With Love
ทดลองอ่าน ร้อยพันหมื่นปีขอมีแค่เธอ บทที่ 3
“ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตหนึ่งของสตรีก็คือแต่งงานกับบุรุษที่ดี ช่วยเหลือสามีเลี้ยงดูลูก สตรีเมื่อถึงวัยก็ต้องแต่งงาน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรตามก็จะกลายเป็นที่น่าขบขันของผู้คน”
โม่เหยาแทบจะกลอกตา เขาทำอาหารต่อโดยไม่พูดอะไร
“ศิษย์พี่ ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่!” เยี่ยจื่อชิวกล่าวจนปากแห้งลิ้นแห้ง แต่อีกฝ่ายทำราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น นางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
“ได้ยินแล้ว”
“ได้ยินแล้วท่านไม่อยากพูดอะไรหรอกหรือ”
“มีอะไรน่าพูดกันล่ะ สิ่งเดียวที่อยากพูดคือต่อไปเธอดูละครทีวีไร้สาระพวกนี้ให้น้อยลงหน่อย ดูละครยุคปัจจุบันทำความเข้าใจกับสังคมนี้ให้มากๆ”
“ละครยุคปัจจุบันเยี่ยจื่อดูไม่เข้าใจ ดูได้เพียงละครเช่นนี้ ศิษย์พี่ท่านอย่าเปลี่ยนเรื่อง” เยี่ยจื่อชิวเบะปากด้วยความไม่พอใจ “อีกครึ่งปีเยี่ยจื่อก็จะอายุสิบเก้าเท่ากับหญิงสาวในละครแล้ว! หรือศิษย์พี่จะทนมองดูข้าถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าแก่ถึงเพียงนี้แล้วยังไม่แต่งงานงั้นหรือ”
หลังจากพูดอ้อมไปอ้อมมา ในที่สุดก็กล่าวจุดประสงค์ออกมาเสียที โม่เหยาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาตักถั่วแขกผัดกระเทียมใส่ในจานแล้วพูดกับเด็กสาว
“ที่นี่ไม่นิยมแต่งงานเร็ว เธออายุเท่านี้ไม่แก่สักนิด กลับกันยังเด็กอยู่มาก”
พูดไปพูดมาก็คือไม่อยากทำตามสัญญาหมั้นหมายและแต่งงานกับข้า!
เยี่ยจื่อชิวน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง ขอบตาแดงระเรื่อพลางกล่าว “เยี่ยจื่อมาแคว้นเทียนได้แปดวันแล้ว ยังไม่เคยพบท่านลุงท่านป้าเลย ว่ากันว่าลูกสะใภ้ขี้เหร่อย่างไรก็ต้องเจอพ่อแม่สามี นานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่มีโอกาสคารวะสักหน ท่านลุงท่านป้าจะหาว่าเยี่ยจื่อไม่รู้ความเอาได้”
โม่เหยาสีหน้าเย็นเยียบในทันที “แม่ของฉันตายไปเมื่อสองปีก่อน ส่วนพ่อฉัน…ตอนนี้มีความสุขมาก!”
เยี่ยจื่อชิวได้ฟังก็ตกอกตกใจ รีบก้มหน้าลงดึงปลายแขนเสื้อของเขาพลางกล่าวขอโทษด้วยความไม่สบายใจ “ศิษย์…ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อไม่ได้ตั้งใจกล่าวถึงท่านป้า ขออภัยด้วย”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหรอก ตอนนี้ฉันออกมาอยู่ที่นี่ ยังไม่มีความคิดจะกลับไปช่วงนี้” เมื่อพูดถึงคนในครอบครัว น้ำเสียงของโม่เหยาก็ค่อนข้างเย็นชา
“อ้อๆ” เยี่ยจื่อชิวพยักหน้ารัวๆ ลอบโทษตัวเองว่าทำให้ศิษย์พี่ไม่เบิกบานใจ
“มายกกับข้าวไป” โม่เหยาออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวทำผิดไป อดรนทนไม่ไหวอยากจะทำตัวดีๆ เสียหน่อย ได้ฟังก็รุดหน้าขึ้นยกกับข้าวไปวางบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบชามกับตะเกียบไปวางอย่างดี หลังจากทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้วหางตาก็ลอบมองชายหนุ่ม ท่าทีระมัดระวังคล้ายกับเด็กอนุบาลตัวน้อยที่ทำอะไรผิดแล้วถูกครูตำหนิ
โม่เหยาเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ความเยียบเย็นในดวงตาค่อยๆ เลือนหาย เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น
“เธอไม่ต้องเจอพ่อของฉันหรอก แต่เจอคนอื่นๆ ได้ พรุ่งนี้ลูกพี่ลูกน้องของฉันจะมา ลูกพี่ลูกน้องดีกับฉันมาตั้งแต่เด็ก คงช่วยสอนบางอย่างให้เธอได้”
“อ๋า ญาติผู้น้องจะมาหรือเจ้าคะ” เยี่ยจื่อชิวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวล สองมือจับตามร่างกาย จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทางเศร้าซึม “ญาติผู้น้องจะมาแล้ว พบกันครั้งแรกควรเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ให้จึงจะถูก แต่…แต่ว่าทั้งตัวเยี่ยจื่อไม่มีสิ่งของใดหลงเหลือ นอกจากกระบี่เล่มหนึ่งแล้วก็ไม่มีของมีค่าใดอีก แต่กระบี่ก็มอบให้ไม่ได้ จะทำอย่างไรดี”
โม่เหยาอยากบอกว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือสิ่งที่ห้อยอยู่บนคอเธอนั่นแหละ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เยี่ยจื่อชิวโมโหเขาจึงไม่ได้พูดคำนี้ออกมา ส่ายศีรษะหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น
“ลูกพี่ลูกน้องอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี เธอจะเรียกว่าญาติผู้น้องไม่ได้ ควรจะเรียกพี่สาวถึงจะถูก”
“ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ควรเรียกข้าว่าพี่สะใภ้” เยี่ยจื่อชิวพึมพำเบาๆ
“เธอว่ายังไงนะ” โม่เหยาฟังไม่ชัด
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวพูดแล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาดอกท้อเป็นประกายขึ้นมาทันที นางมองโม่เหยาแล้วกล่าวว่า “เยี่ยจื่อวาดภาพเหมือนให้นางเป็นของขวัญสำหรับการพบกันได้ รอให้นางมาแล้วข้าค่อยวาด”
“เธอวาดรูปเป็นเหรอ” โม่เหยาถามด้วยความตกตะลึง
“แน่นอนเจ้าค่ะ!” เยี่ยจื่อชิวเลิกคิ้วพร้อมเชิดหน้าขึ้นกล่าวอย่างมั่นใจ “เยี่ยจื่อติดตามร่ำเรียนวิชาวาดภาพกับอาจารย์มาสิบกว่าปี ไม่กล้าเรียกตนว่าเป็นหญิงที่มีความรู้ความสามารถ แต่ว่าพิณ หมาก พู่กัน วาดภาพก็ยังถือว่ารู้ทั้งหมด”
“อ้อ พิณ หมาก พู่กัน วาดภาพล้วนเชี่ยวชาญทุกอย่างงั้นเหรอ” โม่เหยาวางดอกกะหล่ำที่หั่นไปครึ่งหนึ่งในมือ มองเด็กสาวอย่างไม่อยากเชื่อ
“ไม่ใช่ว่าเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่าง” เยี่ยจื่อชิวระงับสีหน้าอันภาคภูมิใจเอาไว้ ลูบใบหน้าแดงระเรื่อและกล่าวอย่างเขินอาย “สติปัญญาของเยี่ยจื่อมีจำกัด สิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นยังไม่ถึงหนึ่งหรือสองในสิบของความสามารถของอาจารย์ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่ารู้ ‘ทั้งหมด’ มิใช่ ‘เชี่ยวชาญ’ ”
เมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเด็กสาวแล้วโม่เหยาก็อยากหัวเราะ แต่เขาอดกลั้นเอาไว้และพูดอย่างใจกว้าง “ฟังดูแล้วอาจารย์ของเธอเก่งกาจน่าดู”
“อาจารย์ของข้าอะไรกัน” เยี่ยจื่อชิวกลอกตามองชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ กล่าวแก้ไขว่า “เป็น ‘อาจารย์’ ของพวกเราต่างหาก ศิษย์พี่ ต่อให้ท่านสูญเสียความทรงจำแต่จะทอดทิ้งสำนักไม่ได้!”
มุมปากโม่เหยากระตุกเล็กน้อย ประสบการณ์สองสามวันที่ผ่านมาเตือนเขาว่าอย่าได้ถกเถียงเรื่อง ‘สูญเสียความทรงจำ’ กับเด็กสาวคนนี้ ไม่อย่างนั้นเธอจะเอะอะโวยวายจนหูเขาไม่ได้สงบไปทั้งคืน
Comments
