เมื่อโม่เหยียนเหยียนถูกเตือนความจำก็เห็นได้ชัดว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ กล่าวทันทีว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ความเคยชินนี้ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ”
“สองสามวันนี้ถ้ามีเวลาก็สอนอะไรให้เธอหน่อย คิดซะว่าสอนเด็กอายุสามขวบก็ได้” โม่เหยากล่าวอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
เยี่ยจื่อชิวไม่พอใจ เบะปากคัดค้าน “ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อฉลาดกว่าเด็กสามขวบมากนัก อีกอย่างพิณ หมาก พู่กัน วาดภาพก็ต่างรู้ทุกอย่าง หากเปรียบกับเด็กสามขวบก็เก่งกาจกว่ามาก!”
“ทำไมเธอเรียกเขาว่าศิษย์พี่ พี่ชายของฉันหน้าตาเหมือนศิษย์พี่ของเธองั้นสิ” โม่เหยียนเหยียนนั่งอยู่บนโซฟา หยิบรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปพลางเอ่ยถาม
“หน้าเหมือนอะไรกัน เป็นเขาชัดๆ!” เยี่ยจื่อชิวพูดแก้ไข
โม่เหยียนเหยียนมองโม่เหยาที่เดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องด้วยความเห็นใจ ถูกคนมองว่าเป็นศิษย์พี่อย่างอธิบายไม่ได้ ลูกพี่ลูกน้องช่างน่าสงสารจริงๆ
พวกเขาทั้งสองเพิ่งจะรู้จักกันจึงแสดงออกอย่างเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง เยี่ยจื่อชิวนั่งอยู่ข้างโม่เหยียนเหยียน หลังจ้องมองหน้าจอโทรทัศน์ไปครู่หนึ่งก็พลันคิดเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ได้ยินศิษย์พี่พูดถึงเธอมานานแล้ว แม้จะไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่เพราะศิษย์พี่ฉันจึงมีความรู้สึกดีๆ กับเธอมาก วันนี้แวบแรกที่ได้เห็นก็คิดว่าน่ารักงดงามอย่างที่จินตนาการเอาไว้จริงๆ”
เมื่อถูกชมเชยแน่นอนว่าต้องรู้สึกดีใจ โดยเฉพาะเมื่อถูกสาวสวยคนหนึ่งชมว่าสวยก็ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก ท่าทีของโม่เหยียนเหยียนพลันดีขึ้นหลายส่วน
เธอพูดว่า “อยู่ต่อหน้าเธอใครจะกล้าบอกว่าสวยอีก ไม่แปลกใจที่ศิษย์พี่รั้งเธอไว้หลายวันแบบนี้ คนที่เป็นอาหารตาอย่างนี้มองดูก็เจริญหูเจริญตาไม่ใช่เหรอ”
เยี่ยจื่อชิวถูกชมก็ดีใจจนตัวลอยเช่นกัน นางกุมมือโม่เหยียนเหยียนอย่างยินดีพลางกล่าวเสียงดัง “ญาติผู้น้อง เธอช่างดีเหลือเกิน ฉันอยากจะเพ่า…”
“เพ่าฉา* เหรอ” โม่เหยาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมาตัดบทคำพูดของเยี่ยจื่อชิวทันที ก่อนมองมาด้วยแววตาดำทะมึน “ยังไม่รีบไปชงชาหลงจิ่งมาให้เหยียนเหยียนดื่มอีก!”
เยี่ยจื่อชิวถูกโวยวายใส่จนอึ้งงัน เมื่อสบกับดวงตาที่จ้องเขม็งมาของโม่เหยา ใบหน้าก็ร้อนผะผ่าว รีบลุกขึ้นไปชงชาอย่างว่านอนสอนง่ายในทันที เหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อยที่เชื่อฟังทุกคำพูด
โม่เหยาล้างมือแล้วก็เข้าครัวไปเตรียมทำอาหาร คืนนี้ลูกพี่ลูกน้องมา เขาคิดว่าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้อีกฝ่ายกิน
“ญาติผู้น้อง ดื่มชาเถอะ” เยี่ยจื่อชิวรู้วิธีชงชา
โม่เหยียนเหยียนมองเยี่ยจื่อชิวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม “ได้ยินพี่บอกว่าเธออายุน้อยกว่าฉันหนึ่งปี เอาแต่เรียกญาติผู้น้องๆ อยู่ตลอดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเอาเปรียบฉันอยู่เหรอ”
เยี่ยจื่อชิวมองด้วยท่าทางใสซื่อ “ไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องเรียกเธอว่าน้องสาว เรียกตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร”
“อะไรคือไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเรียกฉันว่าน้องสาว” โม่เหยียนเหยียนถามอย่างสงสัย
“เรื่องนี้…” เยี่ยจื่อชิวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยอีก อย่างไรก็เป็นเด็กสาว คำพูดบางอย่างก็เขินอายที่ต้องพูดต่อหน้าคนอื่น จึงได้กระมิดกระเมี้ยนหน้าแดงกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้จะมีหน้าพูดออกไปได้อย่างไร”
“อะไรนะ”
“โธ่เอ๊ย ไม่ต้องถามฉันแล้ว!” เยี่ยจื่อชิวกุมใบหน้าที่เหนียมอายจนแดงเรื่อ หางตาแอบชำเลืองมองไปทางห้องครัว
โม่เหยียนเหยียนมองดูหน้าของเยี่ยจื่อชิวอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จึงส่ายศีรษะพลางบ่นพึมพำ “พิลึกคนจริงๆ”
เมื่อเห็นโม่เหยียนเหยียนไม่ได้เค้นถามอีก เยี่ยจื่อชิวก็ผ่อนลมหายใจ ในขณะเดียวกันความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อญาติผู้น้องที่รู้จักเข้าอกเข้าใจคนอื่นคนนี้ก็เพิ่มขึ้นมาก จึงเบียดเข้าไปกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ญาติผู้น้องช่างเอาใจใส่จริงๆ ฉันอยากเพ่า…”
“เยี่ยจื่อ! มาปอกกระเทียม” ในช่วงเวลาสำคัญโม่เหยาก็พูดตัดบท ‘การสารภาพรักอย่างลึกซึ้ง’ ของเยี่ยจื่อชิวอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวลุกขึ้นยืน กล่าวกับโม่เหยียนเหยียนด้วยท่าทีรู้สึกผิดอย่างคนเป็นนายหญิง “ญาติผู้น้องดูทีวีเถิด ฉันจะไปช่วยพี่ชายเธอปอกกระเทียมแล้ว”