With Love
ทดลองอ่าน ร้อยพันหมื่นปีขอมีแค่เธอ บทที่ 1
บทที่ 1 ตามหาศิษย์พี่ที่รักพบ
สายฝนโปรยปรายเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน พื้นถนนยังคงชื้นแฉะ หลังจากฝนหยุดตกแล้วลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นยังคงพัดอยู่ตลอดเวลา
เวลาสี่ทุ่มครึ่ง โม่เหยาขับรถกลับบ้าน ขณะขับผ่านสะพานขนาดใหญ่ก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าแปลกประหลาดกำลังชะโงกศีรษะลงไปทางแม่น้ำที่ไหลผ่านใต้สะพาน
เนื่องจากถนนสายนี้ไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง อีกทั้งยังเป็นเวลากลางคืน คนเดินถนนกับรถราจึงน้อยมาก การที่จู่ๆ ก็มีคนแต่งตัวและทำท่าอย่างกับมนุษย์ต่างดาวโผล่ออกมาช่างดึงดูดความสนใจมากจริงๆ
เด็กสาวที่ต้องสงสัยว่าจะกระโดดน้ำดูอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด สวมชุดกระโปรงรัดเอวสีเขียวต้นหอมที่เปื้อนไปด้วยโคลนเข้าคู่กับกางเกงสีเดียวกัน สวมรองเท้าปักลายสีแดงพื้นขาว สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ที่หลัง ในมือหิ้วห่อผ้าสีน้ำเงิน บริเวณเอวยังห้อย ‘กระบอกน้ำ’ ทรงน้ำเต้าด้วย ผมดำที่ยาวประบ่าก็คล้ายกับถูกสุนัขขบแทะจนไม่สม่ำเสมอ มีเส้นผมหลายเส้นที่เลอะโคลนจนจับตัวกันเป็นก้อน
แม้เสื้อผ้าและเส้นผมของเด็กสาวจะดูสกปรกมอมแมม แต่ใบหน้ารูปไข่กลับอิ่มเอิบงดงาม คิ้วเรียวเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทรงดอกท้อได้มาตรฐาน ขนตาทั้งยาวและงอน สันจมูกตั้งตรงสวย ปากรูปผลเชอรี่ ท่าทางตกใจนั้นทำให้ยิ่งน่าประทับใจ
แน่นอนว่าจากมุมของโม่เหยาทำให้มองไม่เห็นหน้าตรงของเด็กสาว แต่จากการกวาดตามองผ่านๆ ก็รู้สึกว่าท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเธอคงเป็นเพราะดูละครทะลุมิติมากเกินไป แต่งกายก็เหมือนกับแม่นางในยุทธภพที่มาจากยุคโบราณ ในใจคิดว่าเธอคงเป็นหนุ่มสาวสมัยนี้ที่เสาะหาแฟชั่นที่เป็นเอกลักษณ์ แต่งตัวตามอำเภอใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับเด็กสาวเท่าไรนัก
เด็กสาวในชุดแปลกประหลาดนี้ก็คือเยี่ยจื่อชิว เวลานี้นางทั้งหิวและหวาดกลัว พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ชั่วยาม ก่อนตอนที่เพิ่งมาถึงสถานที่แห่งนี้ เยี่ยจื่อชิวก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
ตอนนั้นนางมายังสถานที่แปลกประหลาดนี้อย่างงุนงง จากนั้นก็กลิ้งเข้าไปในหลุมที่มีน้ำขังอยู่โดยไม่ทันระวังจนเลอะโคลนไปทั้งตัว ไม่ต้องพูดเลยว่ามีสภาพอเนจอนาถมากเพียงใด
พอปีนขึ้นมาได้ก็เห็นชายหนุ่มถักผมสีแดงเป็นเส้นใหญ่ๆ ทั่วศีรษะ ปากพ่นควันสีขาวก้าวเข้ามาหา ในมือเขาถือสิ่งของแปลกพิลึกที่เปล่งแสงได้ หัวเราะด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
‘คนสวย ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียว หรือว่าหาทางกลับบ้านไม่เจอ กลับบ้านไปกับพี่เถอะ พี่ชายหิวจะตายอยู่แล้ว อยาก ‘กิน’ เธอเข้าไปแล้วล่ะ’
กินคนงั้นหรือ จู่ๆ เยี่ยจื่อชิวก็นึกถึงเรื่องที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ตอนนางยังเยาว์วัย ปีศาจกินคนมีขนสีแดงเป็นส่วนมาก อีกทั้งปีศาจในคราบมนุษย์ที่ปากพ่น ‘ไอปีศาจ’ โดยพื้นฐานแล้วต่างเป็นปีศาจเฒ่าพันปี เมื่อคนตัวเล็กและอ่อนแอตกอยู่ในเงื้อมมือพวกมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นซากกระดูก!
พออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยจื่อชิวก็รู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัว ความหนาวเย็นพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มีชีวิตมาจนโตถึงเพียงนี้นางไม่เคยเห็นปีศาจขนแดงที่อาจารย์เคยกล่าวถึงว่ากินคนเพื่อมีชีวิตรอดมาก่อน ใครเลยจะคิดว่าวันนี้จะได้พบเข้าตนหนึ่งในสถานที่ที่มีปัญหา!
สมองของเยี่ยจื่อชิวแข็งทื่อไปแล้ว นางนิ่งอึ้งมองดูชายหนุ่มใบหน้าปูดโปนอัปลักษณ์พลางกล่าว ‘ปี…ปีศาจขนแดง…’ เสียงของนางไม่นับว่าดังทว่ากลับดึงดูดให้คนเดินถนนชำเลืองมองมาเมื่อได้ยิน
ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็อับอายจนพาลโมโห เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเยี่ยจื่อชิว ดวงตาที่โตกว่าตาหนูไม่เท่าไรพลันผุดรังสีดุดัน เขาสูดบุหรี่เข้าลึกแล้วพ่นควันทั้งหมดลงบนใบหน้าของเยี่ยจื่อชิว ก่อนจะแยกเขี้ยวยิงฟันเผยให้เห็นฟันเหลืองพร้อมตะคอก
‘แกสิปีศาจขนแดง! เป็นปีศาจขนแดงกันทั้งบ้าน!’
ปีศาจตนนี้ดุร้ายนัก! เยี่ยจื่อชิวสำลัก ‘ไอปีศาจ’ ของอีกฝ่ายจนน้ำมูกน้ำตาไหล นางไออยู่นานก่อนจะสูดจมูกร้องขอความเมตตาไม่หยุด
‘ท่าน…ปี…ปีศาจโปรดไว้ชีวิต อย่าได้กินข้าเลย ข้าน้อยหนังหยาบเนื้อหนาทั้งร่างกายเจือด้วยกลิ่นเหม็น ไม่อร่อยยิ่งนัก กระทั่งหมาป่าในพงไพรต่างก็รังเกียจจนต้องเบือนจมูกหนีข้าไปกันทั้งนั้น!’
‘แกเป็นบ้าหรือไง เห็นตัวเองเป็นนักเล่านิทานรึ!’ ชายหนุ่มงุนงงกับพฤติกรรมไม่ปกติของเยี่ยจื่อชิว เขาปรายตามองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม ‘แกไปขุดเสื้อผ้าโทรมๆ แบบนี้มาจากที่ไหน เห็นตัวเองเป็นหัวผักกาดแดงหุ้มด้วยกระสอบหรือไง อีกเดี๋ยวฉันจะไป ‘กิน’ คน ไม่หาประสบการณ์กับคนบ้าอย่างแกหรอก!’
‘ใช่ๆๆ ข้าน้อยเป็นหัวผักกาดแดงหุ้มด้วยกระสอบ บ้าบอยิ่งนัก’ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะกินตนแล้ว เยี่ยจื่อชิวก็ยินดีปรีดา ผงกศีรษะคล้อยตามไม่หยุดพลางคิดในใจว่าช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ถึงอย่างไรก็พูดจาโอนอ่อนผ่อนตามไว้สักหน่อยดีกว่า รักษาชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ
แม้ ‘ปีศาจขนแดง’ ตนนั้นจะไม่ได้รังแกนาง แต่เรื่องนี้ก็ทิ้งเงามืดหยั่งลึกเอาไว้ให้เยี่ยจื่อชิวผู้ซึ่งมาถึงได้ไม่นาน
สี่ชั่วยามต่อมาเงามืดนี้ก็ไม่ได้เลือนหายไป เพราะนางสามารถพบปีศาจพ่นควันสีขาวได้ทั่วทุกแห่งหน ทว่าที่แตกต่างไปจากที่อาจารย์กล่าวไว้ก็คือคล้ายว่าที่นี่จะมี ‘ปีศาจขนดำ’ มากกว่า
‘อาจารย์ ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เยี่ยจื่ออยากกลับบ้านเจ้าค่ะ’ เยี่ยจื่อชิวที่ได้สติกลับมาจากความทรงจำปาดเหงื่อบนศีรษะพลางพึมพำกับตนเอง มีประสบการณ์ครั้งหนึ่งแล้ว พอได้พบกับปีศาจอีกครั้งนางก็จะหลบลี้ไปให้ไกล ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรง
อีกทั้งยังเดินมานานมากแล้ว สีของท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ผู้คนบนถนนก็ลดน้อยลง กระทั่ง ‘กล่องเหล็ก’ ที่แล่นบนถนนด้านข้างด้วยความเร็วสูงซ้ำยังเปล่งเสียงร้องได้ก็น้อยลงไปมาก
ร่างกายที่เกร็งตึงของเยี่ยจื่อชิวค่อยๆ อ่อนยวบลง หากกล่าวให้ถูกต้องก็คือนางถูกความกระหาย ความหิว ความเหนื่อยล้า และความกลัวทรมานจนร่างกายจะทรุดโทรมแล้ว
‘ข้าอยากกินข้าว กินข้าวเยอะๆ ข้าวเยอะๆ เลย’ เยี่ยจื่อชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวริมสะพาน นางแหงนมองดวงจันทร์บนฟ้าพลางน้ำลายไหล ดวงจันทร์กลมโตเหมือนไข่ตุ๋น เหมือนขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ เหมือนขนมไหว้พระจันทร์ เหมือน…
‘โครก’ ทุกครั้งที่นึกถึงอาหาร เยี่ยจื่อชิวจะกลืนน้ำลายที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยหนึ่งครั้ง ไม่รอให้กลืนน้ำลายครั้งที่สี่ ท้องก็ร้องเสียงดังกังวาน
กลางดึก ความสว่างของ ‘โคมไฟ’ ไม่กี่ดวงของที่นี่สามารถเทียบกับไข่มุกราตรีได้เลย เมื่อได้อยู่ในสถานที่ซึ่งมีแสงไฟมืดสลัวและมีผู้คนเดินกันบางตา เยี่ยจื่อชิวก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมากโข
ตอนนี้เองจู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหยิบเสื้อผ้าออกมาจากห่อผ้าแล้วเปลี่ยนชุดด้วยความรวดเร็ว เสื้อผ้าของนางล้วนแต่มีเนื้อผ้าธรรมดา รูปแบบเก่าล้าสมัย อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าเด็กสาวออกเดินทางเร่ร่อนตัวคนเดียวสวมใส่ผัดหน้าเรียบง่ายได้ก็ให้เรียบง่ายเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นด้วยใบหน้างดงามของนางจะก่อให้เกิดความยุ่งยากมากมาย
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเยี่ยจื่อชิวก็ค้นห่อผ้าจนทั่ว ค้นออกมาเจอเพียงเหรียญทองแดงสิบเหรียญ นางมองทรัพย์สินทั้งหมดที่มีในฝ่ามือด้วยความกลัดกลุ้ม ขมวดคิ้วสับสนอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็กัดฟันคว้าห่อผ้าออกเดินทาง
ไม่มีอะไรตกถึงท้องเป็นเวลาเกือบสิบชั่วยามแล้ว ปีศาจหรือไม่ใช่ปีศาจอะไรกัน ต่อหน้าความหิวโหย ความหวาดกลัวจะนับเป็นสิ่งใด!
Comments
