นางเดินไปพลางมองซ้ายแลขวาไปพลาง ท่าทางสนอกสนใจยิ่งยวดต่อทุกสิ่งอย่าง เหยียนตี้ไม่มีคำบ่นแม้แต่ครึ่งคำต่อความเร็วดั่งหอยทากของนาง ปล่อยให้นางใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงจะเดินเล่นทุกซอกทุกมุมของถนนใหญ่สี่สายเสร็จในที่สุด
“พวกเรากลับกันเถอะ” ฉินโยวโยวเลิกผ้าขาวริมขอบหมวกขึ้นบอกกับเหยียนตี้
“ดูดีแล้วหรือ สัตว์วิเศษของเจ้าไม่ได้ทิ้งสัญลักษณ์อะไรไว้ให้เจ้า?” เหยียนตี้มองนางแวบหนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม
อะไรเรียกว่าถ้ายังขู่ขวัญผู้อื่นไม่ได้ถึงตายก็ไม่เลิกรา…นี่อย่างไรเล่า
ฉินโยวโยวถูกสายตาตรวจสอบจับจ้องของเขาทำให้ตกใจไม่น้อย นางเบิกตากว้างแล้วถามด้วยท่าทางบริสุทธิ์ไร้ความผิด “สัญลักษณ์อะไร”
“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าว่าเจ้าสนใจในงาเน่าข้าวฟ่างเก่าเหล่านั้น หรือไม่ก็ไม่เคยเห็นตุ๊กตาตะกร้าสานจากหญ้าจากฟางเลยรู้สึกแปลกใหม่หรอกนะ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก ทว่าคำพูดกลับเต็มไปด้วยแววเหยียดหยันประชดประชัน
ฉินโยวโยวพลันหมดคำแก้ตัว นางจึงไม่พูดอะไรเสียเลย
เมื่อครู่นางเพิ่งจะนึกชมความอดทนของเขาอยู่ในใจ…ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ควรถูกความดีจอมปลอมของเจ้าคนเลวหลอกลวง!
“เจ้ารู้จักคนสกุลเหวินที่อยู่ทางทิศใต้ของเมือง?” ฟังเหมือนเป็นคำถาม แต่เห็นได้ชัดว่าในใจผู้ถามมีคำตอบแน่ชัดแล้ว
ฉินโยวโยวยังคงเงียบ เมื่อครู่ตอนที่นางเดินผ่านทางใต้ของเมืองดูเหมือนจะมองคฤหาสน์สกุลเหวินนานไปเพียงสองอึดใจเท่านั้น
นางรู้สึกว่าบุรุษข้างกายผู้นี้ต้องเป็นปีศาจแปลงกายมาแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่มองเจตนาเบื้องหลังการกระทำของนางออกได้อย่างง่ายดาย อยู่กับปีศาจเช่นนี้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย!
“เบื้องหลังสกุลเหวินซับซ้อนยิ่ง หากเจ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าไปยุ่งกับพวกเขาดีกว่า” เหยียนตี้คล้ายเพียงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
ฉินโยวโยวใจหายวาบ นางจำได้รางๆ ว่าอาจารย์เองก็เคยให้ความเห็นทำนองเดียวกันนี้ต่อสกุลเหวิน ถึงขั้นพูดได้น่ากลัวกว่าผู้มีพระคุณปีศาจท่านนี้เสียอีก ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบนางจึงไม่เคยคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากคนสกุลเหวิน
ในเมืองไม่มีสัญลักษณ์ใดที่สัตว์วิเศษทั้งสองทิ้งเอาไว้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกมันน่าจะยังมาไม่ถึง ตอนนี้นางกำลังอาศัยความคุ้มครองจากผู้มีพระคุณปีศาจ ทุกการกระทำล้วนปิดบังหูตาเขาไม่พ้น ยากยิ่งที่จะติดต่อกับสัตว์วิเศษทั้งสองของตนโดยที่เขาไม่รู้เรื่อง
จากท่าทางของผู้มีพระคุณปีศาจแล้ว คาดว่าเขาคงยังไม่ทำเรื่องไม่ดีอะไรกับนางในตอนนี้ เช่นนั้นจะขอให้เขาช่วยหาเจ้าสองตัวนั้นตรงๆ เลยดีหรือไม่ หรือจะเลือกทางปลอดภัยหน่อย คิดหาวิธีทิ้งข่าวบอกพวกมันให้เปลี่ยนสถานที่นัดพบ รออีกสักพักหลังนางหลุดพ้นจากกำมือของผู้มีพระคุณปีศาจแล้วค่อยไปหาพวกมัน
ฉินโยวโยวลังเลไปตลอดทาง กระทั่งกลับถึงคฤหาสน์ในเมืองของเหยียนตี้ถึงตัดสินใจได้ในที่สุด
“สัตว์วิเศษสองตัวของข้า กระต่ายหิมะหลงทางชื่อว่าอี้เสี่ยวฮุย นกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์ชื่อว่ากวาต้าจุ่ย…” ฉินโยวโยวกัดริมฝีปากบอกแก่เหยียนตี้
เหยียนตี้หยุดฝีเท้าแล้วหันหน้ามามองฉินโยวโยว สาวน้อยนางนี้ยอมรับความจริง…ไม่ปิดบังข้าต่อแล้ว?
“ในตัวพวกมันมีสายเลือดผสมกับสัตว์วิเศษชนิดอื่น เสี่ยวฮุยไม่ได้มีสีขาวหิมะทั้งตัวเหมือนกระต่ายหิมะหลงทางทั่วไป สีขนบนตัวมันครึ่งเทาครึ่งขาว หูยาวยิ่ง ไม่มีหาง ส่วนต้าจุ่ยก็มีหน้าตาไม่ค่อยเหมือนนกเอี้ยง ออกไปทางอีกาเสียมากกว่า ตัวใหญ่ประมาณนี้” ฉินโยวโยวพูดพลางทำมือเปรียบเทียบ หยุดคิดเล็กน้อยก่อนเสริมอีกว่า “มันชอบวางท่าอาวุโสคุยโวโอ้อวดเป็นที่สุด พวกมันล้วนชอบกินเนื้อ ทั้งยังกินจุมากด้วย”
เหยียนตี้พยักหน้าให้เหลียงลิ่งที่ก้าวมาต้อนรับ สั่งให้เขาส่งคนไปหาลักษณะของสัตว์วิเศษตามที่ฉินโยวโยวบอก
ฟังจากคำบรรยายของฉินโยวโยว สัตว์วิเศษสองตัวนี้นอกจากพูดได้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ปีกสัตว์บกทั่วไป บนเขามีกระต่ายป่าสีขาวเทากับนกที่หน้าตาเหมือนอีกาอยู่มากจนนับไม่ไหว
“จู้อวิ๋นเฟยเล่า” พูดถึงสัตว์วิเศษ เหยียนตี้ก็นึกถึงม้าแดงตัวใหญ่ที่ตอนเช้าถูกเขาผิดนัดขึ้นได้
“มันกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เห็นบอกว่าเก็บกระต่ายทึ่มที่ชนตอไม้สลบมาได้ตัวหนึ่ง ร้องบอกว่าจะเอาไปเป็นกับแกล้มให้สือเอ้อร์หลาง” ขณะที่เหลียงลิ่งเอ่ยถึงม้าแดงตัวใหญ่ตัวนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏแววขบขันอยู่หลายส่วน
สือเอ้อร์หลางที่เขาพูดถึงคือองครักษ์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเหยียนตี้ เรื่องที่ชมชอบที่สุดคือการกินอาหารป่าแกล้มสุรา ปกติมีหน้าที่ดูแลม้าแดงตัวนั้นให้เหยียนตี้ หนึ่งคนหนึ่งม้ามีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนม
เหลียงลิ่งพูดถึงตรงนี้ก็ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “กระต่ายตัวนั้น…มีลักษณะเหมือนกับที่แม่นางฉินบรรยายอย่างมาก…”
เหลียงลิ่งยังพูดไม่ทันจบ ฉินโยวโยวก็ตกใจจนใบหน้าถอดสีแล้ว “กระต่ายตัวนั้นอยู่ที่ใด!”
“ห้องครัวที่เรือนด้านหลัง” เหลียงลิ่งชี้ทางให้ เขาไม่ใคร่เข้าใจนักว่านางจะตกใจอะไร ก็แค่มีลักษณะเหมือนกันเท่านั้นเอง ต่อให้สัตว์วิเศษจะอ่อนแออย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นชนตอไม้เอง ซ้ำยังถูกสัตว์วิเศษอีกตัวคาบกลับมาเป็นกับแกล้มกระมัง
ฉินโยวโยวไม่ทันอธิบายก็วิ่งฉิวไปตามทิศทางที่เหลียงลิ่งชี้