“สาวน้อย ฟ้ามืดมากแล้วกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง อีกอย่างฉันแซ่โม่ชื่อเหยา ไม่ได้ชื่อ ‘ศิษย์พี่’ อย่าได้ตามฉันมาอีกเลยนะ” กล่าวจบก็ยืดตัวหยิบกระเป๋าเงินมาจากบนเบาะคนขับ หยิบแบงก์สีแดงสามใบออกมาแล้วยื่นให้พลางกล่าว “เงินพวกนี้เธอรับเอาไว้ รีบกลับไปซะเถอะ”
เยี่ยจื่อชิวได้ฟังก็ร้องไห้ในทันที เธอไม่ได้รับสิ่งที่เรียกว่าเงินจากโม่เหยา แต่กลับร้องไห้พร้อมทั้งกล่าวว่า “เยี่ยจื่อเดินทางไกลนับพันหลี่ เพื่อตามหาศิษย์พี่มาสามปี ไร้คุณงามความดีทั้งยังยากลำบาก เยี่ยจื่อไร้คนรู้จักไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้ มีศิษย์พี่เป็นญาติมิตรเพียงคนเดียว เยี่ยจื่อทำได้เพียงติดตามศิษย์พี่ไป ไม่ห่างไกลไม่ทอดทิ้ง ข้าเกิดมาเป็นคนของศิษย์พี่ ตาย…ตายก็เป็นผีของศิษย์พี่ ฮือๆ…”
“พูดอีกครั้งนะ ฉันชื่อโม่เหยา ไม่ได้ชื่อ ‘ศิษย์พี่’!” โม่เหยารู้สึกคันยุบยิบที่หมัด อยากจะต่อยคนเสียเหลือเกิน
“ชื่อของศิษย์พี่ก็คือโม่เหยา เยี่ยจื่อศิษย์น้องของท่านก็เป็นคู่หมั้นของท่านด้วย เมื่อสิบแปดปีก่อนบิดามารดาของพวกเราหมั้นพวกเราไว้ตั้งแต่ยังเล็ก!” สีหน้าของเยี่ยจื่อชิวราวกับเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ถูกหนุ่มเจ้าสำราญทอดทิ้ง
โม่เหยาสีหน้าคร่ำเคร่ง ยัดเงินใส่ในมือของเด็กสาวลวกๆ พลางเม้มริมฝีปากเข้าไปนั่งในตัวรถ ปิดประตูรถเสียงดังปัง เยี่ยจื่อชิวยังไม่ทันได้โต้ตอบเขาก็ขับรถออกไปแล้ว
“ศิษย์พี่!” เยี่ยจื่อชิวเห็นอย่างนั้นก็ตื่นตระหนก ไม่มีเวลาให้คิดมาก ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าการหิวมาทั้งวันจะส่งผลกระทบต่อเรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก ความเร็วไม่เท่าแต่ก่อน แต่พอรถวิ่งขึ้นมาก็ต้องมีขั้นตอนในการเพิ่มความเร็ว เขาจึงเสียเวลาไปเล็กน้อย และช่วงเวลานี้เองที่มอบโอกาสให้กับเยี่ยจื่อชิว เวลานี้นางเห็นโม่เหยาเป็นผู้ช่วยชีวิต ยากเย็นกว่าจะได้พบเจอ มีหรือจะปล่อยให้เขาจากไป!
เยี่ยจื่อชิวก้าวเท้าราวกับเหาะเหิน เป็นดั่งลูกธนูบินถลาเข้าหารถของโม่เหยา หากมีคนเห็นภาพเหตุการณ์นี้จะต้องคิดว่าตนเองยังหลับไม่ตื่น วิชาตัวเบาแบบนี้ถึงอย่างไรก็ปรากฏอยู่แค่ในละครหรือนิยายเท่านั้น
ขณะที่รถเพิ่งจะเข้าโค้ง เยี่ยจื่อชิวก็ตามมาทัน มือทั้งสองคว้าหลังคารถไว้อย่างรวดเร็ว เพียงเท้าเหยียบพื้น ทั้งตัวคนก็มุดเข้าไปในตัวรถอย่างฉับไวทางกระจกรถที่เปิดกว้างอยู่ ก่อนจะนั่งลงบนเบาะข้างคนขับ
เสียงรถเบรกบาดหูดังขึ้นด้วยความรวดเร็ว ทิ้งรอยเบรกยาวเหยียดไว้บนถนน
ตึง! เยี่ยจื่อชิวที่ไม่ทันได้นั่งให้มั่นคงศีรษะก็กระแทกกับกระจกหน้ารถอย่างรุนแรง
“โอ๊ย!” นางยกมือนวดหน้าผากตรงที่รู้สึกเจ็บ กล่าวต่อว่าออกมาจากใจ “เจ้ากล่องเหล็กนี่ช่างยอดเยี่ยมนัก ทำร้ายคนได้โดยไม่ทันตั้งตัว ยากที่จะป้องกันตัวได้จริงๆ จริงสิศิษย์พี่ ขอคำชี้แนะสักคำถาม ในเมื่อไม่มีม้าลากและไม่มีคนผลัก เหตุใดเจ้าสิ่งนี้จึงแล่นได้เล่า” เยี่ยจื่อชิวถามคำถามที่รู้สึกข้องใจมาตลอดทั้งวัน
โม่เหยาคล้ายกับไม่ได้ยิน เพียงมองหญิงสาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ใบหน้าหล่อเหลาครู่เดียวก็ซีดขาว ดวงตาดำสนิทฉายแววไม่อยากเชื่อ ใบหน้าที่มักจะทำให้ผู้หญิงเคลิบเคลิ้มหลงใหลตอนนี้ดูเซ่อซ่าไปเลย
ระหว่างความเงียบงัน หยาดเหงื่อเย็นก็ค่อยๆ ไหลรินจากจอนผม โม่เหยารู้สึกว่าหัวใจเต้นตึงตังไม่หยุด สายตาที่มองเยี่ยจื่อชิวคล้ายกับว่าเป็นผีสาวที่ปีนออกมาจากบ่อน้ำอย่างไรอย่างนั้น
หน้าผากเกลี้ยงเกลาของเยี่ยจื่อชิวถูกกระแทกจนนูนปูดแดงมีขนาดเท่ากำปั้น อย่างกับแมลงวันที่เกาะบนแป้งสีขาว ดูน่าขบขันเป็นพิเศษ
“อย่างไรวรยุทธ์ของศิษย์พี่ก็แข็งแกร่งกว่า เยี่ยจื่อชิวนับถือ นับถือ”
เยี่ยจื่อชิวลืมเรื่องที่ ‘ถูกทอดทิ้ง’ ก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว นางยกมือประสานคารวะให้โม่เหยาที่ไม่ขยับเขยื้อน แววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมเพราะในตอนที่นางพุ่งไปข้างหน้านั้น ร่างกายของศิษย์พี่ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่แหละคือความแข็งแกร่ง!
โม่เหยาค่อยๆ ได้สติกลับมาบ้างแล้วหลังจากเจอเหตุการณ์ที่น่าตกใจ เขารีบร้อนคว้าน้ำแร่ไปดื่มครึ่งขวด หลังจากดื่มน้ำไปแล้วเขาก็ไม่รู้สึกว่าคอแห้งอีก สติก็ผ่อนคลายลง
“เธอมาจากไหนกันแน่น่ะ ศิษย์หลวงจีนวัดเส้าหลิน? แม่ชีกวาดสำนักชี?” โม่เหยาพิจารณาเด็กสาวด้วยความสงสัย นึกถึงการกระทำน่าหวาดเสียวที่เธอเพิ่งจะ ‘เหาะเหิน’ ด้วยความเร็วมุดเข้ามาในรถ จิตใจก็สั่นไหวขึ้นมาอีก
ตอนที่กระโดดแม่น้ำลงไปช่วยเหลือคน เขาคิดว่าเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวดูแคลนชีวิต ไม่สนความรู้สึกของคนในครอบครัว ทว่าหลังจากช่วยเหลือแล้วท่าทาง ‘กระตือรือร้นอย่างแรงกล้า’ อีกทั้งท่วงทีแบบนั้นก็ทำให้เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงเสียสติไร้การศึกษา ตอนที่เธอเกาะแกะเขาไม่ยอมปล่อย เขาคิดเอาว่าตัวเองเจอกับพวกหลอกเอาเงิน คิดเพียงว่าจะใช้เงินไล่เธอไป แต่ในเวลานี้เขารู้สึกว่าที่คาดเดาไปก่อนหน้านี้ล้วนผิดไปหมด เธอมาจากดาวเสาร์แน่! คนบนโลกจะเพี้ยนขนาดนี้ได้อย่างไร