“แม่ทัพใหญ่…” เสียงเรียบทื่อดังขึ้นเบาๆ
“หืม?” เขากลั้นหายใจเพ่งสมาธิด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หยดเหงื่อเริ่มไหลลงมาตามขมับ
“ข้ายืนจนขาชาแล้วนะ ยังไม่เสร็จอีกหรือ” ไม่อย่างนั้นให้ข้าผูกใหม่เองดีหรือไม่
“แค่ก” เขาได้สติกลับมาทันที รู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากระหม่อมแล้วถูกราดหัวด้วยน้ำนม ปลายนิ้วเรียวผูกเงื่อนตายอย่างคล่องแคล่วทรงพลัง จากนั้นก็รีบยืนตรงอย่างรวดเร็ว “เสร็จแล้ว”
ซูเสี่ยวเตาเองก็ไม่ได้ก้มหน้าไปสำรวจ แค่ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “ยังดีๆ ข้านึกว่าจะต้องยืนอย่างนี้ไปจนพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาเสียอีก”
หร่วนชิงเฟิงที่แสร้งไม่ได้ยินคำเหน็บแนมของคนตัวเล็กกระแอมในคอ ก่อนจะกลับไปคลี่ยิ้มเสเพลตามปกติอีกครั้ง “น้องหญิงสวมเสื้อคลุมตัวนี้แล้วน่ามองยิ่งนัก เสียแต่ยาวไปหน่อย”
“อืม ชายระพื้นเลย” นางก้มหน้าลงดึงชายเสื้อคลุมพลางบ่น “หากข้าสูงใหญ่บึกบึนเหมือนท่านพ่อก็ดีสิ จะต้ององอาจมากแน่”
“อย่าเป็นอันขาดเชียว” แค่เขานึกถึงภาพกล้ามปูดโปนเป็นมัดๆ ของซูเถี่ยโถว แม่ทัพหนุ่มก็ถึงกับต้องแอบสูดหายใจเฮือก “เช่นนั้นกอดไม่สบาย…”
“หา?” นางเหลือบมองเขางงงัน
“ข้าจะบอกว่า…เอ่อ…น้องหญิงเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ดีมากเลย” ความเคอะเขินอันน่าประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะเสไปพูดเรื่องอื่นอย่างกระอักกระอ่วน “จริงสิ ต่อไปห้ามถอดเสื้อผ้าในที่โล่งกลางวันแสกๆ อีก วันนี้โชคดีที่ได้เจอสุภาพบุรุษอย่างข้า หากวันใดไปเจอคนใจคดเข้าจะทำอย่างไร”
“ข้าก็ไม่ได้ถอดจนเปลือยหมดเสียหน่อย ข้างในยังสวมเอี๊ยมบังทรงอยู่อีกตัว” นางกล่าวแย้ง
เอี๊ยมบังทรง…เจอเอี๊ยมบังทรงอีกแล้ว…
ไม่พูดยังดีกว่า เพราะพอริมฝีปากจิ้มลิ้มอิ่มชื้นเอ่ยคำว่า ‘เอี๊ยมบังทรง’ ออกมา สมองของหร่วนชิงเฟิงก็นึกถึงพื้นที่สีแดงสดที่ได้เห็นเมื่อครู่ รวมถึงความกลมกลึงที่อยู่ข้างใต้…
เขารีบดึงมือกลับมาเหมือนถูกของร้อน รีบยกแขนเสื้อขึ้นบังครึ่งใบหน้าเอาไว้ อีกทั้งเลือดกำเดาที่ไหลทะลักลงมาเป็นสาย
“แม่ทัพใหญ่ เหตุใดหน้าแดงถึงเพียงนี้ล่ะ อีกทั้ง…ยังมีแต่เหงื่อเต็มหน้าผาก ร้อนหรือ” ตัวต้นเหตุกลับทำหน้าฉงนสงสัยก้าวเข้ามาเพ่งพินิจเขาใกล้ๆ
คราวนี้แม่ทัพใหญ่รักษาท่าทางสุขุมไม่ไหวแล้ว รีบกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“สายมากแล้ว กลับกันเถอะ”
“กลับ?” ซูเสี่ยวเตายืนอึ้ง ตะวันยังไม่ทันตรงหัว เหตุใดจะกลับเสียแล้วล่ะ
ไม่ย่างเนื้อ ไม่ล่าสัตว์แล้วหรือไร
สรุปว่าเช้าวันนั้นเต็มไปด้วยเหตุการณ์พลิกผัน ตั้งแต่ขี่ม้าล่าสัตว์ด้วยท่วงท่าสง่างาม เพียงพริบตาเดียวกลับกลายเป็นการต่อสู้กับพยัคฆ์ร้ายอันน่าอกสั่นขวัญผวา จากนั้นก็เปลี่ยนฉากเป็นภาพเย้ายวนกระตุ้นเลือดลมให้ฉีดพล่าน แล้วกลับตาลปัตรเป็นคนหนึ่งตกน้ำคนหนึ่งเลือดกำเดาออก ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้ากลับมาอย่างหมดสนุกในท้ายที่สุด
ปลายยามอู่ ซูเสี่ยวเตาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและกลับมาปฏิบัติหน้าที่ทหารประจำตัวอีกครั้งก็ได้รับคำสั่งพิลึกพิลั่นว่า ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ชื่นชมว่าเจ้าปฏิบัติงานได้ยอดเยี่ยม จึงให้รางวัลด้วยการให้เลิกงานเร็วก่อนกำหนด’ จากนั้นก็ถูกไล่ออกจากค่ายอย่างงงๆ
ขนาดเข้านอนแล้ว เด็กสาวก็ยังกอดผ้าห่มมองเพดานห้องด้านบนอย่างเหม่อลอยอยู่นาน ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดในวันแรกของการเป็นทหาร จุดจบของนางถึงเป็นการถูกสั่งให้เลิกงานเร็ว