‘มาแล้ว มีเรื่องอะไร’ ชายอายุประมาณสามสิบคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามา
‘ผู้จัดการดูสิ คนคนนี้น่ะค่ะ’ พนักงานชี้มายังเยี่ยจื่อชิวเป็นการต่อว่า ‘แต่งตัวแบบนี้มาสั่งซาลาเปากับนารีแดงที่นี่ ทำทีเป็นว่ามาจากยุคโบราณ! เอาเหรียญทองแดงปลอมมาซื้อของ เห็นหนูเป็นคนโง่! ข่มขู่ว่าจะลากตัวหนูไปจวนว่าการ แน่ใจเหรอคะว่าตัวเองไม่ได้กำลังละเมออยู่น่ะ’
‘ตัวเองๆๆ ตีสนิทกับข้าให้น้อยๆ หน่อย!’ เยี่ยจื่อชิวเองก็เดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน นางวางเหรียญทองแดงก่อนชี้พลางกล่าวว่า ‘เหรียญทองแดงในราชวงศ์ตี้ของข้าหน้าตาเป็นเช่นนี้ เจ้ามาจากที่ใดจึงกล่าวว่าเป็นของปลอม สตรีผู้นี้รังแกข้าที่มาเยือนเป็นครั้งแรกอีกทั้งยังไร้ญาติขาดมิตร กระต่ายเมื่อถึงตาจนยังรู้จักกัดคน บีบคั้นให้ข้าตรงเข้ากัดเจ้า!’
จะยุแหย่ใครก็ไม่อาจยุแหย่คนหิว โดยเฉพาะกับคนที่หิวจนอยากจะแทะเปลือกไม้ เวลานี้ความกล้าของคนก็พุ่งสูงเป็นร้อยเป็นพันเท่า หากบอกว่าเยี่ยจื่อชิวซึ่งเพิ่งจะมาถึงเมืองนี้เป็นคนไร้ความสามารถ ขี้ขลาดราวกับหนูแล้วล่ะก็ นางในเวลานี้ก็ยิ่งเป็นดังอันธพาลหญิงที่ฮึกเหิม
‘ราชวงศ์ตี้งั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ’ ผู้จัดการหัวเราะเสียงแห้ง มองดูเยี่ยจื่อชิวที่เดือดดาลอย่างหมดคำพูด ‘น้องสาวผู้มาจากราชวงศ์ตี้ เธอมาผิดที่แล้ว พวกเราที่นี่อยู่ในราชวงศ์เทียน ประตูอยู่ทางนั้น ไปดีล่ะ ไม่ไปส่งล่ะนะ’
น้ำเสียงเสียดสีของผู้จัดการหนักหน่วงเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเยี่ยจื่อชิวไม่มีเวลาจะใส่ใจ เพราะความใส่ใจของนางถูกดึงดูดด้วยคำสองคำไปเสียแล้ว
‘ราชวงศ์เทียน?’ ความเดือดดาลเต็มหัวอกพลันถูกน้ำเย็นสาดจนมอดไปกว่าค่อนหนึ่ง แววตาเข้าใจค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ทำให้นางเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว
ปัจจุบันใต้หล้าแบ่งเป็นสองแคว้น…แคว้นเทียนกับแคว้นตี้ ได้ยินมานานแล้วว่าแคว้นเทียนเจริญรุ่งเรืองกว่าแคว้นตี้มากนัก วันนี้ได้มาเห็นก็สมคำเล่าลือจริงเสียด้วย ที่นี่เจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งปีศาจขนสีต่างๆ ที่พ่นควันสีขาวออกจากปากยังเยอะเสียยิ่งกว่ากระต่าย
เยี่ยจื่อชิวกะพริบตา เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ‘ที่นี่คือราชวงศ์เทียนจริงหรือ เจ้าไม่ได้โป้ปดข้านะ’
‘เธอเห็นทุกคนเป็นเหมือนกับเธอไปหมดหรือไง เอาเหรียญทองแดงปลอมมาหลอกกินหลอกดื่ม บนเหรียญทองแดงยังสลักว่า ‘กินดื่มเล่นสนุก’ อย่างนั้นสมอง ‘ฮ่องเต้’ ของเธอเลอะเลือนแล้วล่ะ!’ พนักงานกลอกตาใส่เยี่ยจื่อชิวอยู่หลายหน
‘สมองเลอะเลือน’ ได้ยินเข้าก็โยงไปถึงความหมายที่ว่าสมองพิการ สิ่งนี้นางเข้าใจ!
เมื่อโอรสสวรรค์ถูกดูแคลน เยี่ยจื่อชิวก็บันดาลโทสะ ชักกระบี่ยาวออกมาพร้อมตวาด ‘บังอาจ! ดูแคลนบรรพบุรุษราชวงศ์ตี้ ข้าจะตัดลิ้นเจ้าไปให้สุนัขกิน!’
‘แม่เจ้า!’ พนักงานหวีดร้องเสียงหลงพลางทรุดนั่งลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมศีรษะเอาไว้ ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดตื่นตกใจ ต่างวิ่งหนีกันราวกับผึ้งแตกรัง ภายในร้านเหลือเพียงพนักงานปฏิบัติงานที่อยากจะหนีก็หนีไปไม่ได้
‘อย่าคิดว่าเจ้าเป็นสตรีแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ! เหรียญทองแดงนี้ที่ราชวงศ์ตี้ของข้ามีใช้มานับหลายร้อยปี ไม่เคยมีปัญหามาก่อน คนหาเงินเพื่อเป้าหมายใด หากมิใช่เพื่อกินดื่มเล่นสนุกสี่คำนี้! อักษรทั้งสี่นี้ถูกกำหนดให้เป็นบรรพบุรุษแห่งการรู้แจ้ง! ราชวงศ์เทียนกับราชวงศ์ตี้เดิมก็มีการค้าขายไปมาหาสู่กัน คนของราชวงศ์เทียนที่เคยเห็นเหรียญทองแดงของราชวงศ์ตี้มีไม่น้อย ที่ไม่เคยเห็นนั่นเป็นเพราะเจ้ามีความรู้เท่าหางอึ่ง! อึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้เผยให้เห็นถึงความไม่รู้ของเจ้า ไม่อับอายหรืออย่างไร!’ ปลายกระบี่ของเยี่ยจื่อชิวชี้ไปทางพนักงานที่นั่งไม่กล้าปริปากอยู่กับพื้น
‘ผมขอโทษท่านจอมยุทธ์หญิงแทนเธอด้วย’ ความกล้าหาญของผู้จัดการเทียบกับคนอื่นแล้วสูงกว่าสักหน่อย หลังจากตกอกตกใจไม่นานก็ได้สติคืนมา ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหรียญทองแดงอีก เพียงอยากอัญเชิญพระใหญ่องค์นี้ไปให้ไวที่สุด เขาแสดงท่าทีเป็นมิตรเป็นอย่างมาก ‘จอมยุทธ์หญิงบอกว่าเหรียญทองแดงเป็นของจริง เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ของปลอม เพียงแต่ว่าร้านเราไม่รับเงินประเภทนี้ ขออภัยด้วย ได้โปรดเห็นแก่ที่ดึกดื่นขนาดนี้พวกเรายังคงทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ขอความเมตตาท่านปล่อยพวกเราไปเถอะ ผมจะให้เธอกล่าวขอโทษท่าน’
ได้รับสายตาที่ผู้จัดการส่งให้ พนักงานก็อดกลั้นความโกรธเคืองกล่าวขอโทษ ‘ขอโทษค่ะ ฉันประสบการณ์ยังน้อย จอมยุทธ์หญิงได้โปรดคลายความโกรธด้วย’
เยี่ยจื่อชิวเป็นคนชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง เห็นว่าอีกฝ่ายยอมแพ้ให้ก่อนเธอก็เก็บกระบี่ ฮึดฮัดเสียงหนึ่งแล้วกล่าวตักเตือน