With Love
ทดลองอ่าน ร้อยพันหมื่นปีขอมีแค่เธอ บทที่ 3
เยี่ยจื่อชิวอุดอู้อยู่ในบ้านหลายวัน ความรู้สึกแปลกใหม่และความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้าในช่วงที่เพิ่งมาถึงเกี่ยวกับ ‘บ้าน’ หลังนี้ค่อยๆ หายไปหลังได้เรียนรู้ทุกอย่างหมดแล้ว แม้ว่าในโทรทัศน์จะมีรายการมากมาย ทว่าที่ชื่นชอบก็มีอยู่ไม่เท่าไร
เวลาดูโทรทัศน์เมื่อพบจุดที่ไม่เข้าใจนางก็จะตั้งใจจำเอาไว้แล้วค่อยไปถามโม่เหยาทีหลัง นางคิดว่าตัวเองเรียนอย่างขยันขันแข็ง แต่คนสอนช่างไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ตอนแรกยังสั่งสอนด้วยถ้อยคำดีๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ฉุนเฉียวในทันใด ทั้งๆ ที่นางเรียนรู้ได้เร็วมาก มักเรียนแล้วเอามาปรับใช้บ่อยๆ ศิษย์พี่ไม่ชื่นชมก็แล้วไป แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว
นิสัยแย่ ไม่มีความอดทน นี่คือข้อบกพร่องที่เยี่ยจื่อชิวสรุปให้กับนิสัยของโม่เหยา
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ศิษย์พี่ต่อให้ดีแค่ไหนก็เป็นคนเช่นกัน ไม่อาจสมบูรณ์แบบดังเช่นเทพเซียน นางเป็นคนใจคอกว้างขวาง จิตใจเปิดกว้างไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น จะไม่จู้จี้จุกจิกกับศิษย์พี่ที่อารมณ์เสียง่ายอย่างนี้ก็แล้วกัน
พอยืนอยู่ตรงระเบียงแล้วมองลงไปข้างล่าง เยี่ยจื่อชิวรู้สึกอึดอัดใจมาก อยากออกไปผ่อนคลายจิตใจ จนใจที่ศิษย์พี่ไม่อนุญาตให้นางออกไปตัวคนเดียว พูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า ‘สาวหน้าขาว’* ที่มีพลังทำลายล้างสูงแบบนาง ออกไปข้างนอกจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
‘สาวหน้าขาว’ น่าจะไม่ใช่คำพูดที่น่าฟังแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความหมายที่แสดงถึงความโง่เง่าของนาง แต่เยี่ยจื่อชิวเป็นคนมองโลกในแง่ดี เข้าใจเอาเองว่าศิษย์พี่ชมว่านางหน้าขาว ผิวพรรณดี
“ไม่ให้ออกจากบ้านน่าเบื่อยิ่งนัก วันคืนเช่นนี้มีอิสระเหมือนตอนท่องยุทธภพเสียที่ไหน”
เยี่ยจื่อชิวคิดถึงวันคืนก่อนหน้านี้ที่อยากไปไหนก็ไป อยากต่อยตีก็ต่อยตีได้อย่างสุขใจ ในใจก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะยั่วให้โม่เหยาโมโห นางอยากจะทำลายหน้าต่างป้องกันแล้วกระโดดลงจากระเบียงไปเที่ยวเล่นจริงๆ
หลังจากตั้งหน้าตั้งตารอคอย ในที่สุดก็ถึงช่วงกลางคืนที่โม่เหยากลับบ้านแล้ว แต่เขาไม่ได้กลับมาคนเดียว ยังพาลูกพี่ลูกน้องของเขามาด้วย
“สวัสดีค่ะญาติผู้น้อง” เยี่ยจื่อชิวเผยรอยยิ้มเป็นมิตรที่ฝึกฝนกับกระจกมานับครั้งไม่ถ้วน พร้อมยื่นมือขวาออกมาจะจับมือกับอีกฝ่าย นี่เป็นวิธีทักทายที่นางเรียนรู้มาจากโทรทัศน์
ญาติผู้น้องของโม่เหยาชื่อว่าโม่เหยียนเหยียน ปีนี้อายุสิบเก้า เพิ่งจะขึ้นมหาวิทยาลัยปีสอง มหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของโม่เหยา ดังนั้นเมื่อถึงวันหยุดหรือว่าวันไหนคาบเรียนน้อยก็มักจะมาพักที่นี่สักคืนสองคืน
“สวัสดีๆ” ท่าที ‘เป็นทางการ’ ของเยี่ยจื่อชิวทำให้โม่เหยียนเหยียนอดยิ้มไม่ได้ ยื่นมือขวาออกไปจับมือกับอีกฝ่าย
โม่เหยียนเหยียนหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับโม่เหยาเล็กน้อย ดวงตาก็คล้ายกันมาก ถึงหน้าตาจะไม่งดงามเท่าเยี่ยจื่อชิว แต่ก็ยังคงเป็นสาวสวย เวลายิ้มมีลักยิ้มเล็กๆ น่ารักสองข้าง น้ำเสียงคมชัด ดูแล้วเป็นสาวสวยที่ร่าเริงสดใสและสบายๆ สวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดแบบเรียบง่าย
ครั้งแรกที่เจอกัน เยี่ยจื่อชิวรู้สึกดีต่อญาติผู้น้องคนนี้มากทีเดียว
เมื่อโม่เหยาเข้าบ้านมาเห็นเสื้อผ้าที่เยี่ยจื่อชิวสวมใส่ก็ขมวดคิ้ว เมื่อคืนก่อนเขากำชับกับเธอแล้วว่ามีแขกมาหาต้องสวมเสื้อใส่กางเกงให้เหมาะสม ผลคือเธอต่อหน้าเชื่อฟังลับหลังกลับขัดขืน
เยี่ยจื่อชิวแต่งตัวเหมือนปกติ ยังคงสวมใส่ชุดคลุมนอนกับกางเกงสีขาวที่ตัวเองคิดว่าสบายที่สุด ชุดคลุมนอนสีม่วงอ่อนเนื้อผ้านุ่มละมุนเป็นชุดที่โม่เหยาซื้อให้ใหม่ แต่กางเกงเป็นสิ่งที่เยี่ยจื่อชิวนำติดตัวมาจากยุคโบราณ
การแต่งกายแบบนี้เป็นเรื่องปกติในสายตาของเยี่ยจื่อชิว แต่ในสายตาของโม่เหยียนเหยียนกลับแตกต่างออกไป! มีสาวสวยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของลูกพี่ลูกน้อง ตอนที่รู้เรื่องนี้เธอก็ประหลาดใจแทบแย่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถามหาเหตุผล เวลานี้เห็นอีกฝ่ายสวมชุดนอนในบ้านของลูกพี่ลูกน้อง…
ผู้หญิงต้องมีความสัมพันธ์แบบไหนถึงแต่งตัวแบบนี้ในบ้านของผู้ชายที่โตแล้วด้วยสีหน้าสบายๆ ขนาดลูกพี่ลูกน้องอย่างเธอหลังอาบน้ำเสร็จต้องจะนอนแล้วถึงเปลี่ยนไปใส่ชุดนอน ปกติเธอไม่มีทางปรากฏตัวต่อหน้าโม่เหยาในสภาพนี้แน่ๆ
“พวกพี่…” สีหน้าของโม่เหยียนเหยียนเต็มไปด้วยความคลุมเครือ สายตามองไปมาระหว่างโม่เหยากับเยี่ยจื่อชิว ในดวงตากลมโตคู่นั้นฉายแววลอบยิ้มให้กับชายหญิงที่แอบคบชู้กันคู่นี้
“คิดฟุ้งซ่านให้มันน้อยๆ หน่อย!” โม่เหยาเขกศีรษะเธอแล้วกวาดตามองเสื้อผ้าที่เยี่ยจื่อชิวสวมใส่ด้วยความไม่พอใจ “ลืมที่ฉันบอกไปแล้วหรือไง เธอเป็นศิษย์วัดเส้าหลิน ถูกภิกษุเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต จะสวมใส่แบบปกติได้ยังไงล่ะ”
เยี่ยจื่อชิวได้ยินคำพูดนั้นก็อ้าปากค้าง จากนั้นก็หุบลงอย่างไม่เต็มใจภายใต้สายตาตักเตือนของโม่เหยา ศิษย์พี่บอกว่านาง ‘ไม่เหมือนคนอื่น’ เกินไป ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแต่เป็นวรยุทธ์ ดังนั้นจึงกล่าวเตือนนางว่านอกจากเขาแล้วไม่อนุญาตให้นางพูดเรื่องใดๆ เกี่ยวกับแคว้นตี้ หากมีคนสงสัยก็บอกว่าตนเองเติบโตที่วัดเส้าหลิน
เพราะโม่เหยาบอกว่าถ้าเรื่องที่นางมาจาก ‘โลกยุคโบราณ’ ถูกคนนอกล่วงรู้เข้าล่ะก็ จะต้องถูกคนที่ทำการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์มัดตัวไปศึกษาค้นคว้าอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นจะมีชีวิตกลับออกมาอย่างสมบูรณ์หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ ตอนเขาพูดจาสีหน้าจริงจังเป็นที่สุด ทำให้นางจำเป็นต้องใส่ใจ ต่อให้ไม่พอใจที่อาจารย์ถูกพูดให้กลายเป็นภิกษุก็ห้ามแก้ต่าง
Comments
