ปอกกระเทียมเสร็จ โม่เหยาก็ให้เธอคัดเลือกผัก คัดเลือกผักเสร็จแล้วก็ให้เธอจัดวางชามกับตะเกียบ พอจัดวางชามกับตะเกียบเสร็จก็ยังให้เธอนำผ้าห่มออกมาให้โม่เหยียนเหยียน
สรุปคือตลอดเวลาจนกระทั่งกินข้าวเสร็จ เยี่ยจื่อชิวยุ่งจนไม่มีเวลาพูดคุยกับโม่เหยียนเหยียนเลย
มื้อเย็นโม่เหยาตุ๋นซี่โครงหมู นึ่งปลาน้ำใส แล้วเมนูผัดอีกสามอย่างเสริมด้วยน้ำแกงอย่างหนึ่ง สรุปได้ว่าหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง
เยี่ยจื่อชิวสรรเสริญเยินยอโม่เหยาเป็นอย่างมาก กินอาหารทุกอย่างไปเยอะทีเดียว
“ฝีมือการทำอาหารของพี่ฉันก็งั้นๆ มาตลอด ทำไมเธอถึงกินอย่างกับว่าเขาทำอาหารรสเลิศที่สุดในโลกอย่างนั้นล่ะ” เห็นเยี่ยจื่อชิวเจริญอาหาร โม่เหยียนเหยียนที่กินอาหารทุกจานอย่างละนิดรู้สึกไม่เข้าใจ
“ใครว่ากันล่ะ” เยี่ยจื่อชิวกลืนอาหารในปาก กล่าวตอบโต้ว่า “กับข้าวที่ศิษย์พี่ทำอร่อยมาก เยี่ยจื่อชอบมากๆ”
“ซี่โครงหมูนี่เวลาตุ๋นไม่พอ ไม่ค่อยเข้าเนื้อ” โม่เหยียนเหยียนกล่าว
“ไม่นะ ตุ๋นเละเกินไปจะเลี่ยนเอาได้ แบบนี้กำลังดี”
“เครื่องในปลานี่น่าจะไม่ได้ล้างให้ดี กินเข้าไปแล้วขมนิดหน่อย”
“ขมถึงจะดี ล้างกระเพาะบำรุงจิตใจ”
“เหตุผลอะไรกันเนี่ย ใครเป็นคนพูด ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน” โม่เหยียนเหยียนถาม
“ฉันพูดเอง”
“…” โม่เหยียนเหยียนกลอกตา ไม่สนใจว่าสีหน้าของโม่เหยาจะดำคล้ำแค่ไหน เธอชี้ไปยังผัดถั่วแขกอย่างจับผิด “ถั่วแขกพวกนี้ไม่ได้คัดเลือกให้ดี ส่งผลต่อรสสัมผัสมาก”
“ฉันเป็นคนเลือกเอง อย่าโทษศิษย์พี่!” เยี่ยจื่อชิวแบกรับความผิดชอบอย่างกล้าหาญ
โม่เหยียนเหยียนหมดคำจะพูด มองโม่เหยาที่ถลึงตาจ้องเธอที่พูดจู้จี้จุกจิกอย่างไม่อาย “พี่ พี่มีสุดยอดแฟนคลับแล้วนะ”
โม่เหยาได้ฟังก็มองไปทางเยี่ยจื่อชิวที่กำลังตั้งอกตั้งใจกินข้าว สีหน้าเขาผ่อนคลายลง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“ศิษย์พี่ทำงานข้างนอกมาทั้งวัน กลับมาก็ยังต้องทำอาหาร เหนื่อยยากอย่างแท้จริง พวกเราต้องเห็นใจเขา อีกอย่างกับข้าวที่ทำก็อร่อยอยู่ชัดๆ นี่นา” เยี่ยจื่อชิวชำเลืองมองโม่เหยียนเหยียนที่เอาใจยากอย่างไม่พอใจ
“เธอนี่มันหลับหูหลับตาเลื่อมใส!” โม่เหยียนเหยียนพึมพำ
“เดิมทีศิษย์พี่ก็ดีอยู่แล้ว!”
รอยยิ้มของโม่เหยากว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาที่มองไปทางเยี่ยจื่อชิวแฝงความอบอุ่นจางๆ เขาคีบซี่โครงหมูใส่ในชามของเธอเป็นครั้งแรก
เยี่ยจื่อชิวมองซี่โครงหมูในชามอย่างตกตะลึง จากนั้นก็กอดชามพูดอย่างขวยเขินและซาบซึ้งใจ “ศิษย์พี่ ท่านดีจริงๆ”
“อะแฮ่ม” โม่เหยากระแอมอย่างกระอักกระอ่วน ตีหน้านิ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว กินข้าวดีๆ”
เยี่ยจื่อชิวผงกศีรษะ ไม่พูดอะไรอีกจริงๆ
เนื่องจากห้องนอนแขกถูกโม่เหยาดัดแปลงให้เป็นห้องหนังสือและใช้ทำงาน ดังนั้นโม่เหยียนเหยียนจึงต้องนอนห้องเดียวกับเยี่ยจื่อชิว
เมื่อถึงเวลานอน เยี่ยจื่อชิวล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็พูดกับโม่เหยียนเหยียนที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง
“มีประโยคหนึ่งอยากจะพูดตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้พูดเลย พูดตอนนี้ก็ไม่สาย”
“พูดอะไรเหรอ” โม่เหยียนเหยียนละสายตาจากโทรศัพท์มือถือแล้วเอ่ยถาม
“คิกๆ” เยี่ยจื่อชิวคลานขึ้นไปบนเตียงด้วยความว่องไว นั่งลงแนบชิดกับโม่เหยียนเหยียน “เหยียนเหยียน ฉันอยากเพ่านิวเธอ”
แววตาของโม่เหยียนเหยียนฉายความตะลึงงัน “เธอว่ายังไงนะ ฉันฟังไม่ชัด”
“ฉันบอกว่าฉันชอบเธอมาก เห็นเธอครั้งแรกก็ชอบเลย ฉันอยากเพ่านิวเธอ!” เยี่ยจื่อชิวจับแขนของโม่เหยียนเหยียนอย่างสนิทสนม
“แม่เจ้า!” โม่เหยียนเหยียนร้องเสียงแหลม โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้วพลิกตัวหนีลงจากเตียงด้วยความลุกลี้ลุกลน กระทั่งรองเท้าก็ไม่สนใจจะใส่ เธอวิ่งเท้าเปล่าหนีออกมาจากห้องพลางตะโกนลั่นด้วยความหวาดผวา “พี่! ฉันไม่อยากนอนเตียงเดียวกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ปลอดภัย!”