เดินไปได้หนึ่งเค่อ* กว่าเยี่ยจื่อชิวก็หยุดนิ่ง ก่อนมองดูผู้คนกำลังกินข้าวอยู่หลังหน้าต่างกระจกโปร่งใสด้วยดวงตาเปล่งประกาย
‘ที่นี่แล้วกัน’ เยี่ยจื่อชิวกำเหรียญทองแดงสิบเหรียญในมือแน่น เกิดความมั่นใจในฉับพลัน สาวเท้ายาวเข้าไปข้างในด้วยความกล้าหาญ
‘แมคโดนัลด์ยินดีต้อนรับค่ะ’ เมื่อเห็นลูกค้าเข้ามาในร้าน พนักงานก็กล่าวต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที
เยี่ยจื่อชิวสวมใส่ชุดจอมยุทธ์หญิงแบบโบราณ เรียกสายตาที่มีทั้งความประหลาดใจและเย้ยหยันของผู้คนในทันทีที่นางเดินเข้ามา
ทั้งวันมานี้เยี่ยจื่อชิวคุ้นชินกับสีหน้าท่าทางแบบนี้แล้ว นางเลือกนั่งบริเวณที่ไม่มีคน กระแอมทำความสะอาดลำคอก่อนตะโกน
‘เสี่ยวเอ้อร์ เอาซาลาเปามาสองลูก แล้วก็เอานารีแดง สองตำลึง’
สิ้นคำกล่าว ร้านอาหารที่นับว่าค่อนข้างเงียบก็เงียบสงัดลงอีก ทุกคนต่างจดจ้องเยี่ยจื่อชิวราวกับมองคนโง่
ผ่านไปครู่หนึ่งไม่รู้ว่าใครอดกลั้นไม่ไหวหัวเราะเสียงอู้อี้ขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงลอบหัวเราะทยอยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เยี่ยจื่อชิวไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตมองไปมาอยู่หลายรอบ ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม
คุณป้าที่กำลังทำความสะอาดเห็นเยี่ยจื่อชิวทำหน้าโง่งมจึงชี้ไปทางเคาน์เตอร์แล้วบอกว่า ‘ไปสั่งอาหารตรงนั้น’
‘สวัสดีค่ะ กรุณาสั่งอาหารตรงนี้นะคะ’ เนื่องจากใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ในร้านจึงมีคนน้อย บริเวณที่สั่งอาหารมีพนักงานหญิงอยู่เพียงคนเดียว เวลานี้กำลังร้องทักเยี่ยจื่อชิวด้วยรอยยิ้ม
‘หา? อ๋อๆ’ คำถามภายในใจของเยี่ยจื่อชิวไม่ได้ลดน้อยลง นางลงจากเขาตามหาศิษย์พี่มานานถึงสามปีก็ไม่เคยพบร้านอาหารใดพิถีพิถันถึงเพียงนี้มาก่อน
พอเดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์ เยี่ยจื่อชิวก็กล่าวคำเมื่อครู่ซ้ำอีกรอบ ‘เอาซาลาเปาสองลูกแล้วก็นารีแดงสองตำลึง’
รอยยิ้มหวานบนใบหน้าพนักงานแตกสลายในทันใด สายตาจดจ้องอยู่ที่เสื้อผ้าและกระบี่ยาวบนหลังของเยี่ยจื่อชิว สุดท้ายก็จดจ้องดวงตาของเด็กสาว
‘ขอโทษนะคะ พวกเราขายแค่พวกแฮมเบอร์เกอร์กับปีกไก่ ไม่ได้ขายของที่คุณสั่งค่ะ’
‘ไม่ขายงั้นหรือ’ ใบหน้างดงามของเยี่ยจื่อชิวง้ำงอ อาหารที่นางสั่งไปทั้งหมดน้อยมาก ซาลาเปาสองลูกยังไม่พอยัดใส่ร่องฟันด้วยซ้ำ นารีแดงสองตำลึงนางอยากเอามาใช้ปลอบขวัญ อาหารเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของราคาถูกมาก ไม่เข้าใจเลยว่าร้านอาหารที่พิถีพิถันถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่มีขาย
‘ใช่ค่ะ’
‘เช่นนั้นเงินสิบตำลึงซื้ออะไรกินได้’ จบคำกล่าว ท้องก็ส่งเสียงโครกๆ ดังลั่น เยี่ยจื่อชิวอยากหาที่มุดเข้าไปด้วยความอับอาย
‘สิบตำลึง?’ คราวนี้พนักงานหัวเราะไม่ออก เธอมองเยี่ยจื่อชิวอย่างจริงจัง ‘คุณมาที่นี่เพื่อก่อความวุ่นวายใช่ไหม!’
ฟังคำนี้จบในใจเยี่ยจื่อชิวพลันตื่นตระหนก เงยหน้าขึ้นทันใด นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า ‘แม่นางกล่าวสิ่งใด ข้าเดินเท้ามาทั้งวันยังไม่ได้กินอาหาร เวลานี้ท้องหิวจนเหลือทน จนใจที่ในมือมีเพียงเงินเท่านี้แล้ว’
เยี่ยจื่อชิวกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดพลางวางเหรียญทองแดงสิบเหรียญที่กำจนอุ่นลงบนเคาน์เตอร์เบาๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายสายตาไปจากพวกมันได้ คล้ายกับว่าเหรียญทองแดงเหล่านี้เป็นกระดูกและเนื้อของนางที่กำลังจะลาจากไป
พนักงานดวงตาวาววาบ หยิบเหรียญเหรียญหนึ่งขึ้นมาดูว่าเป็นของยุคสมัยไหน วางแผนว่าหากเหรียญทองแดงมีราคา เธอก็จะนำเงินสดมาแลกเปลี่ยน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของพนักงานเมื่อเห็นเหรียญทองแดง แต่หลังจากได้เห็นตัวอักษรบนเหรียญ ใบหน้าก็พลันดำคล้ำราวกับก้นหม้อ เธอหยิบเหรียญเก้าเหรียญที่เหลือขึ้นมาดูทีละเหรียญ ทุกครั้งที่ดูเหรียญหนึ่งสีหน้าก็ดำคล้ำขึ้นหนึ่งส่วน เธอปัดเหรียญทองแดงที่น่าโมโหทั้งหมดกลับไปตรงหน้าเยี่ยจื่อชิวอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
‘เธอหมายความว่ายังไง’
เดิมทีคิดว่าสี่ด้านของเหรียญทองแดงจะสลักด้วยตัวหนังสือ ‘เหรียญกษาปณ์คังซี’ หรือ ‘เหรียญกษาปณ์เฉียนหลง’ อะไรพวกนั้น ใครจะคิดว่าเหรียญทองแดงนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง บนเหรียญสลักตัวอักษรแวววับสี่ตัวว่า ‘กิน ดื่ม เล่น สนุก’
‘ไอ้หยา’ เยี่ยจื่อชิวประคองเหรียญทองแดงด้วยความรักสุดหัวใจ นางเหลือบมองพนักงานอย่างไม่พอใจ ‘นี่เป็นถึงทรัพย์สินอย่างเดียวที่ข้ามี ปัดเสียหายไปเจ้าจะชดใช้งั้นหรือ!’
‘เสียหายไปจะเป็นอะไร เงินปลอมเสียหายไปฉันยังได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม!’ พนักงานคร้านจะต่อล้อต่อเถียงแล้ว หันหน้าได้ก็ตะโกนเรียกเสียงสูง ‘ผู้จัดการคะ ตรงนี้มีพวกต้มตุ๋นค่ะ!’
‘เงินปลอมหรือ’ ใบหน้าเยี่ยจื่อชิวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางจดจ้องพลางเอ่ยถาม ‘ข้าเยี่ยจื่อชิวไม่เคยใช้เงินปลอมมาก่อน! เจ้าว่านี่คือเงินปลอมงั้นหรือ มีหลักฐานหรือไม่ นำหลักฐานมาไม่ได้ก็คือเจ้าเจตนาใส่ความข้า จำต้องลากเจ้าไปพบทางการ ให้จวนว่าการตัดสินถูกผิด!’
คนที่กินอาหารในร้านแมคโดนัลด์เหลือไม่ถึงสิบคน รวมกับพนักงานที่ทำงานอยู่ก็ไม่เกินสิบห้าคน ตรงนี้เกิดความวุ่นวายขึ้น ทุกคนต่างก็หยุดมือที่กำลังกินอาหารแล้วมองมา ทุกครั้งที่เยี่ยจื่อชิวกล่าวประโยคที่ ‘ผิดปกติ’ ออกมา ในใจของคนไม่กี่คนเหล่านี้ก็หัวเราะเยาะขึ้นหนหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจพนักงานคนนั้น