3
ข่าวที่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็มาปรากฏตัวที่แดนโม่เป่ยนั้นไม่นานก็แพร่ไปทั่วตำบลค่งหม่า ทหารรักษาการณ์บนกำแพงรายงานต่อนายทัพทหาร ประตูเหล็กบานหนักที่คล้องห่วงโซ่อยู่ก็เปิดออกช้าๆ ป้อมปราการแข็งแรงแน่นหนาก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
นี่คือตำบลค่งหม่า หน้าด่านแข็งแกร่งของโม่เป่ย แนวต้านสำคัญทางตอนเหนือของต้าลี่
นายทัพทหารรักษาการณ์ยืนอยู่หน้าประตูเมือง ถวายบังคมต่อฮ่องเต้ ทหารรักษาการณ์ทั้งเมืองร้องขานทรงพระเจริญหมื่นปีดังกู่ก้อง
เกศาขาวของฮ่องเต้ท่ามกลางหิมะขาวโพลนดูบาดตา ผู้คนที่มองเห็นต่างก็ตะลึงงันแล้วพากันลนลานก้มศีรษะลง
“เรามาในวันนี้เพื่อตามหาคนผู้หนึ่ง แซ่ลู่ ชื่อหย่วน ชื่อรองติ้งเจียง”
แม่ทัพได้ยินชื่อนี้ก็ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วส่ายหน้า เขาหันไปถามรองแม่ทัพที่ข้างกาย ทว่ารองแม่ทัพก็ทำสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้จักคนผู้นี้เช่นกัน
“หากหาคนพบ ตกรางวัลทองคำหนึ่งร้อยตำลึง” ฮ่องเต้เอ่ยเสริมอีกประโยค ฝูงชนที่เมื่อครู่นิ่งเงียบพลันมีเสียงดังอึงอลขึ้นทันที กระทั่งนายทัพทหารก็ยังตื่นเต้นโลดโผน
ไม่นานนักทหารองครักษ์นายหนึ่งก็วิ่งมาตรงหน้าแม่ทัพแล้วกระซิบคำที่ข้างหู อีกฝ่ายหน้าเปลี่ยนสีในพลัน
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า นักโทษขังตายแซ่ลู่ผู้นั้นไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้อง!”
จากนั้นคำสั่งของแม่ทัพก็ส่งต่อไปเป็นทอดๆ สะท้อนก้องทั่วฟ้าดินที่ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็ง ตรงเข้าไปถึงคุกใต้ดินที่คุ้มกันอย่างแข็งแรงแน่นหนาของตำบลค่งหม่า
ภายในคุกใต้ดินส่วนที่มืดมนอนธการที่สุด ชายหนุ่มที่โดนล่ามโซ่หนาหนักเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ คราบสกปรกและคราบเลือดบนใบหน้าปะปนกันเละเทะ บดบังใบหน้าเดิมเอาไว้
รอยแยกของผนังหินในจุดที่สูงสุดของคุกใต้ดินมีแสงส่องลอดเข้ามา เขาหลับตาเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าคำสั่งทหารที่ตะโกนกันอยู่นั้นพูดถึง ‘นักโทษคุมขังลู่หย่วนที่กำลังรอคำตัดสิน’ จากนั้นมุมปากเขาก็ขยับราวกับว่ากำลังยิ้มและกำลังร้องไห้
ผ่านไปไม่นานเท่าใด ฮ่องเต้ใช้ดาบคู่กายต่างไม้เท้าคลำทางเดินเข้ามาในคุกใต้ดิน
“ลู่หย่วน”
เมื่อมีเสียงดังขึ้นภายในห้องขัง ณ เวลานั้น นักโทษในห้องขังก็เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เสียงเคร้งคร้างดังขึ้น เป็นเสียงความเคลื่อนไหวของโซ่เหล็ก นักโทษผู้นั้นดวงตาทอประกายดุร้ายราวกับสัตว์ป่าในกรง น่าตกใจเสียจนผู้ติดตามที่ประตูคุกอดชักดาบประจำตัวออกมาไม่ได้
ฮ่องเต้มองทอดต่ำ ใช้ดวงตาที่ว่างเปล่ามองดูคนที่ถูกล่ามยึดกับผนัง
“ห้าปีแล้ว โชคดีที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่” ฝุ่นเถ้าฟุ้งตลบอยู่ในอากาศ มุมปากของฮ่องเต้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “วันนี้เรามาขออะไรบางอย่างจากเจ้า หากทำสำเร็จก็จะเป็นการล้างมลทินให้สกุลลู่ แล้วยังจะได้…รู้เบาะแสของซย่าชิงยวน”
ฮ่องเต้ส่งสัญญาณมือ ผู้คุมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวมาข้างหน้า แล้วปลดโซ่เหล็กที่ล่ามลู่หย่วนเอาไว้ ทันทีที่นักโทษผู้นั้นเป็นอิสระก็พุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าราวกับเสือร้าย ทว่าเขากลับถูกจับตัวอย่างแน่นหนาจากทางซ้ายขวาทันใด
“นางยังมีชีวิตอยู่หรือ” นักโทษเอ่ยถามคำแรกด้วยเสียงที่แหบต่ำ แต่กลับเป็นเสียงของชายหนุ่ม
“ยังมีชีวิตอยู่” ฮ่องเต้ไม่เปลี่ยนสีหน้า สายตาล่องลอยไปบนใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
“ปีนั้นหลังจากซย่าเยี่ยนตายไป จวนสกุลซย่าเกิดเพลิงไหม้ บุตรีโทนของเสนาบดีฝ่ายขวาซย่าชิงยวนหายสาบสูญ เราเองก็เพิ่งรู้ว่าตอนนั้นเด็กน้อยผู้นั้นไม่ได้ตายตกไปในเปลวเพลิง แต่ถูกคนส่งไปที่เจียงตูอย่างลับๆ”
ชายหนุ่มสงบลงทันที นัยน์ตาดำขลับทอประกาย เป็นดวงตาที่ดูราวกับสุนัขป่า
ฮ่องเต้ผงกศีรษะยิ้ม “หากอยากไปพบนาง ก็รับคำสั่งของเราเสีย”
คุกใต้ดินเงียบสงัดไปชั่วครู่จนได้ยินเสียงน้ำหยดกระทบพื้นทีละหยดๆ
ฮ่องเต้ส่งสัญญาณมือไปทางด้านหลัง ผู้ติดตามก็รีบยื่นราชโองการที่ปิดผนึกไว้อย่างดีออกมาพร้อมกับชุดขุนนาง ดาบประจำตัว และตราคำสั่งทหาร
“ลู่หย่วนบุตรชายของอดีตนักโทษประหารลู่ถิงยวน แม้จะต้องโทษเนรเทศ แต่ก็ออกรบเพื่อบ้านเมือง มีความดีความชอบโดดเด่น ถึงตกระกำลำบากก็ยังคงซึ่งจรรยา ขอแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดเจิ้นกั๋วกงอีกครั้ง มอบตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิง คอยตรวจตราบรรดาขุนนางที่มียศขั้นสามขึ้นไปและเหล่าราชนิกุลในเมืองหลวง รับราชโองการ”
ท้องฟ้าใกล้จะสว่าง แสงยามรุ่งสางแทรกผ่านร่องหินแคบบนเพดานห้องขังเข้ามา ส่องต้องใบหน้านักโทษผู้นั้น สะท้อนให้เห็นเค้าโครงสันกรามที่ชัดเจนและดวงตาดำขลับของเขาว่าเป็นแค่คนหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น
“ทูลถามฝ่าบาท มีเรื่องใดจะรับสั่ง”
ใบหน้าราวน้ำแข็งสลักของฮ่องเต้เผยแววยินดีขึ้นในที่สุด “ขอยืมมือเจ้า ร่วมกับดวงตาจิตรกรรมของซย่าชิงยวน ช่วยเราตามหานักรบอาชาพยัคฆ์เผ่นกับภาพวาดนทีคัมภีร์ธารากลับคืนมา”