่ในดวงตาพยัคฆ์ของผู้เป็นพ่อ ความรู้สึกผิดก็ทะลักขึ้นในใจ
“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า ไม่อยากให้ข้าออกรบ กลัวข้าจะได้รับบาดเจ็บ กลัวข้าจะมีอันเป็นไป…” นางกล่าวด้วยเสียงหวานนุ่มนวลอ่อนโยนพลางเข้าไปสวมกอดบิดาเอาไว้ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเคารพรักที่บุตรสาวมีต่อบุพการี
“ก็ใช่น่ะสิ…” แค่พูดก็ปวดใจ น้ำตาลูกผู้ชายแทบไหลออกมาอยู่รอมร่อ
“ท่านพ่ออย่าร้องไห้นะ” เด็กสาวรีบปลอบ “ข้าคิดมาแล้ว ตอนนี้แผ่นดินสุขสงบไร้ความวุ่นวาย ข้าก็แค่เป็นทหารรับการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเองและสร้างผลงาน หากวันใดสงครามอุบัติขึ้นมา ข้าเองก็กลัวว่าท่านพ่อจะบาดเจ็บหรือมีอันเป็นไปในสนามรบเช่นกัน ดังนั้นการที่กองทัพสกุลหร่วนมีทหารเพิ่มขึ้นหนึ่งคนก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน วันข้างหน้าเมื่อพวกชนเผ่าอี๋ตะวันตกบุกเข้าโจมตี พวกเรามีกองทัพขนาดใหญ่รักษาดินแดน แค่ฉี่กันคนละทีก็ทำให้พวกมันจมน้ำตายได้แล้ว เช่นนี้เรียกว่าเอาจำนวนเข้าข่ม ใช่หรือไม่ๆ”
ตอนแรกบรรยากาศกำลังซึ้งปนเศร้าอยู่เลยแท้ๆ แต่กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะคำพูดปลุกใจของซูเสี่ยวเตา ทำเอาซูเถี่ยโถวปรับอารมณ์แทบไม่ทัน จากที่สะอื้นก็กลายเป็นสำลักด้วยความขบขัน