เด็กสาวร่างเล็กบางสะพายห่อสัมภาระแบกดาบสันหนาหนักอึ้งเดินไกลออกไปทุกที ไม่ว่ามองเมื่อไรก็รู้สึกว่าด้านหลังของนางดูสูงตระหง่านเหลือเกิน
พลทหารสะท้านในใจแล้วพึมพำกับตนเอง “หวังว่าข้างนอกจะยังพอมีสตรีปกติบ้างนะ ข้ายังไม่ได้แต่งเมียเลย!”
ด้านนอกกระโจมแม่ทัพ องครักษ์ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามสองคนหรี่ตาลงเมื่อเห็นนาง แต่พอคิดถึงคำสั่งเมื่อคืนของเจ้านายก็ทำได้แค่แหวกม่านหน้ากระโจมให้นางอย่างจำใจ
“ท่านแม่ทัพใหญ่เพิ่งตื่นเมื่อครู่”
“ขอบคุณพี่ปาจื่อ พี่จิ่วจื่อ” หลังทักทายทั้งสองอย่างร่าเริง เด็กสาวก็ทำท่าจะก้าวเข้าไปในกระโจม
“ช้าก่อน!” ปาจั้นกับเหมิงจิ่วขวางนางไว้อย่างพร้อมเพรียง
“มีอะไรหรือ” นางผงะไปเล็กน้อย
“หากไม่ได้รับคำสั่งจะพกอาวุธเข้าไปในกระโจมแม่ทัพใหญ่ไม่ได้” ปาจั้นยื่นมือใหญ่ออกไปหานาง “ดาบ!”
“แต่แม่ทัพใหญ่บอกว่าข้ารับตำแหน่งขุนนางบู๊ขั้นหกเป็นต้นไปนะ ขุนนางบู๊จะพกดาบติดตัวก็ถูกต้องแล้วนี่” นางไม่เข้าใจเอาเสียเลย “อีกทั้งข้ายังเป็นทหารที่ต้องคอยอารักขาความปลอดภัยให้เขา จะไม่พกอาวุธได้อย่างไรกัน”
“นี่เป็นกฎทหาร”
“ข้าก็กำลังพูดเรื่องกฎทหารกับพวกเจ้าอยู่นี่แหละ” นางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะทำท่าเข้าอกเข้าใจ “ช้าก่อน นี่พวกเจ้าระแวงข้า? คิดว่าข้าจะเอาดาบไปฟันเขาหรือไรกัน มันจะหยามกันมากเกินไปแล้วนะ ซูเสี่ยวเตาคนนี้จะไร้หัวคิดถึงขั้นกล้าบ้าบิ่นใช้ดาบฟันผู้บังคับบัญชาของตนเองเลยหรือ”
หลังจากที่พูดออกมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ปาจั้นกับเหมิงจิ่วยังไม่ทันได้มีท่าทางตอบสนอง ตัวเด็กสาวเองกลับหน้าแดงก่ำ นิ่งเงียบไปอย่างร้อนตัว
เอ่อ…ไม่ฟันอะไรกันเล่า แล้วเมื่อวานเขาถูกฟันจน ‘เลือดออก’ ได้อย่างไร
ระหว่างกำลังกระอักกระอ่วน เสียงทุ้มพร่าก็ดังเนือยๆ ออกมาจากข้างใน “เสี่ยวเตาเข้ามาได้”
“รับทราบ” ซูเสี่ยวเตาลิงโลด แล้วหันไปกระหยิ่มยิ้มย่องแบบผู้ชนะให้ปาจั้นกับเหมิงจิ่วเป็นเชิงว่า ‘เห็นหรือไม่’ ก่อนจะแบกดาบเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี
“ดาบมันหนัก ฝากไว้ที่ปาจั้นก็แล้วกัน” น้ำเสียงเนือยๆ ดังออกมาอีกครา
“ขอรับ!” คราวนี้ปาจั้นกับเหมิงจิ่วเป็นฝ่ายฉีกยิ้มเห็นฟันขาววับพร้อมทำหน้าเหนือกว่าเป็นเชิงถามว่า ‘เห็นหรือไม่’ จากนั้นก็ริบดาบนางโดยไม่พูดอะไรอีก
“…” ใบหน้าเนียนของซูเสี่ยวเตาดำคล้ำลงทันควัน
บุรุษชอบช่วยบุรุษด้วยกันจริงๆ ด้วย มีแต่คนน่าโมโห หึ!
เพราะอารมณ์ไม่ดีเป็นเหตุ แม้จะเดินผ่านประตูกระโจมใหญ่เข้ามาได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่พอเห็น ‘ห้องโถงกระโจมแม่ทัพใหญ่’ อันแสนยิ่งใหญ่ในตำนาน ความตื่นเต้นที่ทำให้เลือดสูบฉีดแรงก็ลดลงไปแล้วเจ็ดส่วน
บนโต๊ะไม้ดำตัวใหญ่มีตำราพิชัยสงครามจำนวนหนึ่ง กระบะทรายสำหรับวางกลยุทธ์ ทวนพู่แดง ชุดเกราะสีเงินเป็นประกายขาวจ้า ‘เครื่องใช้ในการศึกอันเข้มขลัง’ ที่นางวาดฝันว่าจะได้เห็นแต่ไม่เคยเห็นเสียทีล้วนอยู่ที่นี่หมด
“เฮ้อ…” นางมองสิ่งของเหล่านั้นด้วยความรู้สึกซับซ้อนพลางพึมพำกับตนเอง “หากวันใดข้าได้เป็นแม่ทัพใหญ่บ้างแล้วมีเครื่องมือเสริมบารมีเช่นนี้ก็ดีสิ”
แต่แม้จะขัดอกขัดใจอย่างไร เด็กสาวก็ยังไม่ลืมว่าวันนี้ตนเองเข้าร่วมกองทัพอย่างเป็นทางการแล้ว นางหยุดยืนหน้าม่านที่กั้นกระโจมชั้นนอกกับกระโจมชั้นในออกจากกัน ปรับท่ายืนให้ขึงขัง แล้วเอ่ยเสียงดังอย่างห้าวหาญ “ข้าน้อยซูเสี่ยวเตามารายงานตัว!”
“อืม ไปเอาน้ำมาให้ข้าล้างหน้าสักอ่างซิ” เสียงกลั้วหัวเราะทุ้มพร่าที่ดังออกมาจากหลังม่านทรงเสน่ห์เย้ายวนเป็นที่สุด
“หา?” นางอึ้งไป
“การปรนนิบัติผู้บังคับบัญชาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวก็เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของ ‘ทหารคนสนิท’ เช่นกัน”
นี่มันอะไรกันๆ เอาแต่อยู่หลังม่านออกคำสั่งใช้งานคนอื่นเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ เขาคง ‘ว่าราชการหลังม่าน’ จนติดแล้วกระมัง
นางบ่นในใจอยู่สองสามประโยคก่อนจะรับคำสั่งแต่โดยดี “รับทราบ” จากนั้นก็เดินออกไปตักน้ำข้างนอกทันที
แม้ซูเสี่ยวเตาจะเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของสกุลซู แต่นางก็ใช่ว่าจะบอบบางไม่โดนแดดโดนลมไม่ทำงานบ้านแบบคุณหนูทั้งหลาย ดังนั้นพอเดินออกจากกระโจมก็ตรงไปที่บ่อน้ำอย่างคุ้นเคย แล้วตักน้ำเย็นอ่างหนึ่ง ยกกลับเข้ามาในกระโจมอย่างคล่องแคล่ว
“แม่ทัพใหญ่ น้ำมาแล้ว” นางวางอ่างน้ำลงบนชั้นไม้แดง พอเห็นเกลือเม็ดกับผ้าสะอาดที่วางข้างๆ ก็ลังเลเล็กน้อย
เฮ้อ…นี่ข้าต้อง ‘ปรนนิบัติ’ เขาเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงสาวใช้ประจำตัวจริงหรือ
หร่วนชิงเฟิงนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ เรือนผมยาวสีดำปล่อยสยายปรกบ่า ใบหน้างามคมคายฉายแววเกียจคร้านที่แสนเย้ายวนใจ ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมสีขาวไว้หลวมๆ สาบเสื้อประกบกันหมิ่นๆ เผยให้เห็นลำคอเพรียวงามแบบบุรุษ กระดูกไหปลาร้า และแผงอกกำยำแข็งแรง
ภาพยั่วยวนสายตาอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ ‘ลาโง่’ กลับเอาแต่พินิจพิเคราะห์ของไร้ชีวิตอย่างเกลือเม็ดกับผ้าเช็ดหน้าอยู่ได้ ช่างน่าโมโหจริงๆ
รอยยิ้มเนือยๆ แข็งค้างอยู่บนใบหน้าคมคาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นมาหยิบเสื้อคลุมแพรลายริ้วเมฆบนราวแขวนมาสวมอย่างยอมรับสภาพ และเพื่อเป็นการประท้วงความตาไร้แววของอีกฝ่าย เขาจงใจกระชับสาบเสื้อให้มิดชิด ผูกผ้าคาดเอวให้แน่นหนา ชนิดไม่ให้ผิวใต้ร่มผ้าโผล่ออกมาได้แม้แต่นิดเดียว
หึ หร่วนชิงเฟิงคนนี้ก็เป็นสุภาพบุรุษที่เห็นคุณค่าตนเองเหมือนกัน!