เขากระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่า…สามารถสอนลูกศิษย์อย่างเธอได้ คิดว่าคนเป็นอาจารย์คงไม่ใช่คนธรรมดา”
“ใช่แล้ว!” เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณ เยี่ยจื่อชิวก็รู้สึกภาคภูมิใจในตนเองยิ่งนัก กล่าวอย่างหน้าชื่นตาบาน “อาจารย์ยังเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในยุทธภพ พิณ หมาก พู่กัน วาดภาพ บทกวีและบทเพลงล้วนเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง กระทั่งวรยุทธ์และธาตุทั้งห้า ยันต์แปดทิศล้วนอย่างรู้จริง! ไม่ว่าจะเป็นคนในแวดวงขุนนางหรือผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ เมื่อได้ยินชื่อของอาจารย์ต่างก็หวาดกลัวสุดขีด สำหรับพวกเขาแล้ว ยอมล่วงเกินฮ่องเต้ดีกว่าล่วงเกินอาจารย์!”
“ชื่อเสียงเลื่องลือขนาดนั้นเชียว?” โม่เหยาเลิกคิ้วแล้วยิ้มถาม “ในเมื่อใครๆ ก็ต่างหวาดกลัวเขา คิดว่านามจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่เลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เยี่ยจื่อชิวผงกศีรษะด้วยความลำพองใจ ยิ้มตาหยีแล้วกล่าวว่า “อาจารย์มีนามว่าเจินจื่อ!”
เจินจื่อ?
มีดหั่นผักเกือบหั่นมือ หางตาของโม่เหยามองเยี่ยจื่อชิวที่ยังคงภาคภูมิใจในตัวอาจารย์มากจนตัวเกือบจะลอย เขาอยากบอกจริงๆ ว่านาม ‘เจินจื่อ’ ก็ดังมากในยุคปัจจุบัน หาก ‘เจินจื่อ’ มาที่นี่จริงๆ ล่ะก็ ความปั่นป่วนคงเทียบได้กับการที่ดาวอังคารพุ่งชนโลกอย่างแน่นอน…
เพราะมีสิ่งให้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการในการแสวงหาความรู้ของเยี่ยจื่อชิวก็ทวีคูณมากขึ้นทุกที มีคำถามมากมายตามมาไม่ขาดสาย พอมีโอกาสก็จะจับตัวโม่เหยามาถามนู่นถามนี่ อย่างเช่น
คำถามที่หนึ่ง…
“ศิษย์พี่ เหตุใดคนเหล่านั้นในละครทีวีใช้กระบวนท่าวรยุทธ์โง่เง่าแท้ๆ แต่กลับต่อสู้จนอีกฝ่ายกระอักเลือดได้เล่า”
“พวกนั้นเป็นของปลอมทั้งนั้นแหละ”
“มีอย่างที่ไหนกัน! ละครทีวีปลอมยังปล่อยออกมาได้ เห็นว่าคนโง่งมกันหมดหรือไร!”
“มีแค่คนโง่อย่างเธอนั่นแหละที่ชอบดูอะไรที่เอาไว้หลอกคนพวกนี้ ในเมื่อทนดูไม่ไหว งั้นก็ไปดูข่าวสิ!”
“เฮ้อ เช่นนั้นเยี่ยจื่อแสร้งทำเป็นคนโง่ก็แล้วกัน…”
คำถามที่สอง…
“ศิษย์พี่ เมื่อวานเยี่ยจื่อดูทีวีได้ยินคนคนหนึ่งด่าทออีกคนว่า ‘หลอกเตี่ย’ ศิษย์พี่บอกว่าคนที่นี่จะเรียกท่านพ่อว่าป๊า ไม่ใช่เตี่ยหรอกหรือ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ด่าว่า ‘หลอกป๊า’ แต่เป็น ‘หลอกเตี่ย’ ล่ะ ‘หลอกป๊า’ ฟังดูห้าวหาญกว่าตั้งเยอะ!”
“นั่นเป็นคำศัพท์ที่ได้รับความนิยมบนอินเตอร์เน็ต มีความหมายว่าถูกหลอก ส่วนมากหมายถึงถูกคนอื่นหลอกหรือไม่ก็ถูกหยอกล้อ รู้ว่าหมายความว่าอะไรก็พอแล้ว ส่วนจะเป็น ‘หลอกเตี่ย’ หรือ ‘หลอกป๊า’ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องมากังวล”
“เยี่ยจื่อเชื่อฟังคำของศิษย์พี่ ไม่กังวลแล้ว ความรู้ใหม่ต้องเรียนตอนนี้ใช้ตอนนี้ถึงจะจำได้แม่นยำ ศิษย์พี่ฟังนะ ดูว่าความสามารถในการใช้อย่างว่องไวของเยี่ยจื่อเป็นอย่างไร” นางกระแอมในลำคออย่างเป็นจริงเป็นจัง จากนั้นก็ใช้คำว่า ‘หลอกเตี่ย’ มาแต่งประโยค “ระยะนี้เยี่ยจื่อดูละครทีวีที่ ‘หลอกเตี่ย’ มากมาย ความรู้สึกหลงใหลของฉันล้วนถูกพวกมัน ‘หลอกเตี่ย’ แล้ว ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อพูดถูกหรือไม่”
“…”
คำถามที่สาม…
“ศิษย์พี่ ‘เพ่านิว’* หมายความว่าอย่างไร เยี่ยจื่อรู้ว่า ‘นิว’ หมายถึงสตรี เช่นนั้นความหมายของ ‘เพ่า’ หมายถึงนำสตรีโยนลงไปแช่ในน้ำหรือ”
“…”
“ศิษย์พี่? ท่านไม่ตอบแสดงว่าท่านเองก็ไม่เข้าใจใช่หรือไม่”
“เรื่องดีๆ ไม่เรียน วันๆ สนใจแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ มันใช้ได้เหรอ!” ตำหนิเสร็จเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพูดอธิบายอย่างอ้อมค้อมว่า “ความหมายของ ‘เพ่านิว’ คำนี้น่ะ…จะว่ายังไงดี เข้าใจแค่ว่ามีความรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงคนหนึ่ง ดังนั้นจึงอยาก…ใกล้ชิดเธอ หวังจะสร้างความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกับเธอพอ”
“ศิษย์พี่มีความรู้จริงๆ ด้วย อะไรๆ ก็เข้าใจไปหมด”
ชายคนหนึ่งอับอายจนหน้าแดง
“ ‘เพ่า’ คำนี้ใช้ได้กับผู้หญิงเท่านั้นหรือ เช่นนั้นเยี่ยจื่ออยากใกล้ชิดกับศิษย์พี่มากๆ พูดว่าเยี่ยจื่ออยาก ‘เพ่า’ ศิษย์พี่ได้หรือไม่”
ชายคนหนึ่งโงนเงนเจียนจะหกล้ม
“ศิษย์พี่?”
ชายคนหนึ่งกัดฟันพูด “คำศัพท์นี้ใช้ได้กับผู้หญิงเท่านั้น!”
“อ้อ เยี่ยจื่อทราบแล้ว เมื่อญาติผู้น้องมา เพื่อเป็นการแสดงถึงการต้อนรับและความดีใจที่มีต่อนาง เยี่ยจื่อจะจำไว้ว่าต้องพูดกับนางว่า ‘ฉันอยากเพ่านิวเธอ’ ” หญิงคนหนึ่งกำหมัดเตือนตัวเองว่าต่อหน้าญาติผู้น้องต้องแสดงออกว่ากระตือรือร้นสักหน่อย นี่เป็นหน้าที่ของนางในฐานะ ‘นายหญิง’
ชายคนหนึ่งคลุ้มคลั่ง คำรามกับท้องฟ้า “ฉันทนไม่ไหวแล้ว!”