ในห้องครัวเรือนด้านหลัง น้ำที่ต้มได้เดือดแล้ว จู้อวิ๋นเฟยม้าแดงตัวใหญ่กับสือเอ้อร์หลางองครักษ์กำลังเฝ้าอยู่หน้าประตู น้ำลายไหลรอกินอาหารป่า ฉับพลันนั้นก็เห็นฉินโยวโยววิ่งตะบึงมา ม้าแดงตัวใหญ่นึกถึงเรื่องเมื่อเช้าที่สตรีนางนี้ ‘ล่อลวง’ เจ้านายของมันไป ทำให้มันต้องออกไปเดินเล่นตามลำพัง อย่าให้พูดเลยว่ามันเบื่อหน่ายมากเพียงไร ทั้งที่เจ้านายรับปากมันก่อนชัดๆ ว่าจะไปวิ่งรับลมกับมันให้จุใจ!
ยามพบหน้าอริเช่นนี้ก็ให้ชวนหงุดหงิดใจเป็นพิเศษ จู้อวิ๋นเฟยตรงมาขวางทางฉินโยวโยว แยกเขี้ยวยิงฟันพูดว่า “หญิงหน้าเหม็น! เจ้ายังกล้าแล่นมาอยู่ต่อหน้าข้าอีก?!”
“หลีกทาง!” ฉินโยวโยวร้อนใจดั่งไฟเผา กลัวว่าตนเองจะช้าเกินไปจนเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวฮุยสัตว์วิเศษเสียก่อน แล้ว ‘ตัวการสำคัญ’ อย่างจู้อวิ๋นเฟยนี่ก็ยังมาขวางทาง ด้วยช่วงเวลาคับขันนางไม่มีเวลาให้หวาดกลัวม้าอีก นางใช้มือหนึ่งกระชากหมวกคลุมแล้วฟาดเข้าไปที่หน้าม้า คิดจะไล่มันไป
แม้จู้อวิ๋นเฟยจะเป็นสัตว์วิเศษที่ถนัดด้านความเร็วเพียงใด แต่ความเร็วล้วนอยู่ที่ขาทั้งสี่ มิได้อยู่ที่ส่วนหัว ทางเดินหน้าห้องครัวเดิมก็ไม่ค่อยกว้างอยู่แล้ว ทั้งมันเองก็คิดไม่ถึงว่าฉินโยวโยวมาถึงก็จะโจมตีมันทันที ผลคือกลายเป็นมันที่ยื่นหัวไปรับการฟาดจากฉินโยวโยวเสียเอง
บัดนี้ฉินโยวโยวมีร่างกายอ่อนแอ ยามที่หมวกคลุมนี้ฟาดโดนหน้าจู้อวิ๋นเฟยยังเบากว่าเกาผิวที่คันเสียอีก ทว่ากลับเป็นการทำลายศักดิ์ศรีอันสูงส่งของสัตว์วิเศษตัวนี้อย่างรุนแรง จู้อวิ๋นเฟยเปล่งเสียงร้องยาวก่อนอ้าปากจะกัดฉินโยวโยวด้วยความโมโห
เหยียนตี้มาถึงก็มองเห็นจู้อวิ๋นเฟยแทบจะกัดแขนฉินโยวโยวเข้าพอดี เขารู้ดีถึงความร้ายกาจของสัตว์วิเศษของตนเอง หากมันกัดลงไป แขนของฉินโยวโยวหลุดออกมาทั้งท่อนก็มิใช่เรื่องแปลกแล้ว
ระหว่างช่วงเวลาอันตรายนี้เอง เหยียนตี้ก็เคลื่อนไหวว่องไวประดุจภูตผีโผล่พรวดมาอยู่ระหว่างหนึ่งคนหนึ่งม้าแล้ว ฝ่ามือหนึ่งปัดหน้าจู้อวิ๋นเฟยออก อีกมือก็กระชากฉินโยวโยวมาปกป้องไว้ด้านหลัง
จู้อวิ๋นเฟยถูกฉินโยวโยวตีก่อน ต่อมายังถูกฝ่ามือของเจ้านายตนปัดอีก จึงทั้งเดือดดาลทั้งคับข้องใจ มันส่งเสียงร้องก่อนควบเท้าทั้งสี่วิ่งจากไป
ฉินโยวโยวไม่มีแก่ใจจะสนความรู้สึกของมันโดยสิ้นเชิง ถือโอกาสตอนที่เหยียนตี้เสียสมาธิดิ้นจนหลุดออกมา ก่อนวิ่งเข้าห้องครัว นางมองเห็นหัวหน้าพ่อครัวถือมีดแหลมชะโงกมองมาที่ประตูใหญ่ของห้องครัวด้วยอยากรู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นพอดี ทั้งยังมองเห็นกระต่ายตัวอ้วนที่มีหูยาวและขนครึ่งเทาครึ่งขาวตัวหนึ่งกำลังนอนไม่ไหวติงอยู่บนเขียง
“เสี่ยวฮุย!” ฉินโยวโยวกระโจนไปช่วยกระต่ายออกมาจากเขียง
ยังดี…ตัวของเสี่ยวฮุยยังอุ่น ยังมีลมหายใจ หัวใจยังเต้น แสดงว่ามันยังมีชีวิตอยู่ หากนางมาช้าอีกเพียงนิดก็ต้องพรากจากเสี่ยวฮุยไปตลอดกาลแล้ว
เหยียนตี้ขมวดคิ้วเดินเข้ามาในห้องครัว หลังมองเห็นกระต่ายอ้วนที่ขนยุ่งเหยิงดูสกปรกในอ้อมแขนฉินโยวโยวแล้วก็อดจะหมดคำพูดไปชั่วขณะไม่ได้
“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือสัตว์วิเศษของเจ้า?” เหยียนตี้รู้สึกเหลือเชื่อยิ่งยวด กระต่ายตัวนี้ไหนเลยจะเหมือนกระต่ายหิมะหลงทาง เป็นกระต่ายป่าทึ่มทื่อที่มีอาหารการกินที่ดีเกินไปจนทำให้ตัวอ้วนกลมชัดๆ เป็นสัตว์วิเศษออกจะเกินจริงไปสักหน่อย เป็นอาหารป่าแกล้มสุรายังดูเหมาะสมกว่าจริงๆ
ฉินโยวโยวออกแรงพยักหน้าก่อนเอ่ยว่า “ข้าแน่ใจ ตอนกลางคืนเสี่ยวฮุยจะมองอะไรไม่ชัด มักจะชนนู่นชนนี่เป็นประจำ เมื่อก่อนก็ชนตอไม้สลบไปอยู่หลายครั้ง”
เหลียงลิ่งที่ตามมาด้านหลังเองก็หมดคำพูดแล้วเช่นกัน ที่แท้กระต่ายทึ่มตัวนี้ก็ถึงกับทำเรื่องโง่ๆ พรรค์นี้เป็นประจำ มิน่าพอฉินโยวโยวได้ยินว่ากระต่ายที่ชนตอไม้มีลักษณะคล้ายกับสัตว์วิเศษของนางถึงได้ตกใจปานนั้น สามารถรู้ฐานะของมันได้ในทันที
ไม่เสียแรงที่เป็นสัตว์วิเศษจริงๆ! ลองเปลี่ยนเป็นกระต่ายตัวอื่น หากมีข้อบกพร่องโง่ๆ เช่นนี้คงได้ตายไปเป็นสิบเป็นร้อยครั้งแล้ว