บทที่ 1
“โยวโยว ยิ้มหน่อย เจ้าทำหน้าบึ้งเพียงนี้ ข้าเห็นแล้วไม่ชิน” เหยียนตี้ยิ้มพลางบรรจงหอมแก้มนาง
ฉินโยวโยวแค่นเสียงพูด “เมื่อก่อนท่านก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่ข้าเช่นนี้ ท่านทำได้คนเดียวหรือไร!”
ฉินโยวโยวกับเหยียนตี้อิงแอบแนบชิดกัน นางจึงรู้สึกได้ชัดเจนว่าตบะของเขากำลังอ่อนลงอย่างรวดเร็วจนทำให้นางอกสั่นขวัญผวา ตลอดทางจากตำหนักปู้ฉานมาถึงตำหนักอักษร นางรู้สึกได้ว่าตบะของเขาอ่อนลงไปหนึ่งส่วนในแต่ละก้าว
นางถึงขั้นแน่ใจได้ว่าอีกไม่นานตบะของเหยียนตี้จะเหลือใกล้เคียงกับนาง จากนั้นก็จะกลายเป็นอ่อนด้อยกว่านาง…
เหยียนตี้กอดฉินโยวโยวพลางกล่าวปลอบ “นับแต่ข้าฝึกเคล็ดวิชาเทพสำเร็จเป็นต้นมาล้วนประสบเหตุการณ์เช่นนี้ทุกปีจนชินชาแล้ว และข้าก็มิใช่ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยหรือ ความลับนี้ต่อให้เจียงหรูเลี่ยนรู้ก็ไม่กล้าเที่ยวป่าวประกาศ เจ้าวางใจได้”
หากเจียงหรูเลี่ยนป่าวประกาศออกไป สกุลเหยียนเองก็จะประกาศเรื่องที่เขาฝึกเคล็ดวิชาประเภทเดียวกันนี้ต่อใต้หล้าแน่นอน เท่ากับว่าตัวเขาเองจะตกอยู่ในภาวะอันตรายดุจเดียวกับเหยียนตี้
สำนักเฟิ่งเสินมิใช่แคว้นเซียงเยวี่ย ไม่มีราชวงศ์คอยกุมอำนาจโดยชอบธรรมอยู่ ตำแหน่งเจ้าสำนักเป็นของผู้มีความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร หากความลับนี้ของเจียงหรูเลี่ยนถูกเปิดเผย ลำพังแค่คนที่หมายตำแหน่งเจ้าสำนักในสำนักเฟิ่งเสินก็เพียงพอจะทำให้เขาปวดหัวได้แล้ว
“ถ้าเกิดเขาหาสถานที่ซ่อนตัว แล้วสั่งให้บรรดาลูกน้องของเขามาแทนจะทำเช่นไร ยอดฝีมือของสำนักเฟิ่งเสินมีไม่น้อยเลย” ฉินโยวโยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มาก
“มิใช่ยังมีกับดักกลไกที่ภรรยารักติดตั้งไว้อยู่หรือไร” เหยียนตี้พยายามปลอบโยนภรรยาตัวน้อยที่เป็นกังวล
นับตั้งแต่วันที่เขาสำเร็จเคล็ดวิชาเทพเป็นต้นมาก็กลายเป็นเทพสังหารไร้พ่ายในสายตาทุกผู้คน แทบทุกคนต่างหวาดกลัวเขา พึ่งพาเขา แต่กลับมีน้อยคนนักที่จะสนใจเขา เป็นห่วงเขา แม้ระยะนี้ฉินโยวโยวจะไม่มีสีหน้าที่ดีให้เขาเท่าไร แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพราะนางใส่ใจเขายิ่ง แม้แต่อาการดุด่าหน้าดำคร่ำเคร่งของนางก็ยังทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งยวด
“คนเลว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เอาแต่อิดๆ เอื้อนๆ ไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ชัดเจนเสียแต่เนิ่นๆ รอผ่านคืนนี้ไปก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะจัดการท่านอย่างไร!” ฉินโยวโยวพูดอย่างเข่นเขี้ยว นางไม่พอใจยิ่งนักที่เขาเพิ่งมาบอกเรื่องสำคัญถึงชีวิตเช่นนี้กับนางเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่กี่วันมานี้พอนางโมโหขึ้นมาก็จะใช้เขาต่างที่ลับเขี้ยวลับเล็บ เหยียนตี้กลับล้วนยิ้มพลางปล่อยให้นางกระทำได้ตามใจ
“เหมือนกับตอนที่อยู่ในเขตหวงห้ามอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่ต้องใช้วิชาตรึงเส้นเอ็นแช่แข็งกล้ามเนื้ออะไรเลย ข้ารับรองว่าจะอยู่นิ่งๆ ให้ความร่วมมือกับเจ้าแน่นอน” เหยียนตี้เป่าลมใส่หูนาง นึกถึงภาพเหตุการณ์ภายในเขตหวงห้ามที่ภรรยาตัวน้อยเลื้อยพันยั่วยวนสารพัดอยู่บนร่างเขาขึ้นมาก็อดจะร้อนผ่าวไปทั้งตัวไม่ได้
ฉินโยวโยวทั้งฉุนทั้งเขิน มือหนึ่งปัดกรงเล็บของเขาที่เลื่อนสะเปะสะปะอยู่บนร่างนางออก ก่อนตวาด “นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังมามัวคิดเรื่องพรรค์นี้อีก! หมาป่าราคะ!”
เหยียนตี้ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน “เจ้าเบาแรงหน่อย”
คราวนี้ฉินโยวโยวถึงนึกได้ว่าบัดนี้เหยียนตี้มีสภาพมิสู้เมื่อก่อน เพียงแค่ชั่วครู่สั้นๆ ตบะของเขาก็ลดลงต่ำกว่าขั้นเก้าแล้ว ปกตินางสามารถลงไม้ลงมือกับตัวเขาได้โดยไม่ต้องยั้งแรง ตบะของเหยียนตี้ล้ำลึก ต่อให้เขายืนเฉยๆ ปล่อยให้นางทุบตี นางก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่รอยขีดข่วน เหมือนกับเกาจุดที่เขาคันให้อย่างไรอย่างนั้น
แต่ถ้าตอนนี้นางยังลงมือเต็มแรงอีก เกรงว่าศัตรูยังไม่มา เหยียนตี้คงได้พิการด้วยน้ำมือนางไปเสียก่อน
ฉินโยวโยวทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกขบขัน นวดคลึงจุดที่เขาถูกตีให้ “ยังเจ็บหรือไม่”
เหยียนตี้ถือโอกาสพิงทั้งร่างลงบนตัวฉินโยวโยว นางกลัวว่าตนเองจะเผลอทำเขาบาดเจ็บ จึงปล่อยให้เขาได้คืบเอาศอกโดยไม่ว่าอะไรอย่างที่คิดจริงๆ
แสดงความอ่อนแอต่อหน้าภรรยาตัวน้อยเป็นครั้งคราวเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย
คนทั้งสองอิงแอบรอคอยราตรีอันยาวนานนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ
ปุ้ง!
เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังมาจากกลางท้องฟ้าด้านนอก เบื้องนอกหน้าต่างมีแสงสว่างวาบขึ้นก่อนดับมืดลง
ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นอีกหลายเสียงติดต่อกัน แสงจ้าสว่างวาบลอดผ่านม่านมุ้งหน้าต่างติดต่อกันหลายครั้ง เป็นเสียงจุดดอกไม้ไฟที่ดังมาจากทางตำหนักปู้ฉาน
เป็นดอกไม้ไฟ! ดอกไม้ไฟที่จุดในงานฉลองเทศกาลปีใหม่