สีหน้าของฮ่องเต้เองก็ไม่ใคร่น่ามองเช่นกัน “ต่อให้เป็นทายาทสกุลเหยียนก็มีเพียงหยิบมือที่เข้าไปในเขตหวงห้ามได้ นับประสาอะไรกับนางที่เป็นเพียงภรรยาของเจ้าเท่านั้น ต่อให้เป็นเสด็จแม่เองก็ยังทรงได้รับอนุญาตให้เข้าไปเพียงครั้งเดียวหลังจาก… ‘เรื่องนั้น’ แคว้นเซียงเยวี่ยของเราสืบทอดมาสามสิบหกรุ่น จวบจนปัจจุบันก็มีเพียงฮองเฮาสามองค์และพระชายาอ๋องหนึ่งองค์ที่ได้รับเกียรติสมรสนี้โดยมีบรรพบุรุษทุกพระองค์เป็นสักขีพยานภายในเขตหวงห้าม สตรีที่เจ้าพากลับมา…มีสิทธิ์อะไร”
คำถามของฮ่องเต้ตรงกับความคิดในใจไทเฮาพอดี นางให้กำเนิดทายาทที่โดดเด่นเพียงนี้แก่สกุลเหยียนถึงสองคน ก็ยังต้องรอจนแน่ใจในฐานะพิเศษของเหยียนตี้บุตรชายคนรองแล้ว ถึงสามารถอาศัยบารมีของบุตรชายให้ได้รับอนุญาตเข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษยังเขตหวงห้ามเป็นกรณีพิเศษ สตรีที่เหยียนตี้พากลับมามีสิทธิ์อะไรถึงจะได้รับเกียรติพิเศษที่ฮองเฮาแทบทุกสมัยรวมถึงพระชายาอ๋องแทบทั้งหมดยังไม่มีปัญญาจะได้รับ
ไทเฮาไม่ปฏิเสธว่าในใจตนเองรู้สึกริษยา ต่อให้บุตรชายหลงใหลในตัวสตรีนางนั้นเพียงใดก็ไม่ควรทำอะไรส่งเดชเช่นนี้
ยามที่เผชิญหน้ากับคำถามและท่าทีคัดค้านจากญาติใกล้ชิดที่สุดเช่นนี้ เหยียนตี้ก็ยังรักษาท่าทีอันสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ “พวกท่านจำเรื่องที่ข้าไปค้นหาขุมทรัพย์ราชวงศ์ก่อนเมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”
“จำได้สิ มิใช่บอกว่ามีคนไปถึงก่อนแล้วปิดทางเข้าขุมทรัพย์ ถึงขนาดว่าใช้ประโยชน์จากทางเดินลับภายในนั้นพาโจรท้องถิ่นที่เดิมปักหลักอยู่บนภูเขาหนีไปจนสิ้นหรือไร” ไทเฮากล่าว
ฮ่องเต้กลับเข้าใจขึ้นมาแล้ว จึงกล่าวด้วยแววตาที่เป็นประกาย “สตรีนางนั้นก็คือผู้ที่สะเดาะกับดักกลไกในขุมทรัพย์? ถึงกับเป็นสตรี?”
เหยียนตี้พยักหน้าตอบ “มิผิด”
ไทเฮาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถาม “เจ้าต้องการแต่งงานกับนางเพราะเรื่องนี้?”
“ไม่ใช่” คำตอบของเหยียนตี้เปี่ยมด้วยความเด็ดขาดหนักแน่น “นาง…เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เรื่องเหนือความคาดหมายที่ทำให้ข้าทั้งตกใจและดีใจยิ่ง”
ปลายนิ้วของฮ่องเต้เคาะที่วางแขนของเก้าอี้หยกเบาๆ เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “อีกสองเดือน…เจ้าตั้งใจจะให้นางขจัดภัยแฝงนั้นให้เจ้าด้วย? นางจะไหวหรือ”
“น่าจะไหว ลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรในมือข้าถูกใช้ไปหมดแล้ว กำลังอยากจะขอชุดใหม่ปริมาณสองเดือนจากท่านพอดี” ท่าทียามกล่าววาจาต่อฮ่องเต้ของเหยียนตี้ไม่ต่างอะไรกับยามพูดกับคนธรรมดา แต่ไทเฮาและแม้กระทั่งตัวฮ่องเต้เองกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
ฮ่องเต้แทบอยากกระอักเลือด “เจ้าก็พูดง่ายนี่ หลอมลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรหนึ่งเม็ดต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร ต้องเปลืองสมุนไพรวิเศษล้ำค่าจำนวนมากเพียงใด ลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรปริมาณสองเดือนแทบต้องใช้เงินเท่ากับรายรับสามปีของคลังหลวง เจ้ากลับเอ่ยปากของ่ายๆ เหมือนขอลูกอมอย่างไรอย่างนั้น”
“ยามิใช่ทำออกมาเพื่อกินหรือไร หรือว่าท่านไม่มีเงินแล้ว” สีหน้าและท่าทางไม่สะทกสะท้านของเหยียนตี้ทำคนโมโหตายทั้งเป็นได้ทีเดียว
ทว่าฮ่องเต้กลับระงับเพลิงโทสะกล่าวยิ้มๆ “นับว่าเจ้ามันร้าย ยาลูกกลอนหลอมไว้แล้วแต่ก็มีเพียงยี่สิบกว่าเม็ด วัตถุดิบในการหลอมยายังมีอยู่จำนวนหนึ่ง อีกสักพักข้าจะให้คนส่งไปพร้อมกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ว่างมากนี่ กลับไปหลอมเอาเองแล้วกัน”
เหยียนตี้ลอบระแวงระวังขึ้นมา อีกฝ่ายพูดง่ายเพียงนี้จะต้องเตรียมอุบายอำมหิตอะไรมาทำให้เขาลำบากแน่นอน แต่ในเมื่อยังไม่ใช้ออกมา เขาก็เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
เหยียนตี้อยู่กินอาหารเย็นกับมารดาและพี่ชายในวัง ยามที่กลับถึงจวนอ๋องก็ดึกมากแล้ว เขามองเห็นแสงตะเกียงอบอุ่นที่ลอดออกมาจากในเรือนพักของฉินโยวโยวจากที่ไกลๆ ในใจก็มีความอบอุ่นละมุนละไมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว