“แม่ทัพใหญ่ แผลเมื่อวานไม่เป็นไรมากใช่หรือไม่” ซูเสี่ยวเตาขัดแย้งกับตนเองในใจจนเสร็จ แล้วตัดสินใจประจบผู้บังคับบัญชาด้วยการหยิบเกลือเม็ดส่งไปให้เขาพลางกล่าว “ให้ข้าช่วยดีหรือไม่”
“ช่วยเอาเกลือมาทาแผลข้าหรือ” เขามองเกลือในมือเล็กตาขุ่น แล้วถามประชดเป็นเด็กๆ
นางกลับนึกว่าเขาพูดจริงจึงสูดหายใจเฮือกแล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “แม่ทัพใหญ่รสนิยมรุนแรงเหลือเกิน…แต่จะดีหรือ”
ตอนแรกหร่วนชิงเฟิงยังโกรธจัด พอได้ยินอย่างนี้กลับขันนาง ความฮึดฮัดขัดใจเมื่อครู่มลายหายไปทันทีจนไม่เหลือแม้แต่เงา รอยยิ้มละมุนตากลับมาสู่ใบหน้าคมคายอีกครั้ง
“น้องหญิงไม่ต้องห่วง แผลเมื่อคืนไม่อยู่ในจุดสำคัญ ไม่เป็นไรหรอก” เขากล่าวยิ้มๆ
หัวใจของซูเสี่ยวเตาไหวสะท้านเฮือกหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ นางลูบขนแขนที่ลุกเกรียวเป็นหนังไก่ของตนเองแล้วยิ้มแห้งๆ “แม่ทัพใหญ่ อย่าคอยแต่เรียกข้าว่าน้องหญิงเลย ตอนนี้ข้าเข้าร่วมกองทัพ เป็นขุนนางขั้นหก ซ้ำยังเป็นทหารในสังกัด หากใครได้ยินจะเข้าใจผิดเอาได้”
เขายิ้มโดยไม่เห็นฟันก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่านอกจากแม่ทัพสงบประจิมแล้ว ข้ายังเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดจวนหร่วนโหวอีกด้วย”
“เอ่อ…ก็พอรู้อยู่บ้าง” นางตอบอย่างงงงวย “แต่มันเกี่ยวกับที่เรียกข้าว่าน้องหญิงตรงไหน…”
“คนเราทุกคนไม่ได้มีแค่สถานะเดียวหรอกนะ อย่างข้านี่เป็นทั้งแม่ทัพสงบประจิม แม่ทัพแห่งชายแดนตะวันตก แล้วยังเป็นซื่อจื่อจวนหร่วนโหว เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของท่านพ่อ” เขาก้มหน้ามองเด็กสาว รอยยิ้มในเนตรหงส์ยิ่งลึกล้ำขึ้น “ส่วนน้องหญิงเป็นขุนนางขั้นหก เป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพ เป็นลูกสาวสุดที่รักของพ่อเจ้า แล้วจะไม่เป็นน้องหญิงอย่างที่ข้าเรียกได้อย่างไร”
นางฟังคำพูดวกวนของเขาจนมึนไปหมด แม้จะรู้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ใช่ แต่พอทบทวนตามคำพูดของเขาอย่างจริงจังก็ไม่รู้จะแย้งตรงไหนดี พอถูกถามอย่างนั้นเลยอึ้งไป ได้แต่ยืนงงอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออก
“เอ่อ…ดูเหมือนจะใช่…”
หร่วนชิงเฟิงล้างหน้าบ้วนปากอย่างเนิบนาบจนเสร็จก็แขวนผ้าเช็ดหน้าที่บิดจนหมาดแล้วไว้บนราว ก่อนจะหยิบมีดสั้นส่องประกายสีเงินวาววับเล่มหนึ่งออกจากกล่องหุ้มแพรใบเล็กตรงหน้า แล้วเริ่มโกนไรหนวดขึ้นใหม่ออกไปอย่างไม่เร่งร้อน
“ไม่สิๆ ข้ามาเป็นทหารประจำตัวแม่ทัพใหญ่นี่นา ในเมื่อเข้ามาเป็นทหารในกองทัพก็ควรปฏิบัติต่อกันอย่างเป็นงานเป็นการ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แม่ทัพใหญ่จะต้องเรียกชื่อข้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ห้ามเรียกว่าน้องหญิงเป็นอันขาด!” สมองตรงๆ ทื่อๆ อุตส่าห์คิดจนเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งที นางทำตาเป็นประกาย แล้วรีบแจกแจงให้เขาฟัง
“น้องหญิงฉลาดเฉลียวยิ่งนัก” หลังโกนหนวดเสร็จ หร่วนชิงเฟิงก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดอีกหนึ่งรอบก่อนจะหันมายิ้มให้นาง “พอเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็เข้าใจ เท่ากับว่านับจากนี้ไป เวลาปฏิบัติหน้าที่ข้าจะต้องเรียกชื่อเจ้าเท่านั้น เมื่ออยู่นอกเหนือเวลางานถึงจะเรียกเจ้าว่าน้องหญิงได้ ใช่หรือไม่”
“ใช่” เห็นเขาคล้อยตามคำพูดของตนเอง นางก็พยักหน้าหนักๆ อย่างปลาบปลื้ม
“ดี ตกลงตามนี้” รอยยิ้มของเขาแจ่มใสขึ้นทุกที
“ตกลงตามนี้” ซูเสี่ยวเตาไม่ได้ล่วงรู้เลยสักนิดว่าตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว ซ้ำยังเผลอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดขุดหลุมพรางดักตนเองอีกด้วย นางฉีกยิ้มกว้างอย่างภูมิอกภูมิใจ
เห็นหรือไม่ นางฉลาดไหวพริบดีถึงเพียงนี้ ขนาดแม่ทัพใหญ่ยังต้องยอมสยบให้เลย
หร่วนชิงเฟิงยิ่งมองนางยิ่งอารมณ์ดี อยากขยี้หัวนาง ดึงแก้มเนียนๆ เล่นจนแทบอดใจไม่อยู่ ยังดีที่ได้เสียงเป่าเขาวัวอันเป็นสัญญาณทางการทหารข้างนอกเรียกสติ หยุดความคิดฟุ้งซ่านนั้นไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ข้าต้องไปแล้ว เจ้าคอยอยู่ในนี้ล่ะ” สุดท้ายเขาก็ใช้นิ้วดีดสันจมูกเรียวเล็กของนางเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วสั่งยิ้มๆ “อย่าดื้อ”
“ช้าก่อน ข้าเป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ ควรต้องไปขานชื่อ…”
เขาหันมามองนางพลางคลี่ยิ้มระยิบระยับบาดตา “เมื่อครู่แม่ทัพใหญ่ก็ ‘ขานชื่อ’ เจ้าด้วยตนเองแล้วไม่ใช่หรือ หือ?”
รอยยิ้มสะกดตาสะกดใจของเขาทำให้ซูเสี่ยวเตาตาพร่า หน้าแดง ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เคลิบเคลิ้มเสียจนลืมว่าควรโต้ตอบกลับไปอย่างไร พอได้สติกลับมาอีกที คนตรงหน้าก็หายไปเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าเล่ห์! ต่ำช้า! ใช้กลยุทธ์ชายงามแต่เช้าได้อย่างไรกันนะ” นางกระทืบเท้าเร่าๆ อย่างทนไม่ไหว พลางพูดหัวฟัดหัวเหวี่ยง “คนเขายังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจด้วยซ้ำ…ไร้มโนธรรม! ผิดกฎ!”
ว่าไปแล้ว เขาไม่ให้ไป คิดหรือว่านางจะโง่ไม่ไปจริงๆ ค่ายทหารสกุลหร่วนเป็นของสกุลเขาคนเดียวหรือไร…แต่…ก็เป็นของเขาจริงๆ นั่นแหละ
“เมื่อครู่เขาแค่บอกว่า ‘เจ้าคอยอยู่ในนี้ล่ะ’ ไม่ได้บอกว่า ‘ซูเสี่ยวเตา เจ้าคอยอยู่ในนี้ให้ดีล่ะ นี่เป็นคำสั่งทหาร’ ดังนั้นข้าตามไปด้วยก็ไม่ถือว่าผิดกฎ ไม่ถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาสินะ” เด็กสาวลูบคางพลางหัวเราะกระหยิ่มใจอย่างร้ายกาจ “หึๆ”