ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2
“ซย่าชิงยวน เจ้าอย่าจำคนผิดนะ มองให้ดี ข้าคือลู่หย่วน” เขาก้มหน้าเอ่ย พลางคว้าสองมือของซย่าชิงยวนที่ลูบเปะปะไปทั่วดึงไปไว้ที่หลังเอว ตัวนางพลันโน้มมาข้างหน้าอย่างไม่อาจควบคุมทำให้ยิ่งเข้าใกล้เขามากขึ้น ทั้งสองใบหน้าแนบชิด ทอเป็นเงาที่ดูกำกวมจากหลังฉากกั้น ดวงตาของนางยังคงสงบเป็นน้ำนิ่งไร้คลื่น
“ลู่หย่วนหรือ ท่านจะมา…แก้แค้นหรือ” นางจ้องเขาเป็นเชิงหยอกล้อ “ถ้าท่านเป็นลู่หย่วนจริง เหตุใดจึงไม่…ไม่ฆ่าข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า หรือว่า…ท่านอยากแต่งงานกับข้า ภายหลังจะได้ทรมานข้าไปอย่างช้าๆ ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่”
พอเอ่ยจบแล้วนางก็หรี่ตายิ้มราวกับแมวดาวที่เจ้าเล่ห์
แสงแดดอบอุ่นทอเข้ามาทางหน้าต่าง เขายื่นนิ้วออกไปจิ้มหน้าผากนางที่แนบเข้ามาให้ถอยกลับ “ใช่เสียที่ใดเล่า”
ซย่าชิงยวนฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัวดึงมือข้างหนึ่งหลุดออกมาได้ แล้วปลดกระดุมที่เสื้อด้านหน้าของเขา ขณะกำลังจะปลดลงไปข้างล่างมือก็ถูกกุมไว้เสียก่อน
“ห้ามข้าด้วยเหตุใด เมื่อครู่นี้ใต้เท้าไม่ใช่บอกว่าต้องการช่วยข้าหรอกหรือ” นางเงยหน้าขึ้นถามเขา ใบหน้านางในวันนี้แต้มชาดมาเล็กน้อย ข้างมวยผมยังปักปิ่นหยก มีพู่ระย้าห้อยลงมาหลายเส้น ขณะที่นางพูดพู่เหล่านั้นก็แกว่งไกวไปมาไม่หยุด
จู่ๆ ลู่หย่วนก็รู้สึกสับสนวุ่นวาย เขายื่นมือออกไปเหมือนมีอะไรมาดลใจ ค่อยๆ ถอนปิ่นที่เป็นอุปสรรคอันนั้นออก พอถอนออกมาแล้วก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงที่ใด ได้แต่สอดเข้าไปในช่องแขนเสื้อ เขาทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นางเหมือนจะจำเขาไม่ได้เลยจริงๆ มองเขาก็เหมือนมองคนแปลกหน้า ทั้งยังกระตือรือร้นอยากเข้าใกล้คนแปลกหน้าอย่างเขาอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองถึงได้รู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา เขาปล่อยข้อมือที่เมื่อครู่นี้คว้าไว้อย่างแน่นหนาออกแล้วหลับตาลง สายลมอบอุ่นในเดือนสามจากนอกหน้าต่างพัดเข้ามาเป็นระลอก จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่านางค่อยๆ ขยับเข้ามาดอมดมเขาราวกับแมวน้อยตัวหนึ่ง
“แม้ท่านกับข้าจะเจอกันตามวาระโอกาส…” ซย่าชิงยวนปลดกระดุมเสื้อเขาอีกเม็ด นิ้วมือเย็นเฉียบอ้อยอิ่งอยู่ที่ลำคอเขา นางกล่าวถ้อยคำสับสน ทว่าใช้น้ำเสียงที่ดูอดทนอย่างยิ่ง…ราวกับกำลังถกเหตุผลกับเขา “แต่เราได้มาพบพานในวัดเก่าคร่ำแห่งนี้นับเป็นวาสนา รูปร่างหน้าตาของใต้เท้า…ข้าพึงใจยิ่งนัก”
นางจับคางเขา บังคับให้เขาก้มหน้าลง เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกัน เขารู้สึกราวกับถูกความร้อนจากหยาดน้ำตาที่คลอในดวงตาของนางลวกเอา จึงรีบหลบสายตาออกอย่างรู้สึกผิด
มือของนางลูบอกของลู่หย่วนแผ่วเบา “วันนี้ไม่ว่าจะไปหรืออยู่ก็ยากจะหนีพ้นความตาย ช่างน่าเสียดายที่ข้าวาดภาพวังวสันต์มานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยได้ลิ้มรสบุรุษเลยสักครา ตายไปก็คงเป็นวิญญาณที่น่าเวทนายิ่ง ในเมื่อใต้เท้าอยากเป็นผู้ใจบุญ มิสู้ใจบุญให้ถึงที่สุด…มีความสุขกับข้าสักครั้งจะได้หรือไม่”
เส้นผมนางกวาดผ่านสันกรามของเขาไปมา พาให้ใจเขาว้าวุ่นระส่ำระสาย เมื่อลู่หย่วนได้ยินคำพูดนี้ของนาง ก็พลันนิ่งตะลึงอยู่กับที่เหมือนถูกสายฟ้าฟาด
พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับ เสียงของนางก็ค่อยๆ เบาลง น้ำเสียงเยือกเย็นเศร้าสร้อยพลางพูดกับตนเองไปด้วย “ใต้เท้าคงคิดว่าข้าใจง่ายใช่หรือไม่ แต่ข้าอยู่เจียงตูมาห้าปีแล้ว ใช้ชีวิตอยู่บนปลายมีดดาบ อย่าว่าแต่อยู่โดยไม่มีจุดหมายเลย ยังต้องคอยระวังไม่ให้ถูกขายเข้าไปในขุมนรกอีก อยู่ต่อไปเช่นนี้ช่างน่าเบื่อนัก นี่กระทั่งก่อนตายจะทำตามอำเภอใจสักครั้งก็ไม่ได้เลยหรือ”
ลู่หย่วนจับมือที่ซุกซนของนางเอาไว้ไม่ให้ขยับตามอำเภอใจอีก อารมณ์มากมายท่วมท้นในดวงตาเขา คำพูดนับหมื่นพันมาจุกอยู่ที่ข้างลำคอ เมื่อเปิดปากก็พูดได้แค่ “เจ้าแน่ใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าลู่หย่วนจะรังแกเจ้า”
“ข้าจำไม่ได้แล้ว บางที…เขาอาจจะรู้จักกับข้าในกาลก่อน” แววตานางล่องลอยไปไกล มือเรียวสะบัดหลุดจากมือใหญ่ของเขา แล้วลูบไล้จากข้อมือเขาขึ้นไป
เมื่อลู่หย่วนได้ยินนางบอกว่านางจำไม่ได้แล้ว สีหน้าก็กลายเป็นตกตะลึงก่อน ต่อมาก็จมจ่อมครุ่นคิด จากนั้นก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันใด สีหน้าค่อยโล่งใจขึ้นมากในชั่วพริบตา
“เจ้าหมายความว่าเจ้าจำเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่ได้ แล้วก็จำไม่ได้แล้วว่าข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ”
ยาออกฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซย่าชิงยวนฟังคำถามเขาไม่เข้าหูแล้ว สนใจแต่จะถูไถไปมาบนตัวเขา “ห้าปีก่อนข้าถูกทิ้งไว้ที่เจียงตู จำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้เลยสักนิด…ท่านบอกว่าเขาจะสงสารข้า ท่านคิดว่าเขาจะสงสารข้าหรือไม่ ข้ามาส่งตนเองถึงหน้าประตูบ้านเขา ไร้ญาติสนิทให้พึ่งพา ทั้งยังเป็นลูกสาวของบ้านศัตรูอีก”
ลู่หย่วนหลุบตาลง ปล่อยให้นางเล่นกับนิ้วมือของเขา
นางก้มหน้าและปรึกษาหารือกับเขาต่ออย่างอดทนด้วยตรรกะที่ไม่เชื่อมโยงและน้ำเสียงนุ่มนวล โดยสาระสำคัญคือขอให้เขาตกลงทำเรื่องปล่อยตัวเหลวไหลสักครั้งที่นี่ในเวลานี้
สถานการณ์ที่อึดอัดทรมานเช่นนี้ดำเนินต่อได้ไม่นาน ลู่หย่วนก็ไม่มีเวลาจะใคร่ครวญเรื่องอาการที่ต้องรีบหาทางรักษาของนาง ซย่าชิงยวนเองก็ไร้เรี่ยวแรงจะต่อกรกับฤทธิ์ยาที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงเป็นระลอกนี้ได้ นางเอาหน้าผากแนบกับปลายคางของเขา แล้วครางเสียงกระเส่าชวนหลงใหล
“วันพรุ่งจะแต่งงานอยู่แล้ว ฮูหยินไฉนถึงได้…ใจร้อนกว่าข้าเล่า” ลู่หย่วนนิ่วหน้ามองนาง ปากพูดเสียดสี แต่มือกลับลูบไล้ไปบนลำคอเรียวขาวนวลเนียนของนางอย่างไม่อาจควบคุม สุดท้ายเมื่อนางเขย่งเท้าขึ้นมากัดริมฝีปากล่างของเขา นัยน์ตาของลู่หย่วนก็พลันสะท้านขึ้น เขาไม่ได้ผลักไสนาง แต่กลับยอมจำนนปล่อยให้นางขบกัดลิ้มเลียอย่างสะเปะสะปะต่อไป
ท้องฟ้านอกห้องใกล้จะมืด ความอุ่นร้อนในห้องกลับยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในฉากกั้น ชายหนุ่มร่างสูงถูกหญิงสาวกดชิดกับผนัง ดวงตานางล่องลอยไปไกล สองมือยังคงวางอยู่บนคอของชายหนุ่ม เขย่งเท้าและจูบเขาโดยแรง
ชายหนุ่มปล่อยให้นางปู้ยี่ปู้ยำตามอำเภอใจ ดวงตาทอแววหม่นมืด แต่มือวางรองที่เอวนางเอาไว้ เหมือนกลัวว่านางจะล้มลงไปและก็เหมือน…อยากสัมผัสแต่ไม่กล้าแตะต้อง
ภายในกายของนางร้อนรุ่มราวกับไฟสุม สติสัมปชัญญะแทบจะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่ให้ความรู้สึกเย็นชุ่มชื่นมีเพียงร่างกายของบุรุษตรงหน้า นางจึงคลายคอเสื้อให้หลวมเล็กน้อย ยกขาข้างหนึ่งโอบรอบเอวของอีกฝ่าย พยายามที่จะแนบชิดเขาให้มากยิ่งขึ้น สองแขนโอบรัดบ่าของเขาไว้แน่น ลมหายใจของนางปั่นป่วน เปล่งเสียงครางครวญดังลูกสัตว์ที่ร้องขออาหาร
ร่างของชายหนุ่มชะงักค้างไปชั่วขณะทันทีที่นางคล้องขาที่เอวของเขา มือของเขาเลื่อนจากเอวของนางไปลูบไล้ตามขาเรียวที่กำลังก่อกวน วันนี้นางสวมเพียงแค่ชุดคลุมบางๆ ผิวเนื้อเนียนละมุนราวกับไหมมีเพียงผ้าแพรกั้นเท่านั้น
คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม มือที่จับขาของนางหยุดนิ่งเพียงครู่ จากนั้นมือก็ออกแรงเบาๆ ดึงนางลงมาจากบนตัว แล้วอุ้มนางขึ้นมา ถีบประตูให้เปิดออก ก่อนจะเดินออกไปจากวัดโบราณ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ต.ค. 67