“เสี่ยวเตา” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหู แฝงไว้ซึ่งอาการสั่นสะท้านและความทะนุถนอมอยู่ลึกๆ “คนดี ปล่อยมือเถิด ให้ข้าดูซิว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
เสียงนั้นอ่อนโยนและคุ้นหูเหลือเกิน
“มะ…แม่ทัพใหญ่ ท่านไม่เป็นไรนะ” โทสะกลบทับความหวาดกลัวไว้ทันที สมองกลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง นางเงยหน้าที่มอมแมมไปด้วยฝุ่นขึ้นมองเขาอย่างร้อนใจ
หัวใจของชายหนุ่มเหมือนถูกกระแทกโครมใหญ่ เขายืนอึ้งมองใบหน้าสกปรกมอมแมมของคนตัวเล็กอย่างเหม่อลอย
“แย่ล่ะ อย่าบอกนะว่าตกใจจนสมองมีปัญหาไปเสียแล้ว” ซูเสี่ยวเตาสะดุ้ง รีบลุกขึ้นมานั่งแล้วดึงเขาเข้ามาสำรวจ “แม่ทัพใหญ่? แม่ทัพใหญ่มองข้าสิ นี่กี่นิ้ว สามนิ้ว? ห้านิ้ว? ตายแล้ว ไม่ได้การๆ ดูท่าจะต้องพากลับเข้าเมืองไปให้แม่หมอหม่าเรียกขวัญให้เสียแล้ว…”
ดวงตาคมของหร่วนชิงเฟิงฉายแววอ่อนโยน ขณะที่มุมปากอมยิ้มนิดๆ “เจ้าเด็กโง่”
“นี่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งช่วยท่านจากเสือร้ายนะ!” นางทำหน้าง้ำอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินเขาเรียกตน
เขาขันกิริยาของนาง สติที่เมื่อครู่เตลิดเปิดเปิงไปตอนเห็นนางกระโจนเข้าใส่เสือร้ายกลับคืนสู่ตัวอีกครั้ง “คราวหน้าห้ามทำเรื่องอันตรายเช่นนี้อีก” เขาทำหน้าเครียดสั่งสอน ในใจยังหวาดหวั่นไม่หาย “จากนี้ไปเห็นเสือต้องรีบหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่บุรุษแต่โดยดี ได้ยินหรือไม่”
“แต่ข้าเป็นทหารประจำตัวท่าน เกิดอันตรายขึ้นมาจะหนีเอาตัวรอดขึ้นไปบนต้นไม้ได้อย่างไรเล่า” นางเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
“ยังจะเถียงอีก” ใบหน้าคมคายบึ้งตึง “นี่เป็นคำสั่งทหาร!”
“มีเช่นนี้ด้วยหรือ” นางทั้งโมโหทั้งร้อนรนจนแทบร้องไห้ออกมา “ไม่ว่าเรื่องอะไรท่านก็จะทำหมด จงใจแกล้งข้าเล่นใช่หรือไม่”
“ไม่ได้แกล้งๆ” พอเห็นดวงตากลมโตมีน้ำตาเอ่อคลอ ใจเขาก็เจ็บปวดจนแทบละลาย พลางรีบเอ่ยปลอบ “เอาล่ะๆ ไม่ต้องปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้ ทีนี้ไม่ต้องปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้แล้วนะ”
“กำลังกล่อมเด็กสามขวบอยู่หรือไร” นางจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
เอ่อ…ระดับสติปัญญานางสูงกว่าเด็กสามขวบอยู่บ้างจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเปลี่ยนวิธีอื่นแล้วกัน
“ข้าหิวแล้ว” หร่วนชิงเฟิงยกมือลูบท้องพร้อมทำตาละห้อยมองอีกฝ่าย
เด็กสาวถูกมองจนขนลุกเกรียวแล้วถอยหนีไปข้างหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็พูดตะกุกตะกัก “นี่ มะ…ไม่ต้องมาใช้หน้าตาล่อลวงกันเลยนะ ทำเช่นนี้ขี้โกงนี่!”
“น้องหญิงเองก็คิดเหมือนกันหรือว่าพี่ชายหน้าตาดี” ความปรีดาวาบขึ้นในเนตรหงส์ เขาคลี่ยิ้มสว่างไสว “ใช่หรือไม่”
“ขะ…ข้าจะไปถลกหนังกระต่ายล่ะ” นางคว้ากระต่ายวิ่งหน้าแดงก่ำหนีไปอย่างขี้ขลาด
“เฮ้อ…” แม่ทัพหนุ่มลูบคางตนเอง รู้สึกยังไม่หายอยาก เพราะยังไม่ได้หยอกเย้าคนตัวเล็กจริงๆ จังๆ เลย “สมแล้วที่เป็นลูกสาวบ้านสกุลซู” เขาพึมพำ รอยยิ้มบนเรียวปากชัดเจนขึ้น “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ…หร่วนชี”
“ขอรับ” หร่วนชีที่ซ่อนอยู่ในที่ลับแสดงตัว ดวงตาคมกริบมองเสือตัวเขื่องที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างตระหนกแกมทึ่ง
“เมื่อครู่ดูสนุกหรือไม่” ผู้เป็นนายถามยิ้มๆ “ดูไว้นะ ทหารประจำตัวเขาเป็นกันเยี่ยงนี้ เจ้า…เอาแต่แอบอยู่ในที่ลับไม่กระอักกระอ่วนบ้างหรือไร”
“บ่าวสมควรตาย” มุมปากหร่วนชีกระตุกริกๆ เสือตัวหนึ่งเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยในสายตานายท่านเท่านั้น มีแต่ทหารหญิงเซ่อซ่าที่ตั้งใจจริงคนนั้นแหละถึงจะพุ่งเข้าไป ‘เอาชีวิตเข้าแลก’ เพื่อปกป้องนายท่าน
แต่ก็ถูกฝาถูกตัวกันจริงๆ สองคนนี้มายืนอยู่ด้วยกันแล้วดูเหี้ยมเกรียมยิ่งนัก
“สมควรตายไม่สมควรตายอะไรกันเล่า พูดเช่นนี้ทำร้ายจิตใจข้านะ” หร่วนชิงเฟิงใช้มือปัดฝุ่นบางๆ บนเสื้อแล้วยิ้ม “เอ้า ข้าจะให้โอกาสทำคุณไถ่โทษ เสือตัวนี้ข้ามอบให้เจ้าจัดการ จำไว้ว่าจะต้องถลกหนังที่สมบูรณ์เก็บไว้ แล้วก็หักกระดูกเสือไว้ให้รองแม่ทัพบำรุงร่างกาย ส่วนหู่เปียน* นี่…ข้าตกรางวัลให้เจ้า ปีหน้าอุ้มหลานชายตัวอ้วนๆ มาให้ข้าดูด้วยล่ะ”
หร่วนชีได้ยินเช่นนี้ก็หมดคำกล่าว…